วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เติมเต็มความรักจากพระเจ้า

 

เติมเต็มความรักจากพระเจ้า

18 ตุลาคม 2565

เราเคยหรือไม่ที่มักตัดสินผู้อื่นว่า เป็นคนบาป หรือเราเคยหรือไม่ที่ถูกผู้อื่นรังเกียจ ถูกผู้อื่นไม่ยอมรับ จนคิดว่าแล้วพระเจ้าจะรักเราหรือไม่ ....

จากข้อคิดในเรื่อง หญิงที่เคยทำบาปได้รับการยกโทษ ในพระธรรม ลูกา 7:36-50

ลูกา 7:36-50

36มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในบ้านของฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายที่โต๊ะอาหาร 37นี่แน่ะ มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป เมื่อรู้ว่าพระองค์กำลังเสวยอาหารอยู่ในบ้านของฟาริสีคนนั้น นางจึงนำผอบน้ำมันหอมมา 38ยืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ แล้วร้องไห้น้ำตานองเปียกพระบาท นางจึงใช้ผมเช็ด จูบพระบาทของพระองค์แล้วเอาน้ำมันชโลม 39ฟาริสีคนที่เชิญพระองค์มาเมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป40พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่านเขาทูลว่า ท่านอาจารย์ เชิญพูดไปเถิด41พระองค์จึงตรัสว่า เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบ 42เมื่อเขาไม่สามารถใช้หนี้ได้ ท่านจึงยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า?” 43ซีโมนจึงทูลว่า ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่นายยกหนี้ให้มากพระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ท่านตัดสินได้ถูกต้อง44พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูหญิงคนนั้น แล้วตรัสกับซีโมนว่า ท่านเห็นหญิงคนนี้ใช่ไหม? เมื่อเราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเอาผมของนางเช็ด 45ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงคนนี้ไม่ได้หยุดจูบเท้าของเราเลยนับตั้งแต่เราเข้ามา 46ท่านไม่ได้เอาน้ำมันมาชโลมศีรษะของเรา แต่นางเอาน้ำมันหอมมาชโลมเท้าของเรา 47เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปต่างๆ ของนางซึ่งมีมากมายนั้นได้รับการยกโทษแล้วเพราะนางรักมาก แต่คนที่ได้รับการยกโทษน้อยก็รักน้อย48พระองค์จึงตรัสกับนางว่า บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว49บรรดาคนที่ร่วมเอนกายที่โต๊ะอาหารด้วยก็พูดกันว่า คนนี้เป็นใครกันถึงยกโทษบาปได้?” 50พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด

ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก http://www.kamsonbkk.com/dailyreading/luke/2759-0072064 (เผยแพร่เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556)

พวกฟาริสีนั้นถือว่าเป็นผู้รอบรู้ในกฎต่างๆ ของชาวยิว พวกเขาคิดว่ารู้กฎต่างๆเหล่านั้น และปฏิบัติได้ดีกว่าคนอื่นๆ บางครั้ง พวกเขาใส่ข้อความบางอย่างในกฎซึ่งพระเจ้าไม่ได้ใส่เอาไว้ ทำให้กฎที่พวกเขาบัญญัติขึ้นยากเกินไปสำหรับคนทั่วๆ ไปที่จะทำตามได้ เพราะว่าพวกฟาริสีเป็นอาจารย์ดังนั้นผู้คนจึงพยายามทำตามสิ่งที่พวกเขาได้สั่งสอน ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าให้บัญญัติในบัญญัติสิบประการว่า “ให้ระลึกถึงวันสะบาโตและถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์” พระเจ้าหมายความว่า ให้ผู้คนที่จะพักผ่อน และนมัสการพระเจ้า แต่พวกฟาริสีทำให้มันยากขึ้นไปอีก พวกเขาบอกว่า ในวันสะบาโตผู้คนไม่สามารถที่จะเดินมากกว่าจำนวนก้าวที่ถูกกำหนดเอาไว้ ถ้ามีใครที่เดินก้าวมากกว่านั้นถือว่าเป็นการทำงาน พวกฟาริสีไม่ชอบพระเยซูคริสต์ ก็เพราะพระเยซูคริสต์สอนว่าพระเจ้ามีเมตตา รัก และทรงให้อภัย ผู้คนมากมายชอบในสิ่งที่พระเยซูได้สั่งสอน พวกเขาต้องการได้ยินเรื่องราว เกี่ยวกับพระเจ้าจากพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ แทนที่จะใส่ใจกับพวกฟาริสี พวกฟาริสีจึงไม่ชอบพระเยซูคริสต์ พวกเขาเริ่มหาวิธีที่จะแกล้งให้พระเยซูรู้สึกอับอาย โดยการตั้งคำถามให้พระเยซูตอบต่างๆ นานา  ซึ่งในพระคัมภีร์ตอนนี้ ซีโมนซึ่งเป็นฟาริสี ได้เชิญพระเยซูคริสต์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเขา (ข้อ 36) ซึ่งสมัยนั้นบ้านของผู้มีอันจะกินมักมีลานบ้านที่เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่ตรงกลาง หลังคาเปิด  และมักมีสวนพร้อมกับน้ำพุอยู่บริเวณลานบ้านด้วย  หากอากาศอบอุ่นพวกเขาจะกินเลี้ยงกันที่นี่    เมื่อมีอาจารย์มากินเลี้ยงที่บ้านระดับนี้  เป็นธรรมเนียมที่ชาวบ้านทุกคนมีสิทธิเข้ามาในบริเวณลานบ้านที่ใช้จัดงานเลี้ยง เพื่อฟังปรีชาญาณที่หลั่งไหลออกมาจากปากของท่านอาจารย์    หญิงคนบาปสามารถเข้ามาอยู่ในงานเลี้ยงได้ก็เพราะเหตุนี้

ปกติเมื่อแขกรับเชิญมาถึงบ้าน  มี 3 สิ่งที่เจ้าภาพพึงกระทำเพื่อต้อนรับและให้เกียรติแขกผู้มาเยือนคือ

1.  วางมือบนไหล่ของแขกแล้วจูบคำนับ  การแสดงความเคารพเช่นนี้จะละเว้นมิได้เป็นอันขาดหากเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง

2.    เนื่องจากถนนในปาเลสไตน์เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ซึ่งจะกลายเป็นโคลนตมเมื่อฝนตก ทั้งรองเท้าที่สวมใส่มีลักษณะเปิดคล้ายรองเท้าแตะ เจ้าภาพจึงต้องเตรียมน้ำเย็นไว้ล้างเท้าของแขกให้สะอาด อีกทั้งเป็นการทำให้เท้าผ่อนคลายก่อนเชิญแขกเข้าบ้าน

3.    เผากำยานหอม หรือไม่ก็นำน้ำมันกุหลาบมาเจิมศีรษะของแขก    เป็นสิ่งที่ผู้มีมารยาทดีพึงกระทำ  แต่ซีโมนไม่ได้ทำเลย

ปกติชาวยิวไม่ได้นั่งรับประทานอาหาร แต่จะเอนนอนโดยใช้ศอกข้างซ้ายหนุนเบาะ ปล่อยให้มือขวาว่างไว้หยิบอาหาร  และปล่อยให้เท้าเหยียดไปด้านหลัง โดยไม่สวมรองเท้า หญิงคนนี้จึงมาทางด้านหลัง ไม่ได้ผ่านมาทางโต๊ะอาหารเพื่อชโลมน้ำมันที่เท้าของพระเยซู

ผู้ที่เชิญพระเยซูมารับประทานอาหารร่วมกันกับเขา อาจเป็นเพราะหวังจับผิด หรือต้องการเป็นที่สนใจแก่คนทั่วไป โดยเชิญผู้มีชื่อเสียงมาที่บ้านเพราะช่วงเวลานั้นมีแต่ผู้กล่าวถึงพระเยซู หรือเขาอาจเคารพพระเยซูเพราะเรียกท่านว่าอาจารย์ แต่ก็กลับละเว้นธรรมเนียมปฏิบัติที่พึงกระทำต่ออาจารย์ผู้มีชื่อเสียงดังเช่นพระเยซู

 

เรื่องนี้ได้ให้ข้อคิดและหนุนใจอะไรเราบ้าง

พระคัมภีร์ตอนนี้ได้ย้ำกับเราว่า พระเจ้ารักเราทุกคนในสถานภาพที่เราเป็น ไม่มีใครเลวเกินกว่าที่พระเจ้าจะรักได้ แม้ว่าในสายตาของเราว่าคนนี้เป็นคนไม่ดี อย่าให้สายตาเราเป็นแบบฟาริสีที่คิดว่าคนเลวไม่ควรมาใกล้พระเจ้า ไม่สมควรได้รับความรักจากพระเจ้า ไม่มีใครดี หรือเลวเกินไปที่จะไม่ได้รับความรักจากพระเจ้า ในเรื่องนี้หญิงคนนี้เป็นหญิงโสเภณีซึ่งถูกเรียกว่าเป็นคนชั่ว (ข้อ 39) นางได้ยินเรื่องราวพระเยซูได้ยินคำเทศนาบ่อยๆ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้พระเยซู โดยพระคุณพระเจ้า นางเกิดความเชื่อและตัดสินใจกลับใจ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระวิญญาณแห่งความรักเข้ามาในจิตใจของนาง พอรู้ว่าฟาริสีเชิญพระเยซูคริสต์มารับประทานอาหารที่บ้านจึงตามมา และเข้ามาหาพระเยซู

หญิงคนนี้เป็นคนบาป และเป็นคนบาปหนักด้วยเพราะนางเป็นโสเภณีตามการตัดสินของคนเมืองนี้  นางเป็นหนึ่งในฝูงชนที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ และตระหนักว่าพระองค์สามารถช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากวิถีชีวิตอันขื่นขมได้    และเช่นเดียวกับหญิงชาวยิวทุกคน นางมีขวดหินขาวเล็ก ๆ บรรจุน้ำมันหอมเข้มข้น ราคาแพง แขวนไว้ที่คอ  นางตั้งใจจะชโลมพระบาทของพระองค์ด้วยน้ำมันหอมนี้เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดีที่สุดและมีค่ามากที่สุดเท่าที่นางมี    แต่เมื่อเห็นพระองค์ น้ำตาของนางกลับไหลพรั่งพรูรดพระบาทของพระองค์ !    นางจึงใช้ผมที่สยายยาวของนางเช็ดพระบาทของพระองค์ สำหรับหญิงชาวยิว การสยายผมออกมาถือว่าไม่สุภาพอย่างยิ่ง  หลังจากแต่งงานแล้ว หญิงชาวยิวจึงไม่ยอมปล่อยผมสยายออกมาให้ปรากฏเลย    การที่นางแก้มัดผมในที่สาธารณะเพื่อเช็ดพระบาทของพระองค์ แสดงให้เห็นว่า นางลืมคิดถึงทุกสิ่งและทุกคน เว้นแต่พระเยซูคริสต์ เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นท่าทีของจิตใจคนที่แตกต่างกัน  จากความคิดของซีโมนเองก็คือเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดีทั้งในสายตาของมนุษย์และของพระเจ้า  เขาจึงไม่ต้องการพึ่งพาพระองค์  ไม่รักพระองค์  และที่สุดจึงไม่ได้รับการอภัยบาปจากพระองค์    ส่วนหญิงคนนี้สำนึกว่าตนเป็นคนบาปและต้องการพระเยซูคริสต์อย่างที่สุด  หัวใจของนางจึงเต็มล้นด้วยความรักต่อพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเหลือนางได้  และในที่สุดนางจึงได้รับการอภัยบาป    สิ่งหนึ่งซึ่งปิดกั้นมนุษย์จากพระเจ้าอย่างเด็ดขาดคือการคิดว่าตัวเองดี แต่แท้จริงแล้ว "คนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป รู้ตัวว่าอ่อนแอ ต้องการความเมตตาจากพระเจ้า และยอมพึ่งพาพระองค์นั้น เป็นคนที่พระเจ้ายอมรับและเมตตา"

 

1ทิโมธี 1:15

คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้

นางเชื่อว่าชีวิตนี้มีค่า พระเจ้าไม่ได้วัดคุณค่าของเราจาก อาชีพ ตำแหน่ง ทรัพย์สินเงินทอง จากสายตาของมนุษย์ เรามีค่าสำหรับพระเจ้าเสมอ พระเจ้ารักเราอย่างที่เราเป็น พระเจ้าไม่ชอบบาปของเรา ต้องการเปลี่ยนแปลงเรา ให้เรากลับใจ เราอย่าตกลงไปในการทดลองแล้วขึ้นจากหลุมพลางนี้ไม่ได้ ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้เราออกจากบาป ไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างที่จะทำบาปอยู่ โดยคิดว่าเราเป็นคนบาปถึงอย่างไรพระเจ้าก็รักเราให้อภัยเสมอ พระเจ้ารักเราแต่ไม่ได้ชอบบาปของเรา พระเจ้ารักเราอยากให้เราเป็นคนดี ในสายตาพระเยซูที่เป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งส่งพระองค์มาตายเพื่อชำระบาปให้เรา เราจึงเป็นคนที่มีคุณค่า ในสายตาทางศาสนา หรือสายตาฟาริสี นางเป็นคนผิดบาปแน่นอน แต่เมื่อนางพบพระเยซูจะได้รับการกลับใจ มีชีวิตที่มีคุณค่า แต่หากนางพบฟาริสีนางจะถูกชี้ว่าบาป

โรม 5:5 “…เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว

ความรักของพระเจ้าทำให้เราไม่รู้สึกขาด ไม่ต้องการให้ความรักอื่นมาเติมเต็มให้กับเรา ทำให้เรารู้สึกไม่ขาดอะไรอีก เราจึงมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักของพระเจ้า ความชื่นชมยินดี ทำให้เรามอบความรักต่อผู้อื่นได้

สำหรับตัวเราแล้ว เรามีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าทุกเวลาหรือไม่ หรือมีบ้างบางเวลา หรือยังขอเว้นระยะห่างจากพระเจ้าบ้าง หรือไม่


ขอคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความ เรื่องราว คำเทศนาดีๆ ที่ข้าพเจ้าได้นำมารวบรวมเพื่อแบ่งปันในเช้าวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น