วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

พระพรและการขอบพระคุณ


พระธรรมปฐมกาล 1 : 1-31
การเนรมิตสร้างโลกและมนุษย์
                [ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง] 1ฟ้าและแผ่นดิน 2แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
            3พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น 4พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด 5พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันแรก
            6พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน” 7พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น 8พระเจ้าทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า มีเวลาเย็น และเวลาเช้า เป็นวันที่สอง
            9พระเจ้าตรัสว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่แห่งเดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นดังนั้น 10พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 11พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ผักหญ้าที่มีเมล็ดและต้นไม้ที่ออกผล มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น 12แผ่นดินก็เกิดพืช คือผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 13มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สาม
            14พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี 15และให้เป็นดวงสว่างบนฟ้า เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น 16พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆด้วย 17พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนฟ้า ให้ส่องสว่างบนแผ่นดิน 18ให้ครองวันและคืน และแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 19มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สี่
            20พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน” 21พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นฝูงๆตามชนิดของมัน และนกต่างๆตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 22พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้นว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้น จนเต็มน้ำในทะเล และให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน” 23มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ห้า
            24พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น 25พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
            26แล้วพระเจ้าตรัสว่า ”ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” 27พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
            28พระเจ้าอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน” 29พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า 30ฝ่ายสัตว์ทั้งหลายบนแผ่นดิน นกทั้งปวงในอากาศและบรรดาสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินทุกสิ่งทุกอย่างที่มีลมปราณนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น 31พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก

                ข้าพเจ้าได้นำเอาพระธรรมปฐมกาลขึ้นมา  เพื่อย้ำให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่แห่งการทรงสร้างอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า และให้เราไม่ลืมว่าใครเป็นผู้สร้างเรา ใครเป็นเจ้าของตัวเรา
เราจะเห็นได้ว่า เราทุกคนไม่ได้เกิดมาด้วยความบังเอิญ หรือโดยความผิดพลาดของผู้หนึ่งผู้ใด แต่เราทุกคนคือสุดยอดแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า พระเจ้าทรงสรรสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างตั้งใจและบรรจง แตกต่างจากสิ่งทรงสร้างอื่นๆทั้งปวง
เราถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับพระเจ้า ในพระธรรม ยอห์น 4:24 กล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระเจ้าสร้างเราให้มีความแตกต่างจากสัตว์ มีจิต วิญญาณ

ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วย 3 ส่วน ในพระธรรม 1 เธสะโลนิกา :23 กล่าวว่า ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสร็จมา
ส่วนที่ 1 ของมนุษย์ เรียกว่า ร่างกาย พระคัมภีร์เรียกร่างกายของมนุษย์ว่า เรือนดิน  2 โครินธ์ 5:1 “เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์
ส่วนที่ 2 ของมนุษย์ เรียกว่า จิตใจ เป็นที่ตั้งของอารมณ์ ความรู้สึกชอบไม่ชอบ  พระธรรมมาระโก 7 :20-23 “พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
ส่วนที่ 3 ของมนุษย์ เรียกว่า " วิญาณจิต " เป็นส่วนหนึ่งที่นำให้มนุษย์รู้สึกอยากนมัสการพระเจ้า อยากสัมพันธ์กับพระเจ้า ยอห์น 4: 24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงเป็นส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่ แม้ว่าร่างกายจะตายไปแล้ว เป็นส่วนที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์โดยสิ้นเชิง นับเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงห่วงใย

แม้มนุษย์คู่แรก นั่นคือ อาดัมกับเอวา ได้ทำผิดบาป และได้หลบหนีจากพระเจ้าเมื่อรู้ว่าตนเองทำผิด โดยไปกินผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน จนถึงปัจจุบันมนุษย์ก็ยังหนีจากพระเจ้า

            หลังยุคสมัยของอาดัมและเอวา มนุษย์กลายเป็นคนชั่วร้ายมากขึ้นทุกวัน ศีลธรรมเสื่อมโทรมลงจนถึงจุดที่พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะกวาดล้างทุกสิ่งเสีย แต่โนอาห์และครอบครัวเป็นส่วนที่ถูกยกเว้น (ปฐมกาล 6:5-8) พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป พระเจ้าจึงเสียพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัส  พระเจ้าจึงตรัสว่า เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์สัตว์กับบรรดาสัตย์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างมา แต่โนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าสั่งให้โนอาห์ต่อเรือเพื่อให้เขาและบรรดาสัตว์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดชนิดละคู่อาศัยอยู่ในระหว่างที่น้ำท่วมโลก ซึ่งโลกไม่ได้ถูกทำลายล้าง มีเพียงคนที่ชั่วร้ายที่อาศัยบนโลก (ปฐมกาล 7:21) "บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวก็ตายสิ้น"
            แม้เราจะทำผิดบาปอย่างไร พระองค์ก็ทรงห่วงเรา และยังคงรักเรา ด้วยความรักของพระเจ้า จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อมาไถ่บาปมนุษย์ กาลาเทีย 4:4-7 แต่เมื่อครบกำหนดแล้วพระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่า อาบา คือ พระบิดา เหตุฉะนั้นโดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท

ขอนำพระธรรม ฟีลิปปี 4 : 14-20
พระธรรมฟีลิปปีเป็นจดหมายที่อ.เปาโลเขียนจากเรือนจำที่กรุงโรม เพื่อจะแสดงความรู้สึกขอบพระคุณที่มีต่อคริสตจักรฟีลิปปี เราจึงคงเรียกพระธรรมนี้ว่า เป็น จดหมายแห่งการขอบพระคุณ
           การขอบพระคุณกับความเชื่อได้เดินไปเป็นคู่กัน เราควรรู้จักการขอบ พระคุณ
1.      เราต้องขอบพระคุณ เพราะคนหลายคนที่ช่วยเหลือเรา
ฟิลิปปี 4 : 14-15 ถึงกระนั้นก็เป็นความกรุณาของท่าน ที่ได้ร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า และพวกท่านชาวฟิลิปปีก็ทราบอยู่แล้วว่า การประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเริ่มแรกนั้น มาตอนเมื่อข้าพเจ้าออกไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในรายรับรายจ่ายเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น เปาโลได้รู้จักที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์และที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า อ.เปาโลไม่มีความทุกข์ หรือไม่ต้องการอะไร อ.เปาโลได้ยอมรับว่า มีความทุกข์ ความทุกข์ที่นี่คงหมายถึงความทุกข์ที่กำลังเผชิญอยู่ในเวลานั้นที่เขียนจดหมายฉบับนี้ คือ การถูกจำคุกและความลำบากที่ตามมา แต่อ.เปาโลได้ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่ามีคริสเตียนชาวเมืองฟีลิปปีที่ช่วยเหลือท่าน คริสเตียนชาวฟีลิปปีได้ช่วยเหลืออ.เปาโลด้วยเงินทอง เมื่ออ.เปาโลประกาศข่าวประเสริฐที่เมืองฟีลิปปี และนางลิเดีย คนขายผ้าสีม่วง และนายคุกได้เชื่อพระเยซู นางลิเดียได้เชิญอ.เปาโลและทีมของท่านให้พักอาศัยที่บ้านของตน และใช้บ้านให้เป็นสถานที่ที่ประชุมกัน นี่เป็นการเริ่มต้นของคริสตจักรฟีลิปปี เมื่อเปาโลออกจากเมืองฟีลิปปีไปประกาศที่เมืองเธสะโลนิกา คริสตจักรฟีลิปปีได้ถวายเงินมาช่วยเหลือพันธกิจของเปาโลหลายครั้ง นอกจากนี้แล้ว คริสตจักรฟีลิปปีก็ส่งเงินมาช่วยเปาโลเรื่อยๆ ยิ่งกว่านั้น เมื่อเปาโลถูกจำคุกอยู่ที่กรุงโรม คริสตจักรฟีลิปปีได้ส่งเงินมาให้ การกระทำของคริสตจักรฟีลิปปีเช่นนั้น เปาโลกล่าวไว้ว่า “เป็นความกรุณาของท่านที่ได้ร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า” 
เราควรขอบพระคุณพระเจ้า เพราะเรามีคนเหล่านี้อยู่ล้อมรอบตัวเรา ชีวิตเราจึงไม่โดดเดี่ยว เราได้รับการหนุนใจและการเล้าโลมอย่างมากจากคนเหล่านี้
2.      เราต้องขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเราสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ (4.17-18)
            ฟิลิปปี 4 : 17-18 “มิใช่ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับของให้ แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น ข้าพเจ้าได้รับครบ และมากกว่านั้นอีก ข้าพเจ้าอิ่มอยู่เพราะได้รับของจากเอปาโฟรดิทัส ซึ่งพวกท่านส่งไปให้ เป็นกลิ่นหอม เป็นเครื่องบูชา ที่ทรงโปรดและพอพระทัยของพระเจ้า การที่เราได้รับการช่วยเหลือและความรักจากคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่น่าขอบพระคุณ แต่การที่เราช่วยคนอื่นได้นั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีและน่าขอบพระคุณมากกว่า
อ.เปาโลเป็นผู้รับความช่วยเหลือจากคริสตจักรฟีลิปปี และคริสตจักรฟีลิปปีเป็นผู้ให้ อ.เปาโลอยากให้คริสตจักรฟีลิปปีทราบความจริงประการหนึ่ง คือคริสตจักร ฟีลิปปีน่ายินดีและน่าขอบพระคุณพระเจ้ามากกว่าอ.เปาโลเอง เพราะมีสาเหตุ สองประการ   เพราะสิ่งนั้นได้นำผลกำไรอันยิ่งใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เปาโลไม่ปรารถนาจะได้รับของขวัญจากใครเลย แต่เมื่อคริสตจักรฟีลิปปีได้ฝากของมาให้ อ.เปาโลก็รับ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่คริสตจักรฟีลิปปี อ.เปาโลถือว่า ของฝากที่คริสตจักรฟีลิปปีส่งมานั้น เป็นการลงทุนฝ่ายวิญญาณและผลกำไรในการลงทุนนั้นกลับเข้าบัญชีของคริสตจักรฟีลิปปี
3. เราต้องขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงประทานสิ่งสารพัดทุกอย่าง
ฟีลิปปี 4:19-20และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ขอให้พระสิริจงมีแด่พระเจ้าพระบิดาของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อเมน
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราก็ดี ในการรับใช้พระเจ้าก็ดี เราต้องการหลายสิ่งหลายอย่างทางวัตถุ โดยส่วนใหญ่แล้ว ความต้องการเหล่านี้ได้ถูกเติมให้เต็มโดยคนอื่นๆ แต่จริงๆแล้ว พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทาน (ข้อ 19)
พระเจ้าทรงบริบูรณ์ด้วยสิ่งสารพัด คลังของพระองค์เต็มไปด้วยทรัพย์อันรุ่งเรือง พระเจ้าทรงเทให้เต็มอย่างบริบูรณ์ในพระคริสต์แก่คนที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ เหมือนดังที่พระเยซูได้ทรงตรัสไว้แล้วในพระธรรมมัทธิว 6.33 ว่า “... จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระ องค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องพึ่งอาศัยพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความต้องการของเรา และควรดำเนินชีวิตที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

มีผู้กล่าวว่า เราอย่าหลงกับสิ่งของที่ได้รับ จนลืมผู้ที่ให้เรา คือ เราได้รับสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า แต่เราอย่าลืมพระเจ้าผู้ให้ชีวิต ให้ทุกสิ่ง ผู้สร้างฟ้า สวรรค์ และแผ่นดินโลก

อ. เปาโลได้กล่าวไว้ว่า จงขอบพระคุณในทุกกรณี” (1เธสะโลนิกา 5.18)  ทุกสิ่งล้วนแต่มาจากพระเจ้า โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ 
เอเฟซัส 2:8  “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น