วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

การนมัสการ



ยอห์น 4:23-24
          “แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริง จะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
สดุดี 112:1-3
          “จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด คนที่เกรงกลัวพระเจ้าก็เป็นสุข คือผู้ปิติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์ เชื้อสายของเขาจะทรงอานุภาพในแผ่นดิน พวกคนเที่ยงธรรมจะรับพระพร ทรัพย์ศฤงคารและความมั่งคั่งมีอยู่ในเรือนของเขาและความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์


การนมัสการคือ ทุกอิริยาบถในชีวิตที่แสดงออกถึงความเคารพยำเกรง ยกย่อง เทิดทูลพระเจ้า ไม่ใช่แค่การร้องเพลงอย่างเดียว และการนมัสการ เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้าและมนุษย์ ที่ทุกคนแสดงออกได้ เช่น การร้องเพลงสรรเสริญ การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์

ความหมายของการนมัสการ  
          การนมัสการเป็นแสดง การตอบสนองจากภายในจิตใจที่แสดงออกมาอันเนื่องมาจากการที่เห็นความสำคัญและคุณค่าของบุคคลนั้นเป็นการทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเป็นการยกย่องให้เกียรติ์การนมัสการสามารถแสดงออกได้หลายแบบทั้งแบบส่วนตัวและส่วนรวมแต่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน การนมัสการเป็นสิ่งที่คริสเตียนทุกคนต้องกระทำ เพราะเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าและคริสตจักรของพระองค์ การนมัสการเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถแสดงออกได้ตลอดเวลาต่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราและเป็นสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาให้เกิดขึ้นในชีวิตของ คริสเตียนทุกๆคน  ฉะนั้นการนมัสการจึงเป็นหน้าที่ ของคริสเตียนทุกคน  ไม่ใช่ เฉพาะทีมนมัสการ  กลุ่มผู้นำ ผู้ปกครอง ศิษยาภิบาล เท่านั้นแต่เป็นความรับผิดชอบของเราทุกคน ในฐานะที่เราเป็นประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้สำหรับนมัสการพระองค์ และได้ทรงเลือกไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างโลกนี้    

จากคำเทศนาคริสตจักรที่ 1 
          เราทั้งหลายมานมัสการพระเจ้าร่วมกันโดยมีจุดรวมความสนใจอยู่ทีพระเจ้าเท่านั้นบางครั้งอาจมีอุปสรรคทางสายตา ทางหู ทางความคิด ทางจิตใจ แต่เราต้องพยายามโฟกัสที่พระเจ้า เราร้องเพลงถวายพระเจ้า ผู้ที่บรรเลงหรือร้องเพลงสรรเสริญเป็นพิเศษก็ถวายแด่พระเจ้า เราอธิษฐานทูลต่อพระเจ้าร่วมกัน เราอยู่ที่นี่ด้วยกันต่อหน้าพระเจ้า ข้าพเจ้าเคยไปนมัสการพระเจ้าหลายคริสตจักร หลายคณะนิกาย ข้าพเจ้าสังเกตตนเองว่าบ่อยครั้ง เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าบางแห่งสายไมโครโฟนไม่เก็บเรียบร้อย หรือใช้ดอกไม้พลาสติก บางคริสตจักรผู้หญิงนุ่งกางเกง ผู้ชายสวมเสื้อยืดคอกลม บางคริสตจักรบนเวทีข้าวของวางระเกะระกะไปหมด บางคริสตจักรการอธิษฐาน เสียงเพลงดังเกินไป บางคริสตจักรพิธีมหาสนิทไม่เรียบร้อยแม้แต่รายการสลับไปมาไม่เป็นตามที่เรียนรู้มาและด้วยใจอคติหลายๆ อย่าง ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าโฟกัสของข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่พระเจ้า พระองค์มิได้เป็นศูนย์กลางในการนมัสการในเวลานั้น ช่างเป็นเรื่องเศร้าข้าพเจ้าพลาด ไม่ได้พบพระองค์ พี่น้องที่รักเป็นความจริงที่มนุษย์ดูรูปร่างภายนอก ซึ่งเราก็ต้องทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด เหมาะสมกับบริบท แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจิตใจ
            พี่น้องที่รัก ท่าดีทีเหลว ปากกับใจไม่ตรงกัน พิธีกรรมสวยงามศักดิ์สิทธิ์ เพลงที่ไพเราะแต่ไร้พฤติกรรมที่เชื่อฟังพระเจ้า ทำให้การนมัสการพระเจ้าหมดความหมาย และไร้คุณค่า การนมัสการที่พระเจ้าทรงพอพระทัย คือเมื่อปากได้ร้องสรรเสริญและจิตใจที่เชื่อฟังพระองค์


          มีผู้เปรียบเทียบว่า ในขณะที่เรามาร่วมนมัสการพระเจ้านั้น ผู้ร้องเพลง ผู้เทศนา ผู้ฟังการเทศนา ล้วนเปรียบเหมือนผู้แสดง แต่ผู้ที่ดูเราคือพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าผู้ฟังการเทศนาคือผู้ชม ส่วนผู้แสดง คือผู้ที่เทศนา ผู้ที่ร้องเพลง และผู้ที่เล่นดนตรี เพราะเราทุกคนล้วนกำลังนมัสการพระเจ้า

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

เธอเป็นคนพิเศษ



เขียนโดย แมกซ์ ลูคาโด
แปลโดย พรทิพย์ ยธิกุล 
          เว็มเม็กซ์คือหุ่นไม้รูปคนตัวเล็ก ๆ หุ่นทุกตัวถูกแกะสลักโดยช่างแกะไม้ชื่อ เอลี เขาอยู่ที่บนภูเขานอกหมู่บ้าน หุ่นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกันบางตัวก็มีจมูกใหญ่ บางตัวก็มีตาโต บางตัวก็สูง บางตัวก็เตี้ย บางตัวสวมหมวก บางตัวสวมเสื้อคลุม แต่ทุกตัวถูกสร้างขึ้นโดยช่างไม้คนเดียวกัน และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เว็มเม็กซ์ทุกตัวจะมีกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปดาวสีทอง และกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปจุดสีเทา และทุก ๆ วัน หุ่นเหล่านี้จะทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ พวกมันจะติดสติ๊กเกอร์ให้กันและกัน ทุกคนสามารถมองเห็นสติ๊กเกอร์รูปดาวหรือรูปจุดที่ติดอยู่บนตัวของแต่ละคนได้ตัวที่สวยหน่อย เนื้อไม้เรียบลื่นและทาสีสวยงาม ก็มักจะได้สติ๊กเกอร์รูปดาวเสมอ แต่ตัวที่เนื้อไม้ไม่เรียบและสีหลุดลุ่ยก็จะได้สติ๊กเกอร์รูปจุด ตัวที่มีความสามารถพิเศษก็จะได้รับดาวด้วยเหมือนกัน บางตัวยกไม้ท่อนใหญ่ให้สูงเหนือศีรษะได้ หรือกระโดดข้ามกล่องสูง ๆ ได้ บางตัวก็รู้จักคำศัพท์ยาก ๆ หรือร้องเพลงไพเราะ ทุกตัวเหล่านี้จะได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาวเว็มเม็กซ์บางตัวได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาวเต็มตัวไปหมด และทุกครั้งที่เขาได้รับรูปดาว พวกเขาก็รู้สึกดี และยิ่งทำให้เขาทำดีอีก และได้รับดาวเพิ่มขึ้นอีก ที่เหลือมีความสามารถนิดหน่อยก็ได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดพันชินเนลโล คือหนึ่งในตุ๊กตาพวกหลัง เขาพยายามกระโดดให้สูงเหมือนตัวอื่น แต่เขาก็ล้มลงทุกครั้ง และเมื่อเขาล้มลง ตุ๊กตาตัวอื่นก็จะมามุงดูเขาและติดสติ๊กเกอร์รูปจุดให้แก่เขาและบางครั้งเมื่อเขาล้ม มันทำให้เนื้อไม้ของเขาชำรุดด้วย และทุกคนก็เอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาเพิ่มให้เขาอีก เขาพยายามอธิบายว่าทำไมเขาล้มลง แต่เขาก็มักจะพูดโง่ ๆ ออกไป ไม่นาน เขาก็มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเต็มไปหมด จนเขาไม่อยากออกนอกบ้านอีกเลย เพราะเขากลัวว่าเขาจะทำเรื่องโง่ ๆ อีก เช่น ลืมหมวก หรือสะดุดหกล้ม และจะทำให้คนอื่นเอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาติดเพิ่มให้เขาอีก ที่จริงเขาได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดมากจนเว็มเม็กซ์ที่เดินผ่านมาเจอเขาก็จะติดสติ๊กเกอร์ให้เขาทันทีโดยไม่มีเหตุผล เพราะว่า “เขาสมควรจะได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดเยอะ ๆ เขาไม่ใช่หุ่นไม้ที่ดี”ไม่นาน พันชินเนลโลก็เชื่อพวกเขาและพูดกับตัวเองว่า “ฉันเป็นหุ่นไม้ที่ไม่ดี” เวลาที่เขาออกไปข้างนอก เขาก็มักจะเข้ากลุ่มกับเว็มเม็กซ์ที่มีจุดเยอะ ๆ เหมือนเขา เขารู้สึกดีที่จะอยู่กับหุ่นไม้ที่เหมือนกันเขา
          วันหนึ่ง เขาพบเว็มเม็กซ์ตัวหนึ่งที่ไม่เหมือนตัวอื่นที่เขาเคยพบมาก่อน เธอไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดหรือดาวเลย เธอก็เป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่งเหมือนกับเขา เธอชื่อว่า ลูเซีย ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพยายามจะติดสติ๊กเกอร์ให้กับเธอ แต่สติ๊กเกอร์เหล่านั้นติดไม่อยู่และหลุดหมด มีบางคนชื่นชมลูเซียที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเลย พวกเขาจึงวิ่งมาจะให้สติ๊กเกอร์รูปดาวกับเธอ แต่สติ๊กเกอร์นั้นก็จะหลุดลงมา บางคนก็ดูถูกเธอที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปดาว พวกเขาจึงอยากให้สติ๊กเกอร์รูปจุดแก่เธอ แต่มันก็ไม่ติดเหมือนกัน พันชินเนลโลจึงคิดในใจว่า “ฉันก็อยากจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” ดังนั้น เขาจึงถามเว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ว่า “ฉันไม่อยากได้สติ๊กเกอร์ของใคร ๆ เหมือนกัน เธอทำยังไงน่ะ” ลูเซียตอบว่า “ง่ายมาก ทุก ๆ วันฉันจะไปหาเอลี” “เอลีหรือ?” “ใช่ เอลีช่างไม้ไงล่ะ ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาทุกวัน” “ทำไม?” “ทำไมเธอไม่ไปหาคำตอบด้วยตัวเธอเองล่ะ? ขึ้นไปบนภูเขาสิ เขาอยู่ที่นั่น”จากนั้น เว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ก็หันหลังแล้วเดินจากไป “แต่ถ้าเขาไม่อยากจะเจอฉันล่ะ?” พันชินเนลโลตะโกนถาม แต่ลูเซียไม่ได้ยิน ดังนั้น พันชินเนลโลจึงกลับบ้าน เขานั่งใกล้หน้าต่าง และมองดูพวกหุ่นไม้ที่เดินเข้าหากันและกันและให้สติ๊กเกอร์แก่กันและกัน “นี่มันไม่ถูกต้องเลย” เขารำพึงกับตัวเอง และเขาก็ตัดสินใจที่จะไปหาเอลี เขาเดินไปตามทางแคบ ๆ ไปยังยอดเขาและเข้าไปยังบ้านของช่างไม้ แล้วตาของเขาก็เปิดกว้างเมื่อมองเป็นทุกสิ่งในนั้นมีขนาดใหญ่โตมาก เก้าอี้มีขนาดสูงเท่ากับตัวเขา เขาต้องยืนเขย่งขาขึ้นเพื่อที่จะมองเห็นว่ามีอะไรอยู่บนโต๊ะ มีขวานที่มีขนาดยาวเท่ากับแขนของเขา พันชินเนลโลกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น “ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แน่!” แล้วเขาก็หันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา"พันชินเนลโล?" เสียงนั้นนุ่มลึกและมีพลัง พันชินเนลโลหยุดเดิน “พันชินเนลโล! ดีใจจริง ๆ ที่เจอเจ้าที่นี่ มานี่มา มาให้ดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อย” พันชินเนลโลหันกลับมาช้า ๆ และมองไปที่ช่างไม้ร่างใหญ่ที่มีหนวดเครา “คุณรู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ?” เว็มเม็กซ์ตัวน้อยถาม "แน่นอนสิ เรารู้จักเจ้า เราสร้างเจ้ามา" เอลีก้มลงและอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ “อืม..” เอลีกล่าวขึ้นมาอย่างใคร่ครวญและมองเขาด้วยอย่างสำรวจที่สติ๊กเกอร์รูปจุดสีเทา “ดูเหมือนเจ้าได้รับเครื่องหมายที่ไม่ค่อยดีเยอะเลยนี่” “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ เอลี ผมพยายามแล้ว” “โอ้ เจ้าไม่ต้องอธิบายกับเราหรอก ลูกรัก เราไม่สนใจหรอกว่าเว็มเม็กซ์ตัวอื่น ๆ พูดถึงเจ้าอย่างไร” “คุณไม่สนหรือครับ?” “ไม่เลย และเจ้าก็ไม่ควรสนใจด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นใคร ที่จะมาเที่ยวให้ดาวหรือจุดกับใคร ๆ ? พวกเขาก็เป็นเพียงหุ่นไม้เหมือนกับเจ้า พวกเขาคิดยังไงก็ไม่สำคัญหรอก พันชินเนลโล สิ่งที่เราคิดต่างหากที่สำคัญ และเราก็คิดว่าเจ้าเป็นหุ่นที่พิเศษมาก”พันชินเนลโลหัวเราะ “ผมน่ะเหรอครับ พิเศษ? ทำไมล่ะครับ? ผมวิ่งก็ไม่เร็ว กระโดดก็ไม่สูง สีของผมก็หลุดลอก แล้วผมจะพิเศษสำหรับคุณอย่างไร?”เอลีมองพันชินเนลโล เขาเอามือวางบนไหล่เล็ก ๆ ของเจ้าหุ่นไม้ตัวเล็ก และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นของเรา ดังนั้นเขาจึงสำคัญสำหรับเรา”ไม่เคยมีใครมองพันชินเนลโลอย่างนี้มาก่อน เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี "ทุกวัน เราเฝ้าหวังว่าเจ้าจะมา” เอลีกล่าว “ผมมาเพราะว่าผมเจอหุ่นไม้ตัวหนึ่งที่ไม่มีสติ๊กเกอร์” "เรารู้แล้ว เธอเล่าเรื่องที่เจอกับเจ้าให้เราฟัง" "ทำไมสติ๊กเกอร์ถึงไม่ติดบนตัวเธอล่ะครับ?" "เพราะว่าเธอเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดสำคัญกว่าสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดน่ะสิ สติ๊กเกอร์มันจะติดอยู่ที่ตัวเธอได้เพราะว่าเธออนุญาตเท่านั้น” "อะไรนะ ?" "สติ๊กเกอร์สามารถติดบนตัวเธอได้ถ้าเธอคิดว่ามันสำคัญสำหรับเธอ แต่ถ้าเธอวางใจในความรักของเรามากเท่าไหร่ เธอก็จะสนใจเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์น้อยลงเท่านั้น” "ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจ" "เจ้าจะเข้าใจ แต่มันต้องใช้เวลา เจ้ามีสติ๊กเกอร์และบาดแผลมาก ดังนั้น จากนี้ไป จงมาหาเราทุกวัน และให้เราได้ทำให้เจ้าได้รู้ว่าเราสนใจเจ้าแค่ไหน” เอลีอุ้มพันชินเนลโลลงจากเก้าอี้ “จำไว้นะ” เอลีกล่าวขณะที่พันชินเนลโลก้าวออกจากประตู “เจ้าเป็นคนพิเศษ เพราะว่าเราสร้างเจ้ามา แล้วเราไม่ได้สร้างเจ้ามาผิดพลาด”พันชินเนลโลเดินจากไปพร้อมกับคิดว่า “ฉันคิดว่าเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ” แล้วทันใดนั้น สติ๊กเกอร์รูปจุดก็ร่วงหล่นลงพื้น

          อยากจะแบ่งปันนิทานเรื่องนี้ คนเรามักจะตัดสินกันด้วยความรู้สึกของตนเอง ความจริงแล้วเรามีสิทธิที่จะตัดสินผู้อื่นหรือ แล้วเราวัดกันจากอะไรว่าบุคคลนั้นเป็นคนที่น่ายกย่อง บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ บ่อยครั้งคนเรามักจะวัดหรือตัดสินกันทางสังคมหรือทางโลก ผู้ที่น่ายกย่องคือผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทอง ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โต ผู้ที่เราจะได้ประโยชน์จากคนๆ นั้น และเรามักจะจดจำกับสิ่งที่ผู้อื่นมากำหนดหรือตัดสินในด้านลบกับตัวเรา และท้อถอย หากไม่ใช่แล้วเราไม่รับก็จะเหมือนกับรูปจุดสีเทาที่หุ่นไม้อื่นๆ มาติดให้กับลูเซียและพันชินเนลโลต้องหลุดออกไป 
          คนเราทุกคนมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างเรา เราเป็นคนพิเศษสำหรับพระเจ้าที่บรรจงสร้างเรามา พระคัมภีร์ปฐมกาล บทที่ 1 ข้อ 26 กล่าวว่า แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน”
          และในทำนองเดียวกัน เราก็อย่าหลงไปกับดาวสีทองที่ผู้อื่นติดให้ จนทำให้เราหยิ่งและดูถูกผู้อื่น 

การสื่อสาร


           ปัญหาต่างๆ ของเราทุกวันนี้ คือการสื่อสาร การสื่อสารที่ผิดพลาดทำให้เกิดการทะเลาะ เบาะแว้ง ปัญหาการสื่อสารอาจแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
          ส่วนที่ 1 ผู้ที่ไม่มีทักษะในการสื่อสารที่ดี ใจคิดที่จะสื่อสารอย่างหนึ่ง แต่คนฟังรับไปอีกอย่างหนึ่ง
          ส่วนที่ 2 คือผู้พูดๆ สื่ออย่างถูกต้องแล้ว แต่ผู้ฟังอาจมีอคติกับเรื่องนั้นๆ ก็ไปสื่อสารให้ผู้อื่นผิด

ยากอบ 1: 19-20
           “ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า”
ให้เรา :
          1.      เร็ว ในการฟัง  ควรเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน ไม่ควรเอาความคิดตนเองเป็นที่ตั้งแต่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมรับฟังใคร
         2.      ช้าในการพูด – การพูดหากพูดแล้วทำให้คนฟังเกิดรอยแผล อย่าพูด ให้เปลี่ยนเป็นคำสอนจะดีกว่า นั่นคือการคิดก่อนที่จะพูด
         3.      ช้าในการโกรธ – ขณะที่เรากำลังโกรธ อย่าตัดสินใจอะไร ให้ถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อน เพื่อคิด ตรึกตรอง แล้วจึงตัดสินใจ

NICK 2 กันยายน 2013












วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

พระพรและการขอบพระคุณ


พระธรรมปฐมกาล 1 : 1-31
การเนรมิตสร้างโลกและมนุษย์
                [ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง] 1ฟ้าและแผ่นดิน 2แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
            3พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น 4พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด 5พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันแรก
            6พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน” 7พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น 8พระเจ้าทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า มีเวลาเย็น และเวลาเช้า เป็นวันที่สอง
            9พระเจ้าตรัสว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่แห่งเดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นดังนั้น 10พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 11พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ผักหญ้าที่มีเมล็ดและต้นไม้ที่ออกผล มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น 12แผ่นดินก็เกิดพืช คือผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 13มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สาม
            14พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี 15และให้เป็นดวงสว่างบนฟ้า เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น 16พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆด้วย 17พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนฟ้า ให้ส่องสว่างบนแผ่นดิน 18ให้ครองวันและคืน และแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 19มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สี่
            20พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน” 21พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นฝูงๆตามชนิดของมัน และนกต่างๆตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 22พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้นว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้น จนเต็มน้ำในทะเล และให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน” 23มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ห้า
            24พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น 25พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
            26แล้วพระเจ้าตรัสว่า ”ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” 27พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
            28พระเจ้าอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน” 29พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า 30ฝ่ายสัตว์ทั้งหลายบนแผ่นดิน นกทั้งปวงในอากาศและบรรดาสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินทุกสิ่งทุกอย่างที่มีลมปราณนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น 31พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก

                ข้าพเจ้าได้นำเอาพระธรรมปฐมกาลขึ้นมา  เพื่อย้ำให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่แห่งการทรงสร้างอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า และให้เราไม่ลืมว่าใครเป็นผู้สร้างเรา ใครเป็นเจ้าของตัวเรา
เราจะเห็นได้ว่า เราทุกคนไม่ได้เกิดมาด้วยความบังเอิญ หรือโดยความผิดพลาดของผู้หนึ่งผู้ใด แต่เราทุกคนคือสุดยอดแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า พระเจ้าทรงสรรสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างตั้งใจและบรรจง แตกต่างจากสิ่งทรงสร้างอื่นๆทั้งปวง
เราถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับพระเจ้า ในพระธรรม ยอห์น 4:24 กล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระเจ้าสร้างเราให้มีความแตกต่างจากสัตว์ มีจิต วิญญาณ

ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วย 3 ส่วน ในพระธรรม 1 เธสะโลนิกา :23 กล่าวว่า ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราเสร็จมา
ส่วนที่ 1 ของมนุษย์ เรียกว่า ร่างกาย พระคัมภีร์เรียกร่างกายของมนุษย์ว่า เรือนดิน  2 โครินธ์ 5:1 “เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์
ส่วนที่ 2 ของมนุษย์ เรียกว่า จิตใจ เป็นที่ตั้งของอารมณ์ ความรู้สึกชอบไม่ชอบ  พระธรรมมาระโก 7 :20-23 “พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
ส่วนที่ 3 ของมนุษย์ เรียกว่า " วิญาณจิต " เป็นส่วนหนึ่งที่นำให้มนุษย์รู้สึกอยากนมัสการพระเจ้า อยากสัมพันธ์กับพระเจ้า ยอห์น 4: 24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงเป็นส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่ แม้ว่าร่างกายจะตายไปแล้ว เป็นส่วนที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์โดยสิ้นเชิง นับเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงห่วงใย

แม้มนุษย์คู่แรก นั่นคือ อาดัมกับเอวา ได้ทำผิดบาป และได้หลบหนีจากพระเจ้าเมื่อรู้ว่าตนเองทำผิด โดยไปกินผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดน จนถึงปัจจุบันมนุษย์ก็ยังหนีจากพระเจ้า

            หลังยุคสมัยของอาดัมและเอวา มนุษย์กลายเป็นคนชั่วร้ายมากขึ้นทุกวัน ศีลธรรมเสื่อมโทรมลงจนถึงจุดที่พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะกวาดล้างทุกสิ่งเสีย แต่โนอาห์และครอบครัวเป็นส่วนที่ถูกยกเว้น (ปฐมกาล 6:5-8) พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป พระเจ้าจึงเสียพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัส  พระเจ้าจึงตรัสว่า เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์สัตว์กับบรรดาสัตย์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างมา แต่โนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรพระเจ้า พระเจ้าสั่งให้โนอาห์ต่อเรือเพื่อให้เขาและบรรดาสัตว์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดชนิดละคู่อาศัยอยู่ในระหว่างที่น้ำท่วมโลก ซึ่งโลกไม่ได้ถูกทำลายล้าง มีเพียงคนที่ชั่วร้ายที่อาศัยบนโลก (ปฐมกาล 7:21) "บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวก็ตายสิ้น"
            แม้เราจะทำผิดบาปอย่างไร พระองค์ก็ทรงห่วงเรา และยังคงรักเรา ด้วยความรักของพระเจ้า จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อมาไถ่บาปมนุษย์ กาลาเทีย 4:4-7 แต่เมื่อครบกำหนดแล้วพระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่า อาบา คือ พระบิดา เหตุฉะนั้นโดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท

ขอนำพระธรรม ฟีลิปปี 4 : 14-20
พระธรรมฟีลิปปีเป็นจดหมายที่อ.เปาโลเขียนจากเรือนจำที่กรุงโรม เพื่อจะแสดงความรู้สึกขอบพระคุณที่มีต่อคริสตจักรฟีลิปปี เราจึงคงเรียกพระธรรมนี้ว่า เป็น จดหมายแห่งการขอบพระคุณ
           การขอบพระคุณกับความเชื่อได้เดินไปเป็นคู่กัน เราควรรู้จักการขอบ พระคุณ
1.      เราต้องขอบพระคุณ เพราะคนหลายคนที่ช่วยเหลือเรา
ฟิลิปปี 4 : 14-15 ถึงกระนั้นก็เป็นความกรุณาของท่าน ที่ได้ร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า และพวกท่านชาวฟิลิปปีก็ทราบอยู่แล้วว่า การประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเริ่มแรกนั้น มาตอนเมื่อข้าพเจ้าออกไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในรายรับรายจ่ายเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น เปาโลได้รู้จักที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์และที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า อ.เปาโลไม่มีความทุกข์ หรือไม่ต้องการอะไร อ.เปาโลได้ยอมรับว่า มีความทุกข์ ความทุกข์ที่นี่คงหมายถึงความทุกข์ที่กำลังเผชิญอยู่ในเวลานั้นที่เขียนจดหมายฉบับนี้ คือ การถูกจำคุกและความลำบากที่ตามมา แต่อ.เปาโลได้ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่ามีคริสเตียนชาวเมืองฟีลิปปีที่ช่วยเหลือท่าน คริสเตียนชาวฟีลิปปีได้ช่วยเหลืออ.เปาโลด้วยเงินทอง เมื่ออ.เปาโลประกาศข่าวประเสริฐที่เมืองฟีลิปปี และนางลิเดีย คนขายผ้าสีม่วง และนายคุกได้เชื่อพระเยซู นางลิเดียได้เชิญอ.เปาโลและทีมของท่านให้พักอาศัยที่บ้านของตน และใช้บ้านให้เป็นสถานที่ที่ประชุมกัน นี่เป็นการเริ่มต้นของคริสตจักรฟีลิปปี เมื่อเปาโลออกจากเมืองฟีลิปปีไปประกาศที่เมืองเธสะโลนิกา คริสตจักรฟีลิปปีได้ถวายเงินมาช่วยเหลือพันธกิจของเปาโลหลายครั้ง นอกจากนี้แล้ว คริสตจักรฟีลิปปีก็ส่งเงินมาช่วยเปาโลเรื่อยๆ ยิ่งกว่านั้น เมื่อเปาโลถูกจำคุกอยู่ที่กรุงโรม คริสตจักรฟีลิปปีได้ส่งเงินมาให้ การกระทำของคริสตจักรฟีลิปปีเช่นนั้น เปาโลกล่าวไว้ว่า “เป็นความกรุณาของท่านที่ได้ร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า” 
เราควรขอบพระคุณพระเจ้า เพราะเรามีคนเหล่านี้อยู่ล้อมรอบตัวเรา ชีวิตเราจึงไม่โดดเดี่ยว เราได้รับการหนุนใจและการเล้าโลมอย่างมากจากคนเหล่านี้
2.      เราต้องขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเราสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ (4.17-18)
            ฟิลิปปี 4 : 17-18 “มิใช่ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับของให้ แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น ข้าพเจ้าได้รับครบ และมากกว่านั้นอีก ข้าพเจ้าอิ่มอยู่เพราะได้รับของจากเอปาโฟรดิทัส ซึ่งพวกท่านส่งไปให้ เป็นกลิ่นหอม เป็นเครื่องบูชา ที่ทรงโปรดและพอพระทัยของพระเจ้า การที่เราได้รับการช่วยเหลือและความรักจากคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่น่าขอบพระคุณ แต่การที่เราช่วยคนอื่นได้นั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีและน่าขอบพระคุณมากกว่า
อ.เปาโลเป็นผู้รับความช่วยเหลือจากคริสตจักรฟีลิปปี และคริสตจักรฟีลิปปีเป็นผู้ให้ อ.เปาโลอยากให้คริสตจักรฟีลิปปีทราบความจริงประการหนึ่ง คือคริสตจักร ฟีลิปปีน่ายินดีและน่าขอบพระคุณพระเจ้ามากกว่าอ.เปาโลเอง เพราะมีสาเหตุ สองประการ   เพราะสิ่งนั้นได้นำผลกำไรอันยิ่งใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เปาโลไม่ปรารถนาจะได้รับของขวัญจากใครเลย แต่เมื่อคริสตจักรฟีลิปปีได้ฝากของมาให้ อ.เปาโลก็รับ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่คริสตจักรฟีลิปปี อ.เปาโลถือว่า ของฝากที่คริสตจักรฟีลิปปีส่งมานั้น เป็นการลงทุนฝ่ายวิญญาณและผลกำไรในการลงทุนนั้นกลับเข้าบัญชีของคริสตจักรฟีลิปปี
3. เราต้องขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงประทานสิ่งสารพัดทุกอย่าง
ฟีลิปปี 4:19-20และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ขอให้พระสิริจงมีแด่พระเจ้าพระบิดาของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อเมน
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราก็ดี ในการรับใช้พระเจ้าก็ดี เราต้องการหลายสิ่งหลายอย่างทางวัตถุ โดยส่วนใหญ่แล้ว ความต้องการเหล่านี้ได้ถูกเติมให้เต็มโดยคนอื่นๆ แต่จริงๆแล้ว พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทาน (ข้อ 19)
พระเจ้าทรงบริบูรณ์ด้วยสิ่งสารพัด คลังของพระองค์เต็มไปด้วยทรัพย์อันรุ่งเรือง พระเจ้าทรงเทให้เต็มอย่างบริบูรณ์ในพระคริสต์แก่คนที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ เหมือนดังที่พระเยซูได้ทรงตรัสไว้แล้วในพระธรรมมัทธิว 6.33 ว่า “... จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระ องค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องพึ่งอาศัยพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความต้องการของเรา และควรดำเนินชีวิตที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

มีผู้กล่าวว่า เราอย่าหลงกับสิ่งของที่ได้รับ จนลืมผู้ที่ให้เรา คือ เราได้รับสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า แต่เราอย่าลืมพระเจ้าผู้ให้ชีวิต ให้ทุกสิ่ง ผู้สร้างฟ้า สวรรค์ และแผ่นดินโลก

อ. เปาโลได้กล่าวไว้ว่า จงขอบพระคุณในทุกกรณี” (1เธสะโลนิกา 5.18)  ทุกสิ่งล้วนแต่มาจากพระเจ้า โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ 
เอเฟซัส 2:8  “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้

ความถ่อมใจ




เราคิดว่า ความถ่อมใจ หมายความว่าอย่างไร บางทีเรามีความคิดว่าคนเราไม่ค่อยชอบใครดี หรือเด่นกว่าตัวเอง เหมือนดังเช่นคำว่า ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกินบางคนก็เลยต้องทำตัวให้ด้อยที่สุด ต้องต่ำกว่าผู้อื่น เราจะได้เข้ากับคนอื่นได้ อาจประมาณนี้ ถ้าเปรียบก็คือ เราต้องอ่อนแอกว่าคนอื่น ปล่อยให้คนอื่นข่มเหงเรา
มีศิษยาภิบาลท่านหนึ่งกล่าวว่า ความถ่อมใจเป็นอาภรณ์ของคริสเตียน แต่ความถ่อมใจในพระคัมภีร์จะเป็นแบบที่เราคิดหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่น่าค้นหา
ในหนังสือบทเรียนติดตามเลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่ ของคริสตจักรที่ 1 ให้ความหมายว่า ความถ่อมใจ คือ  สิ่งที่ตรงข้ามกับความภาคภูมิใจ หยิ่งยโส เป็นการที่เรารู้จักตัวเอง ว่าแท้จริงแล้วต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่นั้น เราเป็นผู้ที่ต่ำต้อย เป็นคนบาป แต่ไม่ได้เป็นการเกลียดตัวเอง หรือเหยียดตัวเองให้ต่ำลง และยังรวมทั้งการไม่มองว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น เป็นการยอมรับที่จะอยู่ใต้ผู้อื่นด้วยความยินดี เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คน เราอาจคิดว่าให้เราทำตัวต่ำต้อยกว่าผู้อื่น เพื่อให้อยู่กับผู้อื่นได้ นั่นไม่ใช่เป็นการถ่อมใจเลย เพราะนั่นคือไม่ได้เต็มใจที่จะทำ ทำให้เรามองตัวเองว่าไม่มีคุณค่าใดๆ เลย ถูกข่มเหงกลับมาเจ็บปวดด้วยซ้ำไป ไม่ได้มีสันติสุข และไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับตัวเองและผู้อื่นด้วย
การถ่อมใจนั้น เป็นการถ่อมใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งมิได้หมายถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในขณะที่เราอธิษฐาน สารภาพบาป หรือการเฝ้าเดี่ยวเท่านั้น สิ่งนั้นคือการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ เป็นผู้เล็กน้อย การกระทำต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าเช่นกัน เพราะพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ
ในพระธรรมมัทธิว 23:12 กล่าวว่า ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะถูกเหยียดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น ผู้ที่มองเห็นเราคือพระเจ้า จะยก ชูเราขึ้น หากเรามีความถ่อมใจอย่างแท้จริง แล้วเราจะมีความถ่อมใจ เป็นผู้เล็กน้อย และปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นด้วยความถ่อมใจเป็นไปโดยอัตโนมัติเองด้วยใจที่ได้ทำ ได้รับใช้ผู้อื่น มองเห็นคุณค่าของตัวเอง ด้วยพระคุณและความรักของพระเจ้า
ในพระธรรม 2 โครินทร์ 10:17-18 กล่าวว่า ถ้าผู้ใดจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะคนที่ยกย่องตัวเองไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด คนที่น่านับถือนั้นคือคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกย่อง
ในพระธรรมมัทธิว 16:24 -28 กล่าวว่า พระเยซูจึงตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราคนนั้นจะได้ชีวิตรอด เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา? เพราะว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระรัศมีของพระบิดา พร้อมด้วยบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของเขา เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนจะไม่ลิ้มรสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของพระองค์”” ในพระวจนะดังกล่าวนี้ สอนให้เรารู้ว่า เราต้องตายจากชีวิตเดิมของเรา จึงจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง
การตรึงที่กางเขนเป็นวิธีการประหารชีวิตที่ชาวโรมันสมัยก่อน ใช้โดยทั่วไปกับอาชญากรที่ต้องโทษจะต้องแบกกางเขนของตนเองไปตามถนนต่างๆ สู่บริเวณที่เขาจะถูกประหาร ฉะนั้นการติดตามพระเยซูจึงหมายถึงการอุทิศชีวิตอย่างแท้จริง ต้องเสี่ยงกับความตาย และไม่มีการหันกลับ
สิ่งที่เราสั่งสมไว้ในโลกนี้ไม่มีค่าพอที่จะซื้อชีวิตนิรันดร์ แม้กระทั่งเกียรติยศสูงสุดทางสังคมก็ยังไม่สามารถช่วยให้เราได้มาซึ่งชีวิตนิรันดร์ ในอนาคตเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมาจะมีการพิพากษาครั้งสุดท้าย(มัทธิว 25:31-46) และชีวิตของทุกคนก็ถูกพิพากษาเช่นกัน แม้จุดหมายปลายทางชีวิตของคริสเตียนจะมั่นคงแน่นอนแล้ว แต่พระเจ้าพิจารณาดูว่าผู้นั้นได้จัดการกับของประทาน โอกาส และหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างไร เพื่อตัดสินว่าเขาควรได้รับบำเหน็จอะไรในสวรรค์ เมื่อเวลาพิพากษาพระเจ้าจะช่วยคนชอบธรรมให้รอดและลงโทษคนชั่วร้าย เราไม่ควรตัดสินว่า ผู้อื่นจะรอดหรือไม่รอด นั่นเป็นธุระของพระเจ้า

พระธรรมมัทธิว 25:31-46
31 เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
32
 บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ 
33
 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย 
34
 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 
35
 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ 
36
 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา' 
37
 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร 
38
 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร 
39
 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร' 
40
 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย' 
41
 พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น 
42
 เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม 
43
 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา' 
44
 เขาทั้งหลายจะทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร' 
45
 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย' 
46
 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์





การสื่อสาร



            ปัญหาต่างๆ ของเราทุกวันนี้ คือการสื่อสาร การสื่อสารที่ผิดพลาดทำให้เกิดการทะเลาะ เบาะแว้ง ปัญหาการสื่อสารอาจแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
            ส่วนที่ 1 ผู้ที่ไม่มีทักษะในการสื่อสารที่ดี ใจคิดอย่างหนึ่ง คนฟังรับไปอีกอย่างหนึ่ง
            ส่วนที่ 2 คือผู้พูดๆ สื่ออย่างถูกต้องแล้ว แต่ผู้ฟังอาจมีอคติกับเรื่องนั้นๆ ก็ไปสื่อสารให้ผู้อื่นผิด
ยากอบ 1: 19-20
            ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า


ให้เรา :
         1.      เร็ว ในการฟัง ควรเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน ไม่ควรเอาความคิดตนเองเป็นที่ตั้งแต่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมรับฟังใคร
         2.      ช้าในการพูดการพูดหากพูดแล้วทำให้คนฟังเกิดรอยแผล อย่าพูด ให้เปลี่ยนเป็นคำสอนจะดีกว่า นั่นคือการคิดก่อนที่จะพูด
       3.      ช้าในการโกรธขณะที่เรากำลังโกรธ อย่าตัดสินใจอะไร ให้ถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อน เพื่อคิด ตรึกตรอง แล้วจึงตัดสินใจ