วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เติมเต็มความรักจากพระเจ้า

 

เติมเต็มความรักจากพระเจ้า

18 ตุลาคม 2565

เราเคยหรือไม่ที่มักตัดสินผู้อื่นว่า เป็นคนบาป หรือเราเคยหรือไม่ที่ถูกผู้อื่นรังเกียจ ถูกผู้อื่นไม่ยอมรับ จนคิดว่าแล้วพระเจ้าจะรักเราหรือไม่ ....

จากข้อคิดในเรื่อง หญิงที่เคยทำบาปได้รับการยกโทษ ในพระธรรม ลูกา 7:36-50

ลูกา 7:36-50

36มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในบ้านของฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายที่โต๊ะอาหาร 37นี่แน่ะ มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป เมื่อรู้ว่าพระองค์กำลังเสวยอาหารอยู่ในบ้านของฟาริสีคนนั้น นางจึงนำผอบน้ำมันหอมมา 38ยืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ แล้วร้องไห้น้ำตานองเปียกพระบาท นางจึงใช้ผมเช็ด จูบพระบาทของพระองค์แล้วเอาน้ำมันชโลม 39ฟาริสีคนที่เชิญพระองค์มาเมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป40พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่านเขาทูลว่า ท่านอาจารย์ เชิญพูดไปเถิด41พระองค์จึงตรัสว่า เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบ 42เมื่อเขาไม่สามารถใช้หนี้ได้ ท่านจึงยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า?” 43ซีโมนจึงทูลว่า ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่นายยกหนี้ให้มากพระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ท่านตัดสินได้ถูกต้อง44พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูหญิงคนนั้น แล้วตรัสกับซีโมนว่า ท่านเห็นหญิงคนนี้ใช่ไหม? เมื่อเราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเอาผมของนางเช็ด 45ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงคนนี้ไม่ได้หยุดจูบเท้าของเราเลยนับตั้งแต่เราเข้ามา 46ท่านไม่ได้เอาน้ำมันมาชโลมศีรษะของเรา แต่นางเอาน้ำมันหอมมาชโลมเท้าของเรา 47เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปต่างๆ ของนางซึ่งมีมากมายนั้นได้รับการยกโทษแล้วเพราะนางรักมาก แต่คนที่ได้รับการยกโทษน้อยก็รักน้อย48พระองค์จึงตรัสกับนางว่า บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว49บรรดาคนที่ร่วมเอนกายที่โต๊ะอาหารด้วยก็พูดกันว่า คนนี้เป็นใครกันถึงยกโทษบาปได้?” 50พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด

ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก http://www.kamsonbkk.com/dailyreading/luke/2759-0072064 (เผยแพร่เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556)

พวกฟาริสีนั้นถือว่าเป็นผู้รอบรู้ในกฎต่างๆ ของชาวยิว พวกเขาคิดว่ารู้กฎต่างๆเหล่านั้น และปฏิบัติได้ดีกว่าคนอื่นๆ บางครั้ง พวกเขาใส่ข้อความบางอย่างในกฎซึ่งพระเจ้าไม่ได้ใส่เอาไว้ ทำให้กฎที่พวกเขาบัญญัติขึ้นยากเกินไปสำหรับคนทั่วๆ ไปที่จะทำตามได้ เพราะว่าพวกฟาริสีเป็นอาจารย์ดังนั้นผู้คนจึงพยายามทำตามสิ่งที่พวกเขาได้สั่งสอน ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าให้บัญญัติในบัญญัติสิบประการว่า “ให้ระลึกถึงวันสะบาโตและถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์” พระเจ้าหมายความว่า ให้ผู้คนที่จะพักผ่อน และนมัสการพระเจ้า แต่พวกฟาริสีทำให้มันยากขึ้นไปอีก พวกเขาบอกว่า ในวันสะบาโตผู้คนไม่สามารถที่จะเดินมากกว่าจำนวนก้าวที่ถูกกำหนดเอาไว้ ถ้ามีใครที่เดินก้าวมากกว่านั้นถือว่าเป็นการทำงาน พวกฟาริสีไม่ชอบพระเยซูคริสต์ ก็เพราะพระเยซูคริสต์สอนว่าพระเจ้ามีเมตตา รัก และทรงให้อภัย ผู้คนมากมายชอบในสิ่งที่พระเยซูได้สั่งสอน พวกเขาต้องการได้ยินเรื่องราว เกี่ยวกับพระเจ้าจากพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ แทนที่จะใส่ใจกับพวกฟาริสี พวกฟาริสีจึงไม่ชอบพระเยซูคริสต์ พวกเขาเริ่มหาวิธีที่จะแกล้งให้พระเยซูรู้สึกอับอาย โดยการตั้งคำถามให้พระเยซูตอบต่างๆ นานา  ซึ่งในพระคัมภีร์ตอนนี้ ซีโมนซึ่งเป็นฟาริสี ได้เชิญพระเยซูคริสต์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเขา (ข้อ 36) ซึ่งสมัยนั้นบ้านของผู้มีอันจะกินมักมีลานบ้านที่เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่ตรงกลาง หลังคาเปิด  และมักมีสวนพร้อมกับน้ำพุอยู่บริเวณลานบ้านด้วย  หากอากาศอบอุ่นพวกเขาจะกินเลี้ยงกันที่นี่    เมื่อมีอาจารย์มากินเลี้ยงที่บ้านระดับนี้  เป็นธรรมเนียมที่ชาวบ้านทุกคนมีสิทธิเข้ามาในบริเวณลานบ้านที่ใช้จัดงานเลี้ยง เพื่อฟังปรีชาญาณที่หลั่งไหลออกมาจากปากของท่านอาจารย์    หญิงคนบาปสามารถเข้ามาอยู่ในงานเลี้ยงได้ก็เพราะเหตุนี้

ปกติเมื่อแขกรับเชิญมาถึงบ้าน  มี 3 สิ่งที่เจ้าภาพพึงกระทำเพื่อต้อนรับและให้เกียรติแขกผู้มาเยือนคือ

1.  วางมือบนไหล่ของแขกแล้วจูบคำนับ  การแสดงความเคารพเช่นนี้จะละเว้นมิได้เป็นอันขาดหากเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง

2.    เนื่องจากถนนในปาเลสไตน์เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ซึ่งจะกลายเป็นโคลนตมเมื่อฝนตก ทั้งรองเท้าที่สวมใส่มีลักษณะเปิดคล้ายรองเท้าแตะ เจ้าภาพจึงต้องเตรียมน้ำเย็นไว้ล้างเท้าของแขกให้สะอาด อีกทั้งเป็นการทำให้เท้าผ่อนคลายก่อนเชิญแขกเข้าบ้าน

3.    เผากำยานหอม หรือไม่ก็นำน้ำมันกุหลาบมาเจิมศีรษะของแขก    เป็นสิ่งที่ผู้มีมารยาทดีพึงกระทำ  แต่ซีโมนไม่ได้ทำเลย

ปกติชาวยิวไม่ได้นั่งรับประทานอาหาร แต่จะเอนนอนโดยใช้ศอกข้างซ้ายหนุนเบาะ ปล่อยให้มือขวาว่างไว้หยิบอาหาร  และปล่อยให้เท้าเหยียดไปด้านหลัง โดยไม่สวมรองเท้า หญิงคนนี้จึงมาทางด้านหลัง ไม่ได้ผ่านมาทางโต๊ะอาหารเพื่อชโลมน้ำมันที่เท้าของพระเยซู

ผู้ที่เชิญพระเยซูมารับประทานอาหารร่วมกันกับเขา อาจเป็นเพราะหวังจับผิด หรือต้องการเป็นที่สนใจแก่คนทั่วไป โดยเชิญผู้มีชื่อเสียงมาที่บ้านเพราะช่วงเวลานั้นมีแต่ผู้กล่าวถึงพระเยซู หรือเขาอาจเคารพพระเยซูเพราะเรียกท่านว่าอาจารย์ แต่ก็กลับละเว้นธรรมเนียมปฏิบัติที่พึงกระทำต่ออาจารย์ผู้มีชื่อเสียงดังเช่นพระเยซู

 

เรื่องนี้ได้ให้ข้อคิดและหนุนใจอะไรเราบ้าง

พระคัมภีร์ตอนนี้ได้ย้ำกับเราว่า พระเจ้ารักเราทุกคนในสถานภาพที่เราเป็น ไม่มีใครเลวเกินกว่าที่พระเจ้าจะรักได้ แม้ว่าในสายตาของเราว่าคนนี้เป็นคนไม่ดี อย่าให้สายตาเราเป็นแบบฟาริสีที่คิดว่าคนเลวไม่ควรมาใกล้พระเจ้า ไม่สมควรได้รับความรักจากพระเจ้า ไม่มีใครดี หรือเลวเกินไปที่จะไม่ได้รับความรักจากพระเจ้า ในเรื่องนี้หญิงคนนี้เป็นหญิงโสเภณีซึ่งถูกเรียกว่าเป็นคนชั่ว (ข้อ 39) นางได้ยินเรื่องราวพระเยซูได้ยินคำเทศนาบ่อยๆ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้พระเยซู โดยพระคุณพระเจ้า นางเกิดความเชื่อและตัดสินใจกลับใจ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระวิญญาณแห่งความรักเข้ามาในจิตใจของนาง พอรู้ว่าฟาริสีเชิญพระเยซูคริสต์มารับประทานอาหารที่บ้านจึงตามมา และเข้ามาหาพระเยซู

หญิงคนนี้เป็นคนบาป และเป็นคนบาปหนักด้วยเพราะนางเป็นโสเภณีตามการตัดสินของคนเมืองนี้  นางเป็นหนึ่งในฝูงชนที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ และตระหนักว่าพระองค์สามารถช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากวิถีชีวิตอันขื่นขมได้    และเช่นเดียวกับหญิงชาวยิวทุกคน นางมีขวดหินขาวเล็ก ๆ บรรจุน้ำมันหอมเข้มข้น ราคาแพง แขวนไว้ที่คอ  นางตั้งใจจะชโลมพระบาทของพระองค์ด้วยน้ำมันหอมนี้เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดีที่สุดและมีค่ามากที่สุดเท่าที่นางมี    แต่เมื่อเห็นพระองค์ น้ำตาของนางกลับไหลพรั่งพรูรดพระบาทของพระองค์ !    นางจึงใช้ผมที่สยายยาวของนางเช็ดพระบาทของพระองค์ สำหรับหญิงชาวยิว การสยายผมออกมาถือว่าไม่สุภาพอย่างยิ่ง  หลังจากแต่งงานแล้ว หญิงชาวยิวจึงไม่ยอมปล่อยผมสยายออกมาให้ปรากฏเลย    การที่นางแก้มัดผมในที่สาธารณะเพื่อเช็ดพระบาทของพระองค์ แสดงให้เห็นว่า นางลืมคิดถึงทุกสิ่งและทุกคน เว้นแต่พระเยซูคริสต์ เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นท่าทีของจิตใจคนที่แตกต่างกัน  จากความคิดของซีโมนเองก็คือเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดีทั้งในสายตาของมนุษย์และของพระเจ้า  เขาจึงไม่ต้องการพึ่งพาพระองค์  ไม่รักพระองค์  และที่สุดจึงไม่ได้รับการอภัยบาปจากพระองค์    ส่วนหญิงคนนี้สำนึกว่าตนเป็นคนบาปและต้องการพระเยซูคริสต์อย่างที่สุด  หัวใจของนางจึงเต็มล้นด้วยความรักต่อพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเหลือนางได้  และในที่สุดนางจึงได้รับการอภัยบาป    สิ่งหนึ่งซึ่งปิดกั้นมนุษย์จากพระเจ้าอย่างเด็ดขาดคือการคิดว่าตัวเองดี แต่แท้จริงแล้ว "คนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป รู้ตัวว่าอ่อนแอ ต้องการความเมตตาจากพระเจ้า และยอมพึ่งพาพระองค์นั้น เป็นคนที่พระเจ้ายอมรับและเมตตา"

 

1ทิโมธี 1:15

คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้

นางเชื่อว่าชีวิตนี้มีค่า พระเจ้าไม่ได้วัดคุณค่าของเราจาก อาชีพ ตำแหน่ง ทรัพย์สินเงินทอง จากสายตาของมนุษย์ เรามีค่าสำหรับพระเจ้าเสมอ พระเจ้ารักเราอย่างที่เราเป็น พระเจ้าไม่ชอบบาปของเรา ต้องการเปลี่ยนแปลงเรา ให้เรากลับใจ เราอย่าตกลงไปในการทดลองแล้วขึ้นจากหลุมพลางนี้ไม่ได้ ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้เราออกจากบาป ไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างที่จะทำบาปอยู่ โดยคิดว่าเราเป็นคนบาปถึงอย่างไรพระเจ้าก็รักเราให้อภัยเสมอ พระเจ้ารักเราแต่ไม่ได้ชอบบาปของเรา พระเจ้ารักเราอยากให้เราเป็นคนดี ในสายตาพระเยซูที่เป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งส่งพระองค์มาตายเพื่อชำระบาปให้เรา เราจึงเป็นคนที่มีคุณค่า ในสายตาทางศาสนา หรือสายตาฟาริสี นางเป็นคนผิดบาปแน่นอน แต่เมื่อนางพบพระเยซูจะได้รับการกลับใจ มีชีวิตที่มีคุณค่า แต่หากนางพบฟาริสีนางจะถูกชี้ว่าบาป

โรม 5:5 “…เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว

ความรักของพระเจ้าทำให้เราไม่รู้สึกขาด ไม่ต้องการให้ความรักอื่นมาเติมเต็มให้กับเรา ทำให้เรารู้สึกไม่ขาดอะไรอีก เราจึงมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักของพระเจ้า ความชื่นชมยินดี ทำให้เรามอบความรักต่อผู้อื่นได้

สำหรับตัวเราแล้ว เรามีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าทุกเวลาหรือไม่ หรือมีบ้างบางเวลา หรือยังขอเว้นระยะห่างจากพระเจ้าบ้าง หรือไม่


ขอคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความ เรื่องราว คำเทศนาดีๆ ที่ข้าพเจ้าได้นำมารวบรวมเพื่อแบ่งปันในเช้าวันนี้

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565

พระพรที่ซ่อนอยู่

 

27 กันยายน 2565


พระพรที่ซ่อนอยู่

 

“เพราะฉะนั้น พวกท่านจงถ่อมตัวลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะทรงยกพวกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร”—1 เปโตร 5:6

บ่อยครั้งเมื่อเราเจอปัญหาต่างๆ เรากลับไม่ไว้ใจพระเจ้า ท้อแท้ได้ง่ายๆ ยิ่งยุคปัจจุบันคนเราอยู่กับอะไรก็ต้องรวดเร็วขึ้น จึงไม่รู้จักคำว่ารอคอย เราไม่รู้จักคำว่าอดทน และดูเหมือนว่าเวลาของพระองค์ล่าช้าไม่ทันใจ วันนี้จึงของนำ เรื่องของ โยเซฟบุตรชายยาโคบ ปฐมกาล 37-50 มาแบ่งปัน เป็นบทเรียน หนุนใจร่วมกันในเช้าวันนี้

โยเซฟ​เป็น​บุตรคนแรกของนางราเชล ซึ่งเป็นภรรยาของยาโคบ ซึ่งยาโคบมีบุตรชายทั้งหมด 12 คน เกิดจากภรรยาทั้งหมด 4 คน นางราเชลมีบุตรชาย 2 คน คือโยเซฟ และเบนยามิน โยเซฟเป็นลูก​ที่​ยาโคบ​รัก​มาก​ที่​สุด เพราะ​เขา​เกิด​มา​ตอน​ที่​ยาโคบ​อายุ​มาก​แล้ว และเป็นลูกคนท้ายๆ พี่ชายของเขาจึง​อิจฉา​และ​เกลียด​โยเซฟ​มาก สาเหตุที่พี่ชายเกลียดชังโยเซฟคงมาจากเรื่องที่ยาโคบนั้นรักโยเซฟมากกว่าใครๆ ในครอบครัว และโยเซฟยังเอาเรื่องความผิดของพี่ๆ ไปเล่าให้ยาโคบฟังและนอกจากนั้นตัวของโยเซฟเองยังได้เอาความฝันที่เขาฝัน ไปบอกเล่ากับทุกคนในครอบครัวซึ่งสิ่งที่โยเซฟได้เล่านั้นแสดงออกถึงการตั้งตัวเองเป็นผู้ครอบครองในบ้านหรือบอกเป็นนัยว่าเขาจะเป็นผู้รับมรดกของยาโคบ และการที่ยาโคบเอง ทำเสื้อคลุมให้โยเซฟสวมใส่ ยิ่งเป็นการตอกย้ำและทำให้เกิดความเกลียดชังในตัวโยเซฟมากยิ่งขึ้น และได้ฝันอีก แล้วนำความฝัน​ไป​เล่า​ให้​พวก​พี่​ชาย​ฟัง เมื่อพวกพี่ชาย​ฟัง​แล้ว พวก​พี่​ชาย​ก็​เข้าใจ​ว่า​ความ​ฝัน​นั้น​หมาย​ถึง​พวก​เขา​จะ​ต้อง​ก้ม​กราบ​โยเซฟ พวก​เขา​เลย​เกลียด​โยเซฟ​ยิ่ง​กว่า​เดิม

วัน​หนึ่ง พวก​พี่​ชาย​ของ​โยเซฟ​ไป​เลี้ยง​แกะ​แถว​เมือง​เชเคม ยาโคบ​ให้​โยเซฟ​ไป​ดู​ว่า​พวก​พี่​ชาย​เป็น​อย่าง​ไร​บ้าง พอ​พวก​พี่​ชาย​เห็น​โยเซฟ​แต่​ไกล​ก็​พูด​กัน​ว่า ‘ไอ้​คน​ช่าง​ฝัน​มัน​เดิน​มา​โน่น​แล้ว ฆ่า​มัน​เถอะ! แล้วทิ้งลงบ่อ’ แต่รูเบนอยากช่วยโยเซฟให้พ้นมือพวกพี่ชาย จึงพูดว่า อย่าฆ่าน้องเลย อย่าทำให้โลหิตไหล ให้ทิ้งน้องลงบ่อนี้ในถิ่นทุรกันดาร ทั้งนี้เพื่อช่วยน้องให้พ้นมือพวกเขาแล้วจะส่งกลับให้ยาโคบ เมื่อโยเซฟมาถึงพวกเขาจึงจับ​โยเซฟ​โยน​ลง​ใน​บ่อ​ลึก ขณะที่พวกเขานั่งรับประทานอาหารก็เห็นคาราวานพวกอิชมาเอลมาจากกิเลอาด ​ยูดาห์​บอก​ว่า ‘อย่า​ฆ่า​เขา​เลย ขาย​เขา​ไป​เป็น​ทาส​ดี​กว่า เพราะเขาก็เป็นน้องของเรา’ พวก​เขา​เลย​ขาย​โยเซฟ​ให้​กับ​พ่อค้า​ชาว​มีเดียน​ที่​กำลัง​มุ่ง​หน้า​ไป​อียิปต์​เป็น​เงิน​หนัก 20 เชเขล หลัง​จาก​นั้น พวก​พี่​ชาย​เอาเสื้อคลุม​ยาว​ของ​โยเซฟ​จุ่ม​เลือด​แพะ แล้ว​ให้​คน​เอา​เสื้อ​ตัว​นั้น​ไป​ให้​พ่อ​ดู​และ​ให้​ถาม​ว่า ‘นี่​ใช่​เสื้อ​ยาว​ของ​ลูก​ชาย​ท่าน​หรือ​ไม่ยาโคบ​คิด​ว่า​โยเซฟ​ถูก​สัตว์​ป่า​ฆ่า​ตาย​ไป​แล้ว เขา​เสียใจ​มาก ไม่​มี​ใคร​ปลอบ​ใจ​เขา​ได้​เลย

ที่​อียิปต์นั้น โยเซฟ​ถูก​ขาย​ไป​เป็น​ทาส​ของ​ข้าราชสำนัก​คน​สำคัญ​ชื่อ​โปทิฟาร์ แต่​พระ​เจ้าอยู่​กับ​โยเซฟ โปทิฟาร์​เห็น​ว่า​โยเซฟ​ทำ​งาน​เก่ง​และ​ไว้​ใจ​ได้ ไม่​นาน​โปทิฟาร์​ก็​ตั้ง​โยเซฟ​ให้​ดู​แล​ทรัพย์​สมบัติ​ทั้ง​หมด​ของ​เขา ภรรยา​โปทิฟาร์​เห็น​ว่า​โยเซฟ​เป็นหนุ่มรูปงาม หน้าตาดี เธอ​ชวน​โยเซฟ​ทุก​วัน​ให้​มา​นอน​ด้วย เขา​ไม่​ยอม​และ​พูด​ว่า ‘ไม่! ทำ​อย่าง​นี้​ไม่​ดี เจ้านาย​ไว้​ใจ​ข้าฯ ​มาก และ​ท่าน​ก็​เป็น​ภรรยา​ของ​เขา ถ้า​ข้าฯ ​นอน​กับ​ท่าน ข้าฯ ​ก็​ทำ​บาป​ต่อ​พระเจ้า!’

อยู่​มา​วัน​หนึ่ง ภรรยา​โปทิฟาร์​พยายาม​บังคับ​ให้​โยเซฟ​นอน​กับ​เธอ เธอ​ดึง​เสื้อ​เขา​ไว้​แต่​โยเซฟ​หนี​ไป​ได้ เมื่อ​โปทิฟาร์​กลับ​มา​บ้าน เธอ​กลับ​พูด​โกหก​ว่า​โยเซฟ​พยายามจะมานอนกับ​เธอ โปทิฟาร์​โกรธ​มาก​จึง​จับ​โยเซฟ​ไป​ขัง​คุก แต่​พระ​เจ้า​ไม่​ลืม​โยเซฟ พระเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน ทรงให้พัศดีโปรดปราณท่าน มอบให้ท่านเป็นผู้ดูแลนักโทษ และมีเหตุการณ์ต่างๆ อีกมากมายในคุก

ตอน​ที่​โยเซฟ​อยู่​ใน​คุก ฟาโรห์​กษัตริย์​ของ​อียิปต์​ฝัน​เรื่อง​ที่​ไม่​มี​ใคร​อธิบาย​ความ​หมาย​ได้ คน​รับใช้​คน​หนึ่ง​เล่า​ให้​ฟาโรห์​ฟัง​ว่า​โยเซฟ​สามารถ​บอก​ความ​หมาย​ของ​ความ​ฝัน​ได้ ฟาโรห์​จึง​สั่ง​ให้​คน​ไป​พา​ตัว​โยเซฟ​มา​ทันที

ฟาโรห์​ถาม​เขา​ว่า ‘ท่านบอก​ได้​ไหม​ว่า​ความ​ฝัน​ของ​เรา​หมาย​ถึง​อะไร?’ โยเซฟ​ตอบ​ฟาโรห์​ว่า ‘7 ปี​ต่อ​จาก​นี้​จะ​มี​ความ​อุดม​สมบูรณ์​ทั่ว​แผ่นดิน​อียิปต์ แต่ 7 ปี​หลัง​จาก​นั้น จะ​เกิด​การ​ขาด​แคลน​อาหาร ให้​ท่าน​เลือก​คน​ที่​ฉลาด​คน​หนึ่ง​และ​ตั้ง​เขา​ให้​เก็บ​รวบ​รวม​อาหาร​เพื่อ​ประชาชน​จะ​ไม่​อด​ตาย’ ฟาโรห์​บอก​ว่า ‘เรา​เลือก​ท่าน! ท่าน​จะ​มี​อำนาจ​มาก​ที่​สุด​เป็น​อันดับ​สอง​ใน​อียิปต์!’ ที่โยเซฟอธิบายฝันของฟาโรห์ได้นั้นเพราะพระเจ้าอยู่กับท่าน

ช่วง 7 ปี​หลัง​จาก​นั้น โยเซฟ​เก็บ​รวบ​รวม​อาหาร​ได้​มาก​มาย แล้ว​ก็​เกิด​การ​ขาด​แคลน​อาหาร​ไป​ทั่ว​โลก​เหมือน​ที่​โยเซฟ​บอก​ไว้ ผู้​คน​จาก​ทุก​ที่​พา​กัน​มา​ขอ​ซื้อ​อาหาร​จาก​โยเซฟ ยาโคบ​พ่อ​ของ​เขา​ได้​ยิน​ว่า​มี​อาหาร​ที่​อียิปต์ เขา​เลย​ส่ง​ลูก​ชาย 10 คน​ไป​ซื้อ​อาหาร​ที่​นั่น

พวก​ลูก​ชาย​ของ​ยาโคบ​ไป​หา​โยเซฟ โยเซฟ​จำพวก​เขา​ได้​ทันที แต่​พวก​พี่​ชาย​จำ​เขา​ไม่​ได้ จึง​หมอบ​ลง​กับ​พื้น​ต่อ​หน้า​โยเซฟ​เหมือน​กับ​ที่​เขา​เคย​ฝัน​ตอน​เด็ก ๆ โยเซฟ​อยาก​รู้​ว่า​พวก​พี่​ชาย​ยัง​นิสัย​เหมือน​เดิม​อยู่​ไหม เขา​จึง​พูด​ว่า ‘พวก​ท่านเป็น​คน​สอดแนม​ที่​มา​สืบ​ดู​ว่า​เมือง​ของ​เรา​มี​จุด​อ่อน​ตรง​ไหน’ พวก​เขา​ตอบ​ว่า  ‘ไม่​ใช่​! พวก​เรา​มา​จาก​คานาอัน เป็น​พี่​น้อง​กัน​ทั้ง​หมด 12 คน คน​หนึ่ง​ตาย​ไป​แล้ว ส่วน​น้อง​ชาย​คน​เล็ก​อยู่​บ้าน​กับ​พ่อ’ โยเซฟ​บอก​ว่า ‘ไป​พา​น้อง​ชาย​คน​เล็ก​มา​หา​เรา ข้าฯ ​ถึง​จะ​เชื่อ​พวก​ท่าน’ พวก​เขา​จึง​กลับ​บ้าน​ไป​หา​พ่อ

เมื่อ​อาหาร​หมด​ลง ยาโคบ​ก็​ส่ง​พวก​ลูก​ชาย​กลับ​ไป​อียิปต์​อีก ครั้ง​นี้​พวก​เขา​พา​เบนยามิน​น้อง​ชาย​คน​เล็ก​ไป​ด้วย โยเซฟ​ทดสอบ​พวก​พี่​ชาย​โดย​แอบ​ใส่​ถ้วย​เงิน​ไว้​ใน​กระสอบ​ข้าวของ​เบนยามิน​และ​กล่าวหา​ว่า​พวก​พี่​ชาย​เป็น​คน​ขโมย​ไป เมื่อ​คน​รับใช้​ของ​โยเซฟ​เจอ​ถ้วย​อยู่​ใน​กระสอบ​ของ​เบนยามิน พวก​พี่​ชาย​ตกใจ​มาก พวก​เขา​ขอร้อง​ให้​โยเซฟ​ลง​โทษ​พวก​เขา​แทน​เบนยามิน

ตอน​นี้​โยเซฟ​รู้​แล้ว​ว่า​พวก​พี่​ชาย​ไม่​ใจ​ร้าย​เหมือน​เมื่อ​ก่อน โยเซฟ​ไม่​สามารถ​เก็บ​ความ​รู้สึก​ไว้​ได้​อีก​ต่อ​ไป เขา​ร้องไห้​เสียง​ดัง​แล้ว​พูด​ว่า ‘ข้าฯ คือ​โยเซฟ​น้อง​ของ​พี่ พ่อ​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่​ไหม?’ พวก​พี่​ชาย​ถึง​กับ​ตกตะลึง แต่​โยเซฟ​บอก​พวก​เขา​ว่า ‘อย่า​เสียใจ​เลย​ที่​ขายข้าฯ ​มา​ที่​นี่ เพราะ​พระเจ้า​ส่ง​ข้าฯ ​มา​เพื่อ​ช่วย​ชีวิต​พวก​พี่ รีบ​ไป​พา​พ่อ​มา​หา​ข้าฯ ที่​นี่​เถอะ’

พวก​เขา​เดิน​ทาง​กลับ​ไป​บอก​ข่าว​ดี​กับ​พ่อ​และ​พา​พ่อ​ไป​อียิปต์ หลัง​จาก​โยเซฟ​ไม่​ได้​เจอ​พ่อ​มา​หลาย​ปี ใน​ที่​สุด​ทั้ง​สอง​คน​ก็​ได้​กลับ​มา​อยู่​ด้วย​กัน​อีก​ครั้ง

 

โยเซฟ เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในครอบครัวที่พี่ๆ มีความอิจฉาแต่ทว่ากลับเป็นผู้ที่เป็นรักยิ่งของบิดา และจากทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งสู่เมืองที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรืองและอารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่และยาวนานที่สุดในโลก      ชีวิตวัยเด็กของโยเซฟจึงเต็มไปด้วยการเผจญภัยที่น่าตื่นเต้นและระทึกใจจนมีผู้นำเรื่องราวของโยเซฟไปสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายสู่สายตาชาวโลกมากมายหลายครั้ง และเช่นเดียวกันเรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับการบันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลตั้งแต่บทที่ 37-50 ซึ่งเป็นการบันทึกถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยของโยเซฟและ อียิปต์โบราณอย่างและเอียด  คือตั้งแต่การถือกำเนิดของโยเซฟ การเผชิญโลกที่กว้างใหญ่ และการก้าวสู่สิ่งที่เขาฝันไว้เสมอ ชีวิตของโยเซฟจึงไม่ได้เป็นเพียงนิยายโบราณคดีที่เล่าสืบต่อกันมาเรื่อยๆ ในหมู่ของชาวยิวเท่านั้น แต่ชีวิตของโยเซฟเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและพระเจ้ากำลังสำแดงให้ผู้คนทั่วโลกเห็นถึงพระราชกิจของพระองค์ต่อผู้ที่สัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระองค์จะได้รับการอวยพรเสมอแม้อยู่ท่ามกลาง ความน่ากลัวของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบาป และจากชีวิตของโยเซฟพระเจ้ายังได้สอนเราถึงเรื่องสำคัญหลายเรื่องที่เราควรเอาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้าในทุกสถานการณ์และบทเรียนจากชีวิตของโยเซฟเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องตระหนักเสมอว่า    “พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งแต่เพียงผู้เดียว”     

โยเซฟเป็นผู้บริหารราชการต่างๆ ของประเทศอียิปต์ในช่วงเวลานั้นเริ่มตั้งแต่การจัดการเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนคือ การเตรียมรับมือกับ การกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นอีกเจ็ดปีข้างหน้า ในช่วงเวลานี้โยเซฟได้มีคำสั่งไปยังหัวเมืองต่างให้ทำการสะสมข้าวและในช่วงเวลานี้พระเจ้าทรงอวยพรโยเซฟอย่างมากมายจนข้าวที่เก็บสะสมไว้มีจำนวนมากจนถึงขนาดที่ไม่สามารถที่จะจดบันทึกหรือคำนวณออกมาได้  และนอกจากนั้นโยเซฟยังได้วางระบบต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารและการปกครองให้เป็นรูปแบบไว้ในประเทศอียิปต์ซึ่งระบบเหล่านี้ยังคงมีการยึดถือและปฏิบัติกันมาเรื่อยๆ ในอียิปต์ มีสิ่งที่เราแปลกใจเป็นอย่างมากคือ โยเซฟเป็นถึงผู้นำประเทศอียิปต์ที่มีความเจริญวิชาการที่ก้าวหน้า ในขณะที่มีอายุราวๆ 30 ปี ซึ่งนับได้ว่ายังอยู่ในช่วงที่หลายคนอาจจะมองว่า “อาจจะขาดประสบการณ์” และเราไม่เข้าใจว่า โยเซฟได้รับการสอนในเรื่องของระบบบริหารประเทศจากที่ใด โยเซฟเป็นเพียงบุตรชายของคนที่เร่รอนเลี้ยงสัตว์อยู่กลางทะเลทราย ซึ่งในสมัยนั้นไม่ได้มีมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปศึกษาเล่าเรียน มีเพียงคนชั้นสูงในสังคมเท่านั้นที่จะได้รับการเรียนการสอนในวิชาการและความรู้ต่างๆ แต่เรากลับเห็นถึงความสามารถของโยเซฟในการบริหารและการจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบในประเทศอียิปต์  สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาจากไหน

และคำตอบที่ดีที่สุดคือ ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดของความรู้นั้นเอง  หลังจากที่โยเซฟถูกขายให้กับโปทิฟาห์ และต้องเข้าไปอยู่ในคุกเขาได้เผชิญกับสิ่งต่างๆมากมายซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นโรงเรียนที่พระเจ้าทรงใช้สอนและเตรียมชีวิตของโยเซฟในการที่จะเป็นผู้นำของประเทศที่ยิ่งใหญ่ในเวลานั้น

เราจะเห็นว่าโยเซฟ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่แก้แค้นใครเลย เมื่อมีความบาปมาล่อลวงโยเซฟ โยเซฟต่อสู้ความบาปด้วยการหนี สำหรับเรา เราอาจมีความขมขื่น จากครอบครัว หรือได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจจากคนรอบข้าง ซ้ำแล้วซ้ำอีก ขออย่าให้เป็นรากขมขื่นในจิตใจ แต่ขอให้เราเห็นชีวิตของโยเซฟเป็นตัวอย่าง เรื่องราวชีวิตโยเซฟทำให้เราเห็นความสัตย์ซื่อของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระองค์ที่ไม่ทรงลืม หากเราได้อ่านเรื่องราวของโยเซฟเราจะเห็นคำกล่าวที่ว่า แต่พระเจ้าอยู่กับโยเซฟอยู่หลายครั้ง พระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา ไม่ว่าสุข หรือทุกข์และช่วยกู้ชีวิตท่าน พระเจ้าสถิตกับโยเซฟฉันใด พระเจ้าก็สถิตกับเราฉันนั้น

ฮีบรู 6:10

เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรมที่จะทรงลืมการงานของพวกท่านและความรักที่พวกท่านแสดงต่อพระนามของพระองค์ คือการปรนนิบัติพวกธรรมิกชนนั้น ดังที่พวกท่านยังปรนนิบัติอยู่


ขอคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความ เรื่องราว คำเทศนาดีๆ ที่ข้าพเจ้าได้นำมารวบรวมเพื่อแบ่งปันในเช้าวันนี้


วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2565

การรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดจากพระเจ้า

15 มิถุนายน 2565

การรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดจากพระเจ้า

 

อิสยาห์ 43:2

          เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า และเมื่อข้ามแม่น้ำ มันจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าเดินผ่านไฟ เจ้าจะไม่ถูกไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาเจ้า

 

ในเอเฟซัส 6:11 ได้บอกเราว่า จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

 

จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า (อฟ.6:11-18)

มารซาตานมีกลอุบายนานาประการและมีกำลังมาก เราต้องยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้ามาใส่ไว้ในชีวิตของเรา ส่วนหนึ่งในการรบหรือต่อสู้ศัตรูคือการติดอาวุธ เช่นเดียวกับการต่อสู้มาร พระเจ้าประทานยุทธภัณฑ์ทั้งชุดให้เราแล้ว เราก็ต้องใช้

 

เอเฟซัส 6:11-18 THSV11

11จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้

12เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน

13เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้

14เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก

15และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า

16และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย

17จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า

18จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียรและด้วยการวิงวอนเผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ

1) เอาความจริงคาดเอว (เอเฟซัส6:14) โดยปกติทหารโรมันจะใส่เสื้อคลุมยาว ซึ่งจำเป็นต้องคาดเข็มขัด เพื่อทำให้เสื้อผ้ากระชับ เพื่อจะได้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว ทำไมพระเจ้าจึงให้เราเอาความจริงคาดเอว? เพราะซาตานเป็นเจ้าแห่งการหลอกหลวง และล่อลวงให้มนุษย์หลงทำความผิดบาป ดังนั้นการคาดเอว ด้วยความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าจึงจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะนั่นหมายถึงการยึดมั่น อยู่ในพระคำของพระองค์ ตามที่พระเจ้าได้ย้ำกับเราเอาไว้ว่า..“สัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยอห์น8:32) ขอให้เรายึดพระคำของพระเจ้าไว้ เพื่อที่เราจะพร้อมและไม่หวั่นไหว และสามารถเผชิญหน้า กับทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจ หากเราเอาความจริงคาดเอว เราก็จะชนะการหลอกลวงของมารได้

2) เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก เครื่องป้องกันอก(เอเฟซัส6:14) เสื้อเกราะ ซึ่งทำมาจากแผ่นโลหะสัมฤทธิ์ เสื้อเกราะใช้สวมเพื่อป้องกันหน้าอกและหัวใจจากอาวุธของศัตรู เนื่องจากจิตใจคือจุดศูนย์กลางของชีวิตมนุษย์ ดังนั้น เปาโลจึงหนุนใจให้เราสวม” เสื้อเกราะแห่งความชอบธรรมของพระเจ้า” เพื่อป้องกันจิตใจจากการโจมตีของมารซาตาน ความชอบธรรมในที่นี้คือการรับชีวิตใหม่ จากพระเจ้า(เอเฟซัส4:24) การดำเนินชีวิตในความชอบธรรม(เอเฟซัส5:8-9) และเชื่อมั่นว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระคริสต์ (โรม5:1-5,2 โครินธ์5:21,เอเฟซัส2:10)

3) เอาข่าวประเสริฐมาสวมเป็นรองเท้า (เอเฟซัส6:15) รองเท้าของทหารโรมันทำมาจากไม้ มีหนังสานประกบ ส่วนใต้พื้นรองเท้ามีแผ่นเหล็กบางๆเพื่อป้องกันหินคม เหล็กแหลม หรือหนามที่พื้นของรองเท้าจะมีปุ่มหรือโลหะฝังไว้ เพื่อช่วยให้ยืนอย่างมั่นคงและเดินได้สะดวกคล่องแคล่ว

สำหรับคริสเตียน... เราจำเป็นต้องสวมใส่รองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐเป็นรากฐาน ที่มั่นคงในความเชื่อของเรา ว่าเรารอดโดยพระคุณของพระเจ้า เพราะการตายไถ่บาปของพระเยซูบนไม้กางเขน ทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้อีกครั้ง และยังสามารถแบ่งปันข่าวดีนี้ให้แก่ผู้คนได้อีกด้วย นี่คือรองเท้าที่เราต้องสวมใส่ทุกวัน

4) เอาความเชื่อเป็นโล่ (เอเฟซัส6:16) โดยปกติโล่ของเหล่าทหารจะทำด้วยไม้ แล้วหุ้มด้วยหนังสัตว์ หรือแผ่นโลหะ มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นเครื่องป้องกันตัวที่บังได้เกือบมิดทั้งตัว โล่เป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันลูกธนูเพลิงที่ข้าศึกยิงเข้ามา

แล้วโล่ของคริสเตียนล่ะ...คืออะไร? โล่ของเราก็คือ “ความเชื่อ” ซึ่งในภาษาเดิมหมายถึง ความเชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า เชื่อในความดี ความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ นี่คือโล่ที่จะปกป้องเราจากลูกศรเพลิงของมาร ที่ยิงถาโถมใส่เราทุกวัน ทำให้เราท้อแท้ หมดหวัง สงสัยหรือไม่มั่นใจในความรักของพระเจ้า

5) เอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ (เอเฟซัส6:17) โดยปกติหมวกของทหารโรมัน มักจะทำด้วยโลหะสัมฤทธิ์หรือเหล็ก หมวกเหล็กเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากสำหรับทหารโรมัน เพราะมันช่วยป้องกันศีรษะของนักรบ จากดาบและลูกธนู หากทหารนายไหนไม่สวมหมวกนี้ ก็อาจเสียชีวิตในสนามรบได้อย่างง่ายดาย

เป็นการง่ายมากที่ซาตานจะล่อลวงเราทางความคิด ทำให้เราสงสัยในความรอดที่พระเจ้าประทานให้กับเรา หลายครั้งมารมักจะใช้เหตุการณ์ที่เลวร้าย ใช้เหตุการณ์ที่ยากลำบาก ความผิดหวัง ความล้มเหลว หรือการทดลองต่างๆ มาทำให้ความเชื่อของคริสเตียนสั่นคลอน พระเจ้าจึงให้เราสวมหมวกเหล็ก แห่งความรอดทุกเวลา เพื่อปกป้องความคิดของเรา จากการทดลองของซาตานนั่นเอง

6) จงถือพระแสงของพระวิญญาณ (เอเฟซัส6:17) “พระแสง”หมายถึงมีดสั้นที่แหลมและคมมาก สามารถใช้แทงและฟันได้ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากมีคมทั้งสองด้าน เหมาะสำหรับการต่อสู้แบบประชิดตัว ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถใช้มีดสั้นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปาโลเปรียบพระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนพระแสงหรือมีดสั้น เพราะสำหรับซาตาน...พระคำของพระเจ้าคมและอันตรายยิ่งกว่านั้น แต่เป็นอาวุธที่พระเจ้าประทานให้กับผู้เชื่อเพื่อต่อสู้กับเหล่ามาร ในฮีบรู4:12 กล่าวว่า...“เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย” การเรียนรู้และสะสมพระคำของพระเจ้าในชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเมื่อเราถูกซาตานเล่นงาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพระคำที่เราสะสมไว้ออกมาใช้เพื่อต่อสู้กับมาร นั่นคือการท่องจำและนำไปใช้

7) เมื่อสวมใส่ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าแล้ว เราไม่สามารถละเลยการอธิษฐาน (เอเฟซัส6:18) เพราะการอธิษฐานแสดงให้เห็นว่าเรากำลังพึ่งพาพระเจ้า เราไม่สามารถต่อสู้ในสงคราม ที่หนักหน่วงนี้เพียงลำพัง เราต้องการพระเจ้าเป็นผู้ช่วยและเสริมกำลังเรา ในการ์ดเราจะเห็นว่า คำว่า จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลา จะอยู่ส่วนของฐานของทุกสิ่ง นั่นคือเราต้องติดสนิทกับพระเจ้า

 

 

 

โดยยึดมั่นในความจริง ความชอบธรรม ข่าวประเสริฐ ความเชื่อที่มั่นคง การกระทำเช่นนี้เป็นการดำเนินชีวิตที่รอบคอบเหมือนพระบิดาที่ทรงเป็นผู้ที่ดีรอบคอบ (มธ.5:48) นอกจากนี้การสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้ายังช่วยให้ชีวิตของเราได้รับการป้องกันจากการถูกมารโจมตีอีกด้วย

ความทุกข์ยากของเราทำให้เราเข้มแข็ง ผ่านวิกฤติในชีวิตได้ แต่ความสะดวกสบายอาจทำให้เราพลัดตกลงในการทดลองได้ เราควรภูมิใจว่าพระเจ้าอนุญาตให้มีการทดสอบเรา ในที่สุดจะกลายเป็นพรในชีวิตของเรา

เราต้องไม่ลืมว่า เราไม่ได้อยู่ฝ่ายมารซาตาน เราต้องสวมยุทธภัณฑ์ต้านซาตาน ไม่ให้เราพลัดตกหลุมกลายเป็นฝ่ายซาตานโดยไม่รู้ตัว

 

อิสยาห์ 43:2

          เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า และเมื่อข้ามแม่น้ำ มันจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าเดินผ่านไฟ เจ้าจะไม่ถูกไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาเจ้า

 

ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยทำให้เราผ่านการทดลอง





วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2565

วันพรุ่งนี้

 

18 กรกฎาคม 2565

 

วันพรุ่งนี้

 

ยากอบ 4:13-17 THSV11

13ฟังให้ดีนะ ท่านทั้งหลายที่พูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น จะอยู่ที่นั่นสักปีหนึ่ง และจะค้าขายแล้วได้กำไร” 14แต่ท่านไม่รู้เรื่องของวันพรุ่งนี้ ชีวิตของพวกท่านเป็นเหมือนอะไร? ก็เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็จางหายไป 15แต่พวกท่านควรจะพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะยังมีชีวิตอยู่ และจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” 16แต่เวลานี้ท่านกลับอวดอ้างด้วยความทะนงของตนเอง การอวดอ้างทุกอย่างนั้นล้วนเป็นความชั่ว 17เพราะฉะนั้น คนที่รู้ว่าอะไรเป็นความดีที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำ คนนั้นจึงมีบาป

 

 ซึ่งหากพูดถึงพระธรรมยากอบ เป็นพระธรรมที่มีอยู่ 5 บท สั้นๆ ผู้เขียนคือท่านยากอบ ซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซู เป็นผู้นำคนหนึ่งในคริสตจักรเยรูซาเล็ม เขียนถึงคริสเตียนชาวยิวศตวรรษแรกที่กระจัดกระจายอยู่ในชุมชนชาวต่างชาตินอกดินแดนปาเลสไตน์และคริสเตียนทุกแห่ง ในพระธรรมนี้ ท่านยากอบได้พูดถึงความเชื่อ(คือเชื่อในพระเจ้า) และต้องดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เชื่อนั้นด้วย โดยแสดงออกมาตามความพระพฤติของผู้เชื่อนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระธรรมยากอบเป็นพระธรรมหนึ่งที่เตือนสติในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ขอบคุณพระเจ้าที่มีโอกาสได้นำพระวจนะมาแบ่งปันในเช้าวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้อ่านพระธรรมยากอบ และได้สำรวจความประพฤติของตัวเองด้วยเช่นกัน และเนื้อหาที่จะนำมาแบ่งปัน มาจากข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำเทศนา จึงขอนำส่วนหนึ่งของคำเทศนาที่ได้รับฟังมาแบ่งปันเพื่อเป็นข้อคิดร่วมกัน

ยากอบ 4:13-17 THSV11

13ฟังให้ดีนะ ท่านทั้งหลายที่พูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น จะอยู่ที่นั่นสักปีหนึ่ง และจะค้าขายแล้วได้กำไร” 14แต่ท่านไม่รู้เรื่องของวันพรุ่งนี้ ชีวิตของพวกท่านเป็นเหมือนอะไร? ก็เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็จางหายไป 15แต่พวกท่านควรจะพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะยังมีชีวิตอยู่ และจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” 16แต่เวลานี้ท่านกลับอวดอ้างด้วยความทะนงของตนเอง การอวดอ้างทุกอย่างนั้นล้วนเป็นความชั่ว 17เพราะฉะนั้น คนที่รู้ว่าอะไรเป็นความดีที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำ คนนั้นจึงมีบาป

ในพระธรรมยากอบ 4:13-17 นี้ ได้กล่าวถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่อยากประสบความสำเร็จ พ่อค้าคนนี้มีการวางแผนทั้งแผนระยะสั้น คือจะทำในวันนี้ พรุ่งนี้ และแผนระยะกลางที่จะทำใน 1 ปีข้างหน้า คือจะอยู่ที่นั่นสักปีหนึ่ง พ่อค้าคนนี้มีความกล้าที่จะลงมือทำจริงๆ กล้าที่จะเผชิญความเสี่ยง กล้าที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเองเนื่องจากยอมที่จะอยู่ในเมืองอื่นๆ ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อค้าขาย ยอมปรับตัว ยอมเสี่ยง ไม่กลัวความล้มเหลว กล้าเผชิญความไม่แน่นอน เพื่อศึกษาตลาดการวางแผนอนาคต  และมีความมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ และมั่นใจในอนาคตนั้น จากคำกล่าวที่ว่า จะขายแล้วได้กำไร  ซึ่งการวางแผน มีความกล้าที่จะเผชิญการเปลี่ยนแปลง เผชิญความเสี่ยง เป็นสิ่งที่ดี และดูเหมือนว่าพ่อค้าท่านนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้คือพรุ่งนี้ (ในข้อ 14) เราสามารถวางแผนได้ พ่อค้าคนนี้มั่นใจตัวเองมาก แต่เขาไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไร อาจมีบางสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น ภัยธรรมชาติ หรืออื่นๆ มากมาย ซึ่งถึงแม้พ่อค้าคนนี้อาจมีประสบการณ์ในการค้าขายมากมาย เคยประสบความสำเร็จมาก่อน มีการสำรวจตลาดมาอย่างดี เค้าอาจมั่นใจว่าสินค้าของเขาเคยประสบผลสำเร็จในการค้าขายในเมืองหนึ่งและคาดว่าจะสำเร็จในเมืองใหม่ที่จะไปค้าขายเช่นเดียวกัน เค้ามั่นใจหลายอย่าง แต่สิ่งเดียวที่ไม่รู้คือวันพรุ่งนี้

ท่านยากอบได้บอกในข้อ 14 ว่า ชีวิตเป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่ชั่วครู่แล้วหายไป เราจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย อาจมีผู้รู้ในสาขาต่างๆ วิเคราะห์คาดการณ์ ทำนายไปในอนาคต แต่จะเป็นอย่างไรนั้นเราก็ไม่รู้ถึงวันพรุ่งนี้เลย ดังนั้นในพระธรรมนี้จึงได้ย้ำเตือนให้เราอย่าประมาท ซึ่งในสุภาษิต 27:1 กล่าวว่า อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่งๆ จะนำอะไรมาให้บ้าง เราไม่สามารถโอ้อวดได้เลย

เราจะเห็นได้ว่าเค้าไม่มีพระเจ้าอยู่ในแผน ดังข้อ 15 ได้ย้ำเตือนว่า แต่พวกท่านควรจะพูดว่า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะยังมีชีวิตอยู่ และจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น วันพรุ่งนี้คือความโปรดปราณของพระเจ้า คือพระพร ถ้าพระเจ้าโปรดแล้วเรามีชีวิตอยู่เราจะได้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ให้เตือนใจตัวเองว่าหากพระเจ้าทรงโปรดเราจะมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ ท่านยากอบย้ำเตือนเราให้เรามีพระเจ้าในแผนชีวิต แผนงานของเรา ต้องเตือนใจเราว่าพระเจ้าควบคุมทุกสิ่ง พระเจ้ามีพระประสงค์ในชีวิตของเรา

            หากเราไม่มีพระเจ้าอยู่ในแผน  การที่เราไม่มีพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่ในแผนชีวิต แผนงานของเรา ในวันหนึ่ง เราอาจถึงที่หมาย แต่ไม่ถึงเส้นชัย อาจทำให้เราคืบหน้าแต่ไม่ได้ก้าวหน้า เราอาจคืบหน้าในชีวิต แผนงานตนเอง แต่ไม่ได้คืบหน้าที่พระเจ้ามุ่งหมาย เราอาจไปถึงที่หมายที่หวังไว้แต่ไม่ใช่เส้นชัยที่พระเจ้ากำหนดในชีวิตของเราก็ได้

            เรามักทะนงตนเอง เรามักคิดว่าเราพึ่งพาตนเองได้ ในข้อ 16 16แต่เวลานี้ท่านกลับอวดอ้างด้วยความทะนงของตนเอง การอวดอ้างทุกอย่างนั้นล้วนเป็นความชั่ว เขามองว่าพระเจ้าไม่จำเป็นเพราะทะนงตนเอง หากเราทำทุกอย่างได้โดยไม่มีพระเจ้า ท่านยากอบบอกว่าความหยิ่ง ความทะนงตนเป็นความชั่ว การไม่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง จะทำให้การมีตนเองเป็นศูนย์กลาง แล้วเราจะหาเหตุผลของเราอธิบาย ทำสิ่งต่างๆ มองประโยชน์แต่เฉพาะตนเอง ไม่เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า อาจทำให้เกิดความวุ่นวายเดือดร้อนขึ้น ดังที่ว่า เราอาจถึงที่หมาย (ของเรา) แต่ไม่ถึงเส้นชัยที่แท้จริง เราทำแล้วมีความคืบหน้า แต่ไม่ได้ก้าวหน้า

มีเรื่องเล่าของ J.R.D Tata อดีตประธานของทาทากรุ๊ป ชาวอินเดีย วันหนึ่งทาทาได้พบกับเพื่อนของเขา ซึ่งเพื่อนของเขาได้เล่าว่า เพื่อนของเขาใช้ปากการาคาถูกเนื่องจากขี้ลืม ชอบทำปากกาหาย ลืมปากกาบ่อย เวลามันหายจะไม่เสียดาย และกลุ้มใจกับนิสัยขี้ลืมของตนเอง อยากเปลี่ยนนิสัยแต่ไม่รู้จะทำยังไง ทาทาจึงแนะนำให้เพื่อนซื้อปากการาคาแพงเท่าที่กำลังของตัวเองจะซื้อได้ เพื่อนจึงไปซื้อปากกาทองคำ 22 กระรัต เอามาใช้ อีก 6 เดือนผ่านไปเค้าได้เจอเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาปากกาก็ไม่หายอีกเลย ผมระมัดระวังที่ไม่ลืมปากกา และผมก็แปลกใจว่านิสัยขี้ลืมมันหายได้ ทาทาตอบเพื่อนว่า  คุณไม่ได้ผิดปกติหรอกในการขี้ลืม แต่มูลค่าของปากกาทำให้คุณปฏิบัติกับมันต่างออกไปแค่นั้นเอง ชีวิตเราปฏิบัติกับสิ่งต่างๆ ตามมูลค่าหรือคุณค่าที่เราให้ หากเราเห็นคุณค่าของร่างกายเราก็จะรับประทานอย่างระมัดระวัง และการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไป หากเราเห็นคุณค่าของเพื่อนเราจะระมัดระวังคำพูด และปฏิบัติต่อเค้าอย่างให้เกียรติ ถ้าเราเห็นคุณค่าของเงิน เราก็จะใช้อย่างประหยัด ระมัดระวังการใช้จ่าย ถ้าเราเห็นคุณค่าของชีวิตและเวลา เราจะระมัดระวังและไม่ปล่อยให้มันเสียไปเปล่าๆ วิธีใช้ชีวิตขึ้นกับคุณค่าที่เราประเมิน หากเราประเมินคุณค่าชีวิตเราต่ำเกินไป เราก็จะใช้มันเหมือนปากการาคาถูก ไม่สนใจในชีวิตปล่อยไปวันๆ  แต่ชีวิตเรามีคุณค่าเปรียบดั่งชีวิตของพระเยซู พระโลหิตของพระเยซู เราต้องใช้ชีวิตเราให้มีคุณค่าในสายตาของพระเจ้า เราต้องใส่ใจในชีวิตที่มีคุณค่า ขอให้เราใช้ชีวิตสมกับชีวิตของพระเยซูที่ยอมสละชีวิตยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับเรา บางทีเราอาจถูกมองจากสายตามนุษย์ว่าเราไม่มีคุณค่าจึงทำให้เรารู้สึกด้อยค่า ทำให้ไม่กล้าทำในสิ่งที่ดีๆ ทำให้เราพลาดสิ่งที่ควรทำ และอาจพลาดพระประสงค์ของพระเจ้า จึงอย่าประมาท และอย่าคิดว่าเราด้อยค่า

 

ขอบคุณพระเจ้า และขอขอบคุณคำเทศนาเรื่องของวันพรุ่งนี้ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 โดย ศาสนาจารย์ ทนนท์ ชาญโสภณ Nexus Christian Church ซึ่งข้าพเจ้าได้นำส่วนหนึ่งมาแบ่งปันกับพี่น้องในห้องนมัสการนี้

 

เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม

 

เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม

 

โรม 12:2

อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม

คนเราก็คงจะมีสักครั้งที่อยากเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น (ข้าพเจ้าก็มีหลาย ๆ ครั้ง) บางทีที่เค้าพูดกันว่า คนเราก็อยากเปลี่ยน อยากเป็นแบบคนอื่น อยากได้ อยากมี บางทีได้เห็น ได้ยินอะไรบ่อยๆ ก็ทำให้คล้อยตามไปได้ง่ายๆ เช่นกัน ใน โรม 12:2 ก็ได้บอกเราว่า อย่าลอกเลียนแบบอย่างตามเปลือกนอก ให้เปลี่ยนแปลงที่จิตใจแล้วอุปนิสัยจะเปลี่ยน พระเจ้าต้องการให้เรารับการเปลี่ยนแปลงจิตใจไปในทางที่ดีขึ้น

เค้าบอกว่า ยุคนี้เป็นยุคสมัยที่เราเลือกได้ จากที่อุปกรณ์ต่างๆ ที่เราใช้งาน เช่นใกล้ตัวที่สุดในปัจจุบันคือ โทรศัพท์มือถือ เราสามารถที่จะปรับหน้าจอมือถือของเราได้ว่าเราต้องการปรับหน้าจอการใช้งานอย่างไรให้เหมาะกับเรา การเลือกเสพข่าวสารต่างๆ มีหลากหลายช่องทางให้เราเลือกมากๆ เช่น YouTube TikTok IG Facebook เป็นต้น ไม่ชอบข้อความ รูปภาพ คลิปไหน โพสต์ของใคร ก็ปัดทิ้ง เลือกอันใหม่ ไม่ชอบใครก็ unfriend ซึ่งหากพูดถึงสมัยก่อนๆ ยุคเดิมๆ มีทางเลือกน้อย มีแค่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ก็มีไม่กี่ช่อง 3 5 7 9 อะไรประมาณนี้ เช่นเมื่อถึงเวลาข่าว ก็ต้องนั่งดูตามลำดับข่าว ที่เค้าจัดมา รายการต่างๆ ก็เช่นกัน ก็ต้องนั่งดูตามลำดับดับรายการเช่นกัน ส่วนในยุคที่เรียกว่า คุณเลือกได้ไม่แค่การปรับเปลี่ยนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะบุคคลเท่านั้น อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องใช้ภายในบ้าน ยานพาหนะ เราก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเราได้ จนกระทั่งเค้าบอกว่า คนสมัยนี้จึงกลายเป็นคนที่พยายามจะเปลี่ยนคนรอบข้างให้ได้ เพื่อให้มาทำตามใจเรา เห็นคล้อยไปกับเราในทุกๆ เรื่อง ที่เรียกว่า การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าโลกต้องหมุนรอบตัวเรา

ข้าพเจ้าก็คนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ที่มีโอกาสได้อยู่ในช่วง คุณเลือกได้ ในปลายๆ ชีวิตนี้เช่นกัน แต่ก็อยู่ในยุค ทางเลือกน้อยยาวนานกว่า การเสพข่าวสารต่างๆ หากเรารู้จักที่จะเลือกแล้ว เป็นโอกาสในการได้รับประโยชน์มากมาย แม้กระทั่งพระคัมภีร์ จากเดิมเล่มหนาๆ ก็มาอยู่ในโทรศัพท์มือถือ สามารถพกพาไปได้ทุกที่ แต่เราก็ยังมีข้ออ้างมากมายอยู่ดีที่จะไม่ยอมเปิดขึ้นมาอ่าน ศึกษา (ข้าพเจ้าเองด้วยเช่นกัน) ข้าพเจ้าได้ฟังอาจารย์ขุนเขา(สินธุเสน เขจรบุตร) จาก YouTube ให้ข้อคิดเรื่อง เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ หรือ 4 ร.  ซึ่งข้าพเจ้านำส่วนหนึ่งมาแบ่งปันในเช้านี้

เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ 4 ประการ หรือ 4 ร.

1.    รู้

2.    รับ

3.    เรียน

4.    เริ่ม

 

1.    รู้ รู้ตัวก่อน เรารู้ตัวหรือไม่ว่าเรามีสิ่งใดที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ที่ต้องเร่งเปลี่ยนแปลง ที่ทำไปแล้วมีผลกระทบต่อผู้อื่นในทางที่เสีย สิ่งที่ทำแล้วมีผลเสียต้องเจ็บปวดเองในระยะยาว เช่น เป็นคน ขี้โกรธ ขี้เกียจ ขี้วีน ขี้โวย ขี้บ่น เสพติดบางสิ่งที่ไม่ป็นผลดีต่างๆ เค้าบอกว่า ในยุคนี้คนเรา มองจอมากไป มองใจน้อยเกินหากเราคิดดูว่ายุคนี้ เราอาจรู้จัก หรือรับรู้เรื่องราวของคนจากการมองจอ เห็นด้านนอกของคนแล้วตัดสิน เรามักสนใจคนอื่นเผลอวิภาควิจารณ์ตำหนิชี้แนะต่อว่าผู้อื่น รู้จักผู้อื่นมากกว่ารู้จักตัวเอง แนะนำผู้อื่น จนกระทั่งผู้อื่นพัฒนาในทางที่ดีขึ้น แต่เรากลับลืมพัฒนาตัวเอง การพัฒนาตัวเองเราอาจถามคนอื่นๆ ด้วยก็ได้ว่าเรามีอะไรต้องปรับปรุงบ้าง ไม่ควรต้องการแต่เฉพาะคนชม คนประจบ ฟังแต่สิ่งที่อยากฟัง ใครแนะนำก็ไม่ฟัง จึงทำให้ไม่มีใครกล้าบอก กล้าแนะนำ และข้อที่สำคัญในชีวิตคริสเตียนก็คือ เป็นคริสเตียนที่ทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้รับเกียรติในชีวิตของเรา ซึ่งพระเจ้าต้องการให้เราส่องสว่างแก่คนทั้งปวง ใน มัทธิว 5: 16 ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์อย่าให้ใครต้องต่อว่า นี่เหรอคริสเตียน คำพูดกับการกระทำสวนทางกัน ทำให้พระเจ้าไม่ได้รับเกียร์ติในชีวิตเรา

2.    รับ คือ การยอมรับ (ยอมรับว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นหากไม่เปลี่ยน) เช่น จากการที่เรารู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้โกรธ ขี้เกียจ แต่ไม่ยอมรับ เค้าบอกว่า รู้ใช้หัว แต่รับใช้ใจยอมรับ เช่นรู้ว่าอ้วน แต่ไม่ยอมรับว่าอ้วนแล้วสุขภาพจะไม่ดี รู้ว่าขี้เกียจแต่ไม่ยอมรับว่าผลที่ตามมา เค้าบอกว่า ถ้าเรายังไม่กล้าที่จะพุ่งเข้าหาความเจ็บปวด เราจะชวดการพัฒนาตัวเองทั้งชีวิต หากเราหนีความเจ็บปวดที่จะยอมรับว่าจะเกิดผลเสียกับผู้อื่น หรือกับตัวเราเอง เราจะไม่สามารถก้าวข้ามไปพัฒนาตัวเอง เราจะก้าวผ่านไปไม่ได้เลยหากเราหนีความเจ็บปวด ไม่ทนความเจ็บปวดเมื่อโดนกระแทกความเป็นตัวตนของตัวเอง การยอมรับไม่ใช่การยอมแพ้ แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการแก้สิ่งที่แย่ให้เป็นเยี่ยม

3.    เรียน เมื่อเรายอมรับแล้ว เราต้องเรียนวิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่นต้องการมีสุขภาพดี จะต้องออกกำลังกายอย่างไร หรือติดบุหรี่แล้วจะเลิกบุหรี่อย่างไร มีวิธีพัฒนา เรียนรู้ มากมาย ที่เรียกยุคนี้ว่า เป็นยุค คุณเลือกได้ เช่นเดียวกับเรื่องของความเศร้า แล้วเราก็เลือกฟังเพลงที่มันเศร้าทำให้เราดำดิ่งลึกจมลงไปเรื่อยๆ จนเราคิดว่าเพลงนี้ใช่เลย เหมาะกับฉัน และไม่ยอมหายเศร้าสักที โดยยอมไม่เปลี่ยนมาฟังเพลงให้กำลังใจ เช่นเพลงหนุนใจ

4.    เริ่ม การเริ่มต้นทำสิ่งสำคัญต้องใช้ความกล้าหาญแต่การทำสิ่งสำคัญนั้นให้สำเร็จต้องอาศัยวินัย ต้องเริ่มในทุกๆ วันอย่างต่อเนื่อง เช่นต้องการเป็นคนหุ่นดี เริ่มปรับเรื่องอาหารและออกกำลังกาย เริ่มในวันที่ 1 แล้วก็จบวันที่ 2 ไม่ใช่จบหลักสูตร แต่จบไปเลย แต่ก็ไม่เป็นไรเราต้องไม่ท้อ สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ เช่นเดียวกับที่เราเริ่มต้นวันใหม่กับพระเจ้าในทุกๆ วัน เค้าบอกว่า ยิ่งเริ่มให้บ่อยเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่เร็วเท่านั้น  เช่น จะอาบน้ำในวันนี้ให้นานที่สุด หลายๆ ชั่วโมง เพื่อปีหน้าค่อยอาบใหม่ ก็เป็นไปไม่ได้ว่าจะสะอาด หอม นานได้หลายเดือน เราต้องอาบน้ำทุกวัน เพื่อให้เราสะอาดทุกวัน หากเราเริ่มแล้วอาจมีบางวันก็ท้อบ้างเป็นธรรมดาจากความเป็นมนุษย์ เราก็สามารถมารับพลังจากพระเจ้าใหม่ได้ แล้วก็เริ่มใหม่ ไม่ต้องโทษตัวเอง พลาดแล้วเริ่มใหม่ ไม่เป็นไร

จริงๆ แล้วหากเราไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเราก็จะได้รับผลที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง ซึ่งเราจะรอให้ผลนั้นมากระแทกให้เราเจ็บ ให้ใจเราแตกสลายก่อนจึงจะเปลี่ยนภายหลังหรือไม่ เหมือนตัวข้าพเจ้าเอง ต้องให้ป่วยก่อนจึงจะยอมดูแลสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ บางทีเราบอกว่า เรารู้หมดทุกอย่างว่ามันต้องเปลี่ยนแล้วจะเกิดผลดี แต่เราจะเป็นของเราแบบนี้แหละ จึงทำให้เราเปลี่ยนไม่ได้ ฤทธิ์เดชของพระวจนะจึงเกิดกับเราไม่ได้ ยอห์น 12:24 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก หากชีวิตเราไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมให้พระเจ้าขัดเกลา สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นเมล็ดเดียว เมล็ดเน่า ไม่ตกในดิน เหี่ยวเฉา ไม่งอกเกิดผล ต้องไม่ยึดติดตัวเองมากเกินไป ถ้าให้ชีวิตที่เกิดผล เราต้องยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลง ยอมตายจากชีวิตเดิม เราสามารถที่จะเริ่มใหม่กับพระเจ้าได้เสมอในทุกๆ วัน ถึงแม้บางครั้งเราอาจผิดพลาด ความเชื่ออาจถดถอย พบเจอหินสะดุด แต่ให้เราจดจ้องที่พระเจ้า หันกลับมาเปลี่ยนแก้ไขที่ตัวเรา ไม่จำเป็นต้องโทษคนรอบข้าง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นต้องแก้ไขให้เป็นไปตามเรา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นสำหรับเราโดยเฉพาะเพื่อเป็นผลดีในอนาคต อดทนยอมรับที่จะเจ็บปวดกับเหตุการณ์บางอย่าง ไม่จำเป็นที่ต้องพยายามหาเหตุผลของเหตุการณ์จนเกินไป เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้นอาจดูแล้วเป็นเหตุการณ์ที่แย่ๆ ในวันที่ยากลำบาก แต่จะทำให้เราได้ดึงศักยภาพของเราออกมา หากเราผ่านจุดแย่ๆ ได้ เราจะมีเรื่องเล่าจากวันที่เคยแย่ กลายมาเป็นเรื่องเล่าบนรอยยิ้มของเรา เพราะบทเรียนที่แสนยากลำบากในบางช่วงของชีวิต จะมีโอกาสได้ถูกนำไปใช้ในงาน ในชีวิตส่วนตัว หรือเหตุการณ์ที่สำคัญก็เป็นได้ ทำให้เราได้ก้าวขึ้นต่อไปในอนาคต

 

โรม 12:21 อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี

 

30 สิงหาคม 2565


ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้เป็นข้อคิดเพื่อรวบรวมนำมาแบ่งปัน