วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ทางแห่งปัญญา

 

ทางแห่งปัญญา

 ตุลาคม 2563

สุภาษิต 4:8 TH1971

จงตีราคาปัญญาให้สูง และปัญญาจะยกย่องเจ้า ถ้าเจ้ากอดปัญญาไว้ ปัญญาจะให้เกียรติเจ้า

 

https://kmi.or.th/2019/07/29/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2/

สรุปส่วนหนึ่งจาก web มูลนิธิส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส)

หากเราพูดกันถึงปัญญา เราคงจะคิดไปถึงการมีความรู้มาก การได้ร่ำเรียนมาสูงๆ การได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง บางทีเราก็มักจะน้อยเนื้อต่ำใจหากเราอยู่ในแวดวง สถานที่ที่มีผู้ที่มีความรู้สูง ๆ เราก็อาจจะรู้สึกว่าเราด้อยคุณค่า

แล้วปัญญา คืออะไร เราจะพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากพูดกันในวงการการศึกษาเราจะได้ยินคำอธิบายของคำว่าปัญญา ในความหมายที่ไม่ค่อยจะแตกต่างไปจากคำว่าความรู้เท่าใดนัก มีที่ละเอียดขึ้นหน่อย ก็อธิบายในทำนองที่ว่า ปัญญา คือ ความสามารถในการใช้ความรู้

บางตำราก็บอกว่า ปัญญา ต้องพัฒนามาจากสติ ดังที่เรามักจะได้ยินคำสองคำนี้อยู่คู่กันเสมอว่า สติปัญญา ปัญญากับความรู้นั้นถ้าดูให้ดีแล้วจะพบว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกันเหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจ   ความรู้ คือ การมีข้อเท็จจริง หรือ ผลที่ได้จากการเรียนรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดความเข้าใจในสิ่งนั้น ปัญญาหรือสติปัญญา คือ การประยุกต์ข้อเท็จจริงเพื่อนำมาใช้

เรามักจะเห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะตามพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่มีความรู้สูงนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเสมอไป ความรู้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสมอง ในขณะที่ปัญญานั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ คนที่มากด้วยความรู้แต่จิตใจไม่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่มีปัญญา

ผู้ที่มีความรู้สูงไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเสมอไป ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนได้จากการอ่านตำรา ส่วนการที่ปัญญาจะเกิดได้นั้น จะต้องมาจากความสามารถในการอ่านจิตใจ อ่านอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องตามทันความรู้สึกของตนเอง  ความรู้จากการเรียนรู้ การศึกษา จะเกิดการ คิดเป็น ทำเป็น หากพัฒนาตนเองขึ้นไปอีกระดับทำให้เกิดปัญญาแล้ว คือ คิดถูก ทำถูก

ยากอบ 3 : 13-18

ปัญญาจากเบื้องบน

13ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา 14แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง 15ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ 17แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด 18ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม

 

หากสรุปโดยรวมในพระธรรมนี้ สาเหตุของความชั่วคือความอิจฉาและการใช้ปัญญาในทางที่ผิด ปัญญาฝ่ายโลกคือการดำเนินชีวิตโดยไม่พึ่งพาพระเจ้า ส่วนผู้ที่มีปัญญาโดยพึ่งพาพระเจ้าจะแสดงออกโดยความประพฤติ มีความถ่อมใจ ใช้ความรู้หว่านสันติ จึงได้เก็บเกี่ยวความชอบธรรม

เราสามารถเรียนรู้ หาความรู้ได้ในเรื่องปัญญาของโลกนี้ เช่น เทคนิคการขาย การเป็นผู้นำ เทคนิคการพูด ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าความรู้หาได้ไม่ยากเลย ค้นหาอ่านได้ฟรี ๆ ทางอินเทอร์เน็ต เขียนจากอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่าง ๆ  ปัญญาเหล่านี้อาจไม่ได้แก้ปัญหาถึงรากลึก ถึงจิตใจ เช่นเดียวกับการที่เราอ่าน เราศึกษาพระคัมภีร์ หากเราท่องจำโดยไม่ให้พระคำของพระเจ้าเข้ามาตกในจิตใจ แต่เราอ่านเพียงแค่เป็นความรู้ หรือนำมาโอ้อวดว่าเรารู้มาก ท่องได้ จำได้ แต่ไม่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีปัญญา เราต้องก้าวไปมากกว่าปัญญาฝ่ายโลก คือปัญญาจากพระเจ้า

ปัญญาฝ่ายเนื้อหนัง หรือปัญญาฝ่ายโลกคือ การที่เราไม่ยอมให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนในชีวิตของเรา หรือมาควบคุมชีวิตเรา ในข้อ 15 และ 16 ก็ได้กล่าวว่า” …ปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ” ในโลกทุกวันนี้เราจะเห็นว่าการแก้ปัญญารุนแรงขึ้นทุกวัน เช่น การโกรธการเคียดแค้น สะสมไว้ในจิตใจทุกวัน ไม่ให้พระเจ้าช่วยปลดปล่อยออกไป ไม่ให้อภัย เก็บความขมขื่น เก็บรากของปัญหาไว้จนกระทั่งไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้ สักวันก็จะระเบิดออกมา แบบขาดสติปัญญา ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ล้มเหลว แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาชนะมันได้อย่างไร เราจำเป็นต้องขอและพึ่งพาพระเจ้าช่วยในความจำกัดของเรา พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา ใน เอเฟซัส 5:15 “เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา เราอาจเรียนรู้มากมายจนได้ปัญญาฝ่ายโลก เราอย่าลืมที่จะแสวงหาปัญญาจากพระเจ้า ความล้ำลึกในปัญญาจากพระเจ้าที่พระเจ้าจะเปิดเผยให้เราจากพระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราคิดที่จะหนีปัญหา ให้เราสู้กับปัญหาที่พบเจอ แก้ปัญหาโดยใช้สติปัญญาที่มาจากเบื้องบน

เราอาจได้รับข้อมูลมากมายจากคนที่มีความฉลาด มีความรู้มาก เราต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า ยอมให้พระเจ้ามีหุ้นส่วนในชีวิตของเรา ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรามากขึ้น ให้เรารับมือกับปัญหาที่เราเจอด้วยสติปัญญา ให้ความข่มขื่น ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในจิตใจเราน้อยลง ให้ความรักเข้ามาแทนที่ ชีวิตจะมีสันติสุขมากขึ้น สดุดี 111:10 “ความยำเกรงของพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญา บรรดาผู้ปฏิบัติตามก็ได้ความเข้าใจดี การสรรเสริญพระเจ้า ดำรงอยู่เป็นนิตย์คนที่ยำเกรงพระเจ้าจะไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แต่จะพึ่งพาปัญญาจากพระเจ้า

ในข้อ 17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด” เราต้องไม่เพียงแต่รับพระคุณจากพระเจ้าเท่านนั้น แต่เราต้องดำเนินชีวิตกับพระองค์ เริ่มต้นโดยเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มจากชีวิตตนเอง แล้วจะมีผลต่อผู้อื่น สุภาษิต 8:11 “เพราะปัญญาดีกว่าทับทิม และสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดจะเปรียบเทียบกับปัญญาไม่ได้

 

สุภาษิต 3:5-7

5จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

7อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย


**ขอขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

 

บทเพลง พระเจ้าประทานความรู้เข้าใจ

 

พระเจ้าประทาน ความรู้เข้าใจ สิ่งใหม่ไม่มีมาก่อน

เราพบพลังโลกาถาวร เป็นพรพลังของเรา

พระเจ้าประทานสิ่งอันยิ่งใหญ่ จำเริญในวิชาการ

จงใช้ประโยชน์ให้ยั่งยืนนานวิญญาณเพิ่มพูนปัญญา

ขอความยำเกรง พระเยโฮวาห์ บ่อเกิดปัญญามวลชน

ทำลายความกลัว ความเกลียดกังวล ฟอกล้างดวงกมลพลัน

เพื่อคุณความดี ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ มีความรู้ใช้ถูกทาง

หากใช้สนองอำนาจนอกทาง จะล้างผลาญทำลายตน อาเมน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น