วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

ความถ่อมใจ




เราคิดว่า ความถ่อมใจ หมายความว่าอย่างไร บางทีเรามีความคิดว่าคนเราไม่ค่อยชอบใครดี หรือเด่นกว่าตัวเอง เหมือนดังเช่นคำว่า ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกินบางคนก็เลยต้องทำตัวให้ด้อยที่สุด ต้องต่ำกว่าผู้อื่น เราจะได้เข้ากับคนอื่นได้ อาจประมาณนี้ ถ้าเปรียบก็คือ เราต้องอ่อนแอกว่าคนอื่น ปล่อยให้คนอื่นข่มเหงเรา
มีศิษยาภิบาลท่านหนึ่งกล่าวว่า ความถ่อมใจเป็นอาภรณ์ของคริสเตียน แต่ความถ่อมใจในพระคัมภีร์จะเป็นแบบที่เราคิดหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่น่าค้นหา
ในหนังสือบทเรียนติดตามเลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่ ของคริสตจักรที่ 1 ให้ความหมายว่า ความถ่อมใจ คือ  สิ่งที่ตรงข้ามกับความภาคภูมิใจ หยิ่งยโส เป็นการที่เรารู้จักตัวเอง ว่าแท้จริงแล้วต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่นั้น เราเป็นผู้ที่ต่ำต้อย เป็นคนบาป แต่ไม่ได้เป็นการเกลียดตัวเอง หรือเหยียดตัวเองให้ต่ำลง และยังรวมทั้งการไม่มองว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น เป็นการยอมรับที่จะอยู่ใต้ผู้อื่นด้วยความยินดี เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คน เราอาจคิดว่าให้เราทำตัวต่ำต้อยกว่าผู้อื่น เพื่อให้อยู่กับผู้อื่นได้ นั่นไม่ใช่เป็นการถ่อมใจเลย เพราะนั่นคือไม่ได้เต็มใจที่จะทำ ทำให้เรามองตัวเองว่าไม่มีคุณค่าใดๆ เลย ถูกข่มเหงกลับมาเจ็บปวดด้วยซ้ำไป ไม่ได้มีสันติสุข และไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับตัวเองและผู้อื่นด้วย
การถ่อมใจนั้น เป็นการถ่อมใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งมิได้หมายถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในขณะที่เราอธิษฐาน สารภาพบาป หรือการเฝ้าเดี่ยวเท่านั้น สิ่งนั้นคือการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ เป็นผู้เล็กน้อย การกระทำต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าเช่นกัน เพราะพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ
ในพระธรรมมัทธิว 23:12 กล่าวว่า ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะถูกเหยียดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น ผู้ที่มองเห็นเราคือพระเจ้า จะยก ชูเราขึ้น หากเรามีความถ่อมใจอย่างแท้จริง แล้วเราจะมีความถ่อมใจ เป็นผู้เล็กน้อย และปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นด้วยความถ่อมใจเป็นไปโดยอัตโนมัติเองด้วยใจที่ได้ทำ ได้รับใช้ผู้อื่น มองเห็นคุณค่าของตัวเอง ด้วยพระคุณและความรักของพระเจ้า
ในพระธรรม 2 โครินทร์ 10:17-18 กล่าวว่า ถ้าผู้ใดจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะคนที่ยกย่องตัวเองไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด คนที่น่านับถือนั้นคือคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกย่อง
ในพระธรรมมัทธิว 16:24 -28 กล่าวว่า พระเยซูจึงตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราคนนั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา? เพราะว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระรัศมีของพระบิดา พร้อมด้วยบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของเขา เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนจะไม่ลิ้มรสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของพระองค์”” ในพระวจนะดังกล่าวนี้ สอนให้เรารู้ว่า เราต้องตายจากชีวิตเดิมของเรา จึงจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง
การตรึงที่กางเขนเป็นวิธีการประหารชีวิตที่ชาวโรมันสมัยก่อน ใช้โดยทั่วไปกับอาชญากรที่ต้องโทษจะต้องแบกกางเขนของตนเองไปตามถนนต่างๆ สู่บริเวณที่เขาจะถูกประหาร ฉะนั้นการติดตามพระเยซูจึงหมายถึงการอุทิศชีวิตอย่างแท้จริง ต้องเสี่ยงกับความตาย และไม่มีการหันกลับ
สิ่งที่เราสั่งสมไว้ในโลกนี้ไม่มีค่าพอที่จะซื้อชีวิตนิรันดร์ แม้กระทั่งเกียรติยศสูงสุดทางสังคมก็ยังไม่สามารถช่วยให้เราได้มาซึ่งชีวิตนิรันดร์ ในอนาคตเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมาจะมีการพิพากษาครั้งสุดท้าย(มัทธิว 25:31-46) และชีวิตของทุกคนก็ถูกพิพากษาเช่นกัน แม้จุดหมายปลายทางชีวิตของคริสเตียนจะมั่นคงแน่นอนแล้ว แต่พระเจ้าพิจารณาดูว่าผู้นั้นได้จัดการกับของประทาน โอกาส และหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างไร เพื่อตัดสินว่าเขาควรได้รับบำเหน็จอะไรในสวรรค์ เมื่อเวลาพิพากษาพระเจ้าจะช่วยคนชอบธรรมให้รอดและลงโทษคนชั่วร้าย เราไม่ควรตัดสินว่า ผู้อื่นจะรอดหรือไม่รอด นั่นเป็นธุระของพระเจ้า

พระธรรมมัทธิว 25:31-46
31 เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
32
 บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ 
33
 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย 
34
 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 
35
 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ 
36
 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา' 
37
 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร 
38
 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร 
39
 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร' 
40
 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย' 
41
 พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น 
42
 เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม 
43
 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา' 
44
 เขาทั้งหลายจะทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร' 
45
 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย' 
46
 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น