วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ทางแห่งปัญญา

 

ทางแห่งปัญญา

 ตุลาคม 2563

สุภาษิต 4:8 TH1971

จงตีราคาปัญญาให้สูง และปัญญาจะยกย่องเจ้า ถ้าเจ้ากอดปัญญาไว้ ปัญญาจะให้เกียรติเจ้า

 

https://kmi.or.th/2019/07/29/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2/

สรุปส่วนหนึ่งจาก web มูลนิธิส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส)

หากเราพูดกันถึงปัญญา เราคงจะคิดไปถึงการมีความรู้มาก การได้ร่ำเรียนมาสูงๆ การได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง บางทีเราก็มักจะน้อยเนื้อต่ำใจหากเราอยู่ในแวดวง สถานที่ที่มีผู้ที่มีความรู้สูง ๆ เราก็อาจจะรู้สึกว่าเราด้อยคุณค่า

แล้วปัญญา คืออะไร เราจะพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากพูดกันในวงการการศึกษาเราจะได้ยินคำอธิบายของคำว่าปัญญา ในความหมายที่ไม่ค่อยจะแตกต่างไปจากคำว่าความรู้เท่าใดนัก มีที่ละเอียดขึ้นหน่อย ก็อธิบายในทำนองที่ว่า ปัญญา คือ ความสามารถในการใช้ความรู้

บางตำราก็บอกว่า ปัญญา ต้องพัฒนามาจากสติ ดังที่เรามักจะได้ยินคำสองคำนี้อยู่คู่กันเสมอว่า สติปัญญา ปัญญากับความรู้นั้นถ้าดูให้ดีแล้วจะพบว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกันเหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจ   ความรู้ คือ การมีข้อเท็จจริง หรือ ผลที่ได้จากการเรียนรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดความเข้าใจในสิ่งนั้น ปัญญาหรือสติปัญญา คือ การประยุกต์ข้อเท็จจริงเพื่อนำมาใช้

เรามักจะเห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะตามพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่มีความรู้สูงนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเสมอไป ความรู้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสมอง ในขณะที่ปัญญานั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ คนที่มากด้วยความรู้แต่จิตใจไม่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่มีปัญญา

ผู้ที่มีความรู้สูงไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเสมอไป ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนได้จากการอ่านตำรา ส่วนการที่ปัญญาจะเกิดได้นั้น จะต้องมาจากความสามารถในการอ่านจิตใจ อ่านอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องตามทันความรู้สึกของตนเอง  ความรู้จากการเรียนรู้ การศึกษา จะเกิดการ คิดเป็น ทำเป็น หากพัฒนาตนเองขึ้นไปอีกระดับทำให้เกิดปัญญาแล้ว คือ คิดถูก ทำถูก

ยากอบ 3 : 13-18

ปัญญาจากเบื้องบน

13ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา 14แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง 15ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ 17แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด 18ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม

 

หากสรุปโดยรวมในพระธรรมนี้ สาเหตุของความชั่วคือความอิจฉาและการใช้ปัญญาในทางที่ผิด ปัญญาฝ่ายโลกคือการดำเนินชีวิตโดยไม่พึ่งพาพระเจ้า ส่วนผู้ที่มีปัญญาโดยพึ่งพาพระเจ้าจะแสดงออกโดยความประพฤติ มีความถ่อมใจ ใช้ความรู้หว่านสันติ จึงได้เก็บเกี่ยวความชอบธรรม

เราสามารถเรียนรู้ หาความรู้ได้ในเรื่องปัญญาของโลกนี้ เช่น เทคนิคการขาย การเป็นผู้นำ เทคนิคการพูด ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าความรู้หาได้ไม่ยากเลย ค้นหาอ่านได้ฟรี ๆ ทางอินเทอร์เน็ต เขียนจากอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่าง ๆ  ปัญญาเหล่านี้อาจไม่ได้แก้ปัญหาถึงรากลึก ถึงจิตใจ เช่นเดียวกับการที่เราอ่าน เราศึกษาพระคัมภีร์ หากเราท่องจำโดยไม่ให้พระคำของพระเจ้าเข้ามาตกในจิตใจ แต่เราอ่านเพียงแค่เป็นความรู้ หรือนำมาโอ้อวดว่าเรารู้มาก ท่องได้ จำได้ แต่ไม่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีปัญญา เราต้องก้าวไปมากกว่าปัญญาฝ่ายโลก คือปัญญาจากพระเจ้า

ปัญญาฝ่ายเนื้อหนัง หรือปัญญาฝ่ายโลกคือ การที่เราไม่ยอมให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนในชีวิตของเรา หรือมาควบคุมชีวิตเรา ในข้อ 15 และ 16 ก็ได้กล่าวว่า” …ปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ” ในโลกทุกวันนี้เราจะเห็นว่าการแก้ปัญญารุนแรงขึ้นทุกวัน เช่น การโกรธการเคียดแค้น สะสมไว้ในจิตใจทุกวัน ไม่ให้พระเจ้าช่วยปลดปล่อยออกไป ไม่ให้อภัย เก็บความขมขื่น เก็บรากของปัญหาไว้จนกระทั่งไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้ สักวันก็จะระเบิดออกมา แบบขาดสติปัญญา ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ล้มเหลว แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาชนะมันได้อย่างไร เราจำเป็นต้องขอและพึ่งพาพระเจ้าช่วยในความจำกัดของเรา พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา ใน เอเฟซัส 5:15 “เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา เราอาจเรียนรู้มากมายจนได้ปัญญาฝ่ายโลก เราอย่าลืมที่จะแสวงหาปัญญาจากพระเจ้า ความล้ำลึกในปัญญาจากพระเจ้าที่พระเจ้าจะเปิดเผยให้เราจากพระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราคิดที่จะหนีปัญหา ให้เราสู้กับปัญหาที่พบเจอ แก้ปัญหาโดยใช้สติปัญญาที่มาจากเบื้องบน

เราอาจได้รับข้อมูลมากมายจากคนที่มีความฉลาด มีความรู้มาก เราต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า ยอมให้พระเจ้ามีหุ้นส่วนในชีวิตของเรา ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรามากขึ้น ให้เรารับมือกับปัญหาที่เราเจอด้วยสติปัญญา ให้ความข่มขื่น ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในจิตใจเราน้อยลง ให้ความรักเข้ามาแทนที่ ชีวิตจะมีสันติสุขมากขึ้น สดุดี 111:10 “ความยำเกรงของพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญา บรรดาผู้ปฏิบัติตามก็ได้ความเข้าใจดี การสรรเสริญพระเจ้า ดำรงอยู่เป็นนิตย์คนที่ยำเกรงพระเจ้าจะไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แต่จะพึ่งพาปัญญาจากพระเจ้า

ในข้อ 17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด” เราต้องไม่เพียงแต่รับพระคุณจากพระเจ้าเท่านนั้น แต่เราต้องดำเนินชีวิตกับพระองค์ เริ่มต้นโดยเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มจากชีวิตตนเอง แล้วจะมีผลต่อผู้อื่น สุภาษิต 8:11 “เพราะปัญญาดีกว่าทับทิม และสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดจะเปรียบเทียบกับปัญญาไม่ได้

 

สุภาษิต 3:5-7

5จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

7อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย


**ขอขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

 

บทเพลง พระเจ้าประทานความรู้เข้าใจ

 

พระเจ้าประทาน ความรู้เข้าใจ สิ่งใหม่ไม่มีมาก่อน

เราพบพลังโลกาถาวร เป็นพรพลังของเรา

พระเจ้าประทานสิ่งอันยิ่งใหญ่ จำเริญในวิชาการ

จงใช้ประโยชน์ให้ยั่งยืนนานวิญญาณเพิ่มพูนปัญญา

ขอความยำเกรง พระเยโฮวาห์ บ่อเกิดปัญญามวลชน

ทำลายความกลัว ความเกลียดกังวล ฟอกล้างดวงกมลพลัน

เพื่อคุณความดี ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ มีความรู้ใช้ถูกทาง

หากใช้สนองอำนาจนอกทาง จะล้างผลาญทำลายตน อาเมน

ความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ

 

ความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ

 พฤศจิกายน 2563

สุภาษิต 15:33

          ความยำเกรงพระเจ้าเป็นการสอนให้เกิดปัญญา และความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ

 

            เมื่อเวลาเรารู้สึกว่ามีเกียรติ มีชื่อเสียง มีคนเคารพ เราก็จะรู้สึกภูมิใจในตัวเอง ความหยิ่งก็จะเกิดขึ้นใจจิตใจเล็ก ๆ นานวันจากหยิ่งเล็ก ๆ ก็จะโตขึ้นๆ ซึ่งความรู้สึกภูมิใจในตัวเองไม่ได้หมายถึงว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเราควรที่จะภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ไม่ดูถูกตัวเอง แต่พระเจ้าสอนให้เราอย่าลืมการให้เกียรติผู้อื่น ฟิลิปปี 2:3 “อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว

            ความหมายของความถ่อมใจนั้นไม่ได้หมายถึงการยอม การด้อย การเงียบ การไม่พูด แต่เป็นการให้เกียรติผู้อื่น พูดในสิ่งที่ควรพูดอย่างสุภาพ ไม่ยกตนข่มท่าน แต่ส่วนใหญ่ความเป็นมนุษย์มักจะลืมตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เมื่อได้รับสิ่งที่ดูสูงค่ากว่าผู้อื่นคนเราก็จะเริ่มหยิ่ง นำสิ่งที่สูงค่ากว่าผู้อื่นมาวัดค่าผู้อื่น กดผู้อื่นให้ต่ำลง / ความถ่อมใจไม่ไช่เป็นลักษณะของการเสแสร้งให้ดูถ่อมใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนหยิ่ง / ความเก่งไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความเก่ง อยากให้คนอื่นคิดว่าเราเก่ง โดยยกตนข่มท่าน ยิ่งการมีตำแหน่งสูงเท่าไหร่เราอาจจะกลัวผู้ที่สูงกว่าหรือคนต่ำกว่าคิดว่าเรารู้น้อย จึงมักแสดงออกในท่าทีที่ยกตนข่มท่าน ทำเสียงดังๆ พูดให้มากที่สุดให้ผู้อื่นรู้ว่าเรารู้ทุกอย่าง คนเก่งไม่จำเป็นต้องพูดทั้งหมดในสิ่งที่ตัวเองรู้ แต่เป็นการพูดในเวลาที่เหมาะสม ความเก่งจะออกมาด้วยการกระทำและคำพูดที่เหมาะสมในสถานที่ และเวลา สถานการณ์นั้น ๆ มากกว่า

คำอุปมาเรื่องคนฟาริสีและคนเก็บภาษี เป็นคำสอนที่พระเยซูยกตัวอย่างที่เราจะเห็นภาพได้อย่างชัดเจน

ลูกา 18:9-14

        9 สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม  และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น  พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า

        10 “มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร  คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี

    11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน  อธิษฐานว่า  'ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณ ของพระองค์  ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น  ซึ่งเป็นคนโลภ  คนอธรรม  และคนล่วงประเวณี  และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้

        12 ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน  และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย

       13 ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล  ไม่แหงนดูฟ้า  แต่ตีอกของตนว่า  'ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงโปรด พระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด'

    14 เราบอกท่านทั้งหลายว่า  คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม  มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น  เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง  แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น”

ฟาริสี เป็นคนเย่อหยิ่ง โอ้อวดในความดีงามของตัวเอง เขาไม่ได้เข้าไปในพระวิหารเพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า แต่เพื่อประกาศต่อผู้คนว่าเขาเป็นคนดีเพียงใด ส่วนคนเก็บภาษีไปพระวิหารเพราะเขาสำนึกผิด และตระหนักถึงความบาปของตัวเองและทูลขอความเมตตาจากพระเจ้า การถือว่าตัวเองนั้นดี เป็นคนชอบธรรมนั้นอันตรายเพราะจะนำไปสู่ความเย่อหยิ่ง ทำให้รังเกียจผู้อื่น แต่คนเก็บภาษีนั้นเขาสำนึกผิด และพระเจ้าฟังคำอธิษฐานของเขา เพราะเขาถ่อมใจ

การที่เราคิดว่าเราสมบูรณ์แบบ ประสบผลสำเร็จในชีวิต อาจทำให้เราเผลอทำตัวเป็นผู้พิพากษา คอยตัดสินผู้อื่น

 

ในข้อ 14 ข้างต้นก็ได้กล่าวว่า “...เพราะว่าทุกคนที่ได้ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง  และผู้ที่ถ่อมตัวลงนั้นจะได้รับ การยกขึ้น”

เราต้องยอมเป็นภาชนะว่างเปล่าที่พระเจ้าจะทรงทำงานและสำแดงสง่าราศีของพระองค์ ผ่านความเต็มใจและเชื่อฟังของเรา ในสายพระเนตรของพระเจ้า ความมีเกียรตินั้นจะได้มาก็ด้วยการที่คนๆนั้นมีใจถ่อมสุภาพ ยอมรับใช้ผู้อื่น ไม่เป็นคนหยิ่งผยอง ถือตัว และอวดตัว แต่คำนึงถึงผู้อื่นเสมอ นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นคน ไม่แสวงหาสถานภาพที่สูงส่งแต่มีความสุขที่ได้ถ่อมใจรับใช้ผู้อื่น ซึ่งเป็นเกียรติที่คนเห็นเองว่าคนนั้นคือผู้ที่สมควรจะได้รับ

เค้าบอกว่าหากเราเปรียบเทียบความถ่อมใจกับต้นไม้ ความถ่อมใจเปรียบเหมือนรากที่อยู่ใต้ดิน เปรียบเหมือนจิตใจที่มองไม่เห็น ส่วน กิ่ง ก้าน ใบ และผลของต้นไม้ เปรียบเหมือนสิ่งที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็นผลจากภายในจิตใจของเรา

ไม่ว่าเราจะเผชิญขวากหนาม เจออุปสรรค เจอจุดต่ำสุด เจอความทุกข์ยาก เจอบาดแผลก็ขอให้เรารู้ว่าเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อให้เราเกิดความถ่อมใจ และจะไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดสูญเปล่าไป มันจะสร้างให้เราหนักแน่น สร้างให้เราเข้าใจบางอย่าง สร้างให้เราเข้าใจผู้อื่น เป็นพยานชีวิตให้เป็นพระพรส่งต่อผู้อื่นได้ เมื่อผู้อื่นมีปัญหาที่คล้ายกับเรา เราสามารถที่จะให้คำแนะนำ หนุนใจ ผู้นั้นได้ดีกว่าผู้อื่นที่ไม่เคยเจอ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันเป็นประสบการณ์จริงของเรา เมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น พระองค์จะอยู่คอยช่วยเหลือเราตลอดเส้นทาง / แต่หากเราได้รับความสำเร็จ ได้รับสิ่งที่สูงสุดในชีวิต หรือสูงเหนือผู้อื่น ก็ขอพระเจ้าอย่าให้เราได้โอ้อวด ขอให้เราถ่อมใจ

ซี เอส ลูอิส (C.S Lewis) ได้พูดว่า การถ่อมใจแท้ไม่ใช่การคิดว่าตัวเองเล็กน้อย  แต่เป็นการคิดถึงตัวเองน้อยลง ไม่ได้หมายถึงเราทำอะไรได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นคนที่ใช้การไม่ได้ แต่เป็นการคิดถึงตัวเองน้อยลง และเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเรา

1 เปรโต 5:6

“เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหมายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร”

 

** ในเช้านี้ข้าพเจ้าขอฝากข้อคิด และเป็นข้อคิดสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง จากคำอธิษฐานของคนเก็บภาษีน่าจะเป็นคำอธิษฐานของเราในทุก ๆ วัน เพื่ออย่าให้เกิดความหยิ่งในสิ่งที่เราทำสำเร็จ หรือประสบผลสำเร็จ ตัดเราออกห่างจากพระเจ้าเลย บางทีการที่รู้เยอะก็กลายเป็นสิ่งน่ากลัวเป็นหลุมพลางตาให้เราพลัดตกลงในบาปได้อย่างง่ายดาย

 

สุภาษิต 29:23(Proverbs 29:23)

ความเย่อหยิ่งของคนนำเขาให้ต่ำลง แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ

โยบ

 

โยบ

15 กุมภาพันธ์ 2564

          พระธรรมโยบ มีอยู่ด้วยกัน 42 บท  ขอนำมาแบ่งปันโดยย่อเป็นใจความสำคัญดังนี้

        มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ โยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม ท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า และเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า และไม่ทำสิ่งชั่วร้าย มีบุตรชาย 7 คน หญิง 3 คน ส่วนสัตว์เลี้ยงของท่าน มีแกะเจ็ดพันตัว อูฐสามพันตัว วัวห้าร้อยคู่ และลาตัวเมียห้าร้อยตัว และท่านมีคนใช้มากมาย เป็นผู้ที่ร่ำรวย และมั่งคั่งที่สุดในบรรดาชาวตะวันออกในเวลานั้น  เมื่อเหล่าทูตสวรรค์มารายงานตัวต่อพระเจ้า ซาตานก็มาในหมู่พวกเขาด้วย เมื่อซาตานรู้ว่าโยบเป็นคนชอบธรรม ซาตานกล่าวกับพระเจ้าว่าโยบเป็นคนชอบธรรมเพราะพระเจ้าประทานพรให้ท่านมากมาย ซาตานกล่าวว่าโยบจะไม่เป็นคนชอบธรรมหากนำเอาพรของท่านออกไป ซาตานจึงขออนุญาตทดสอบโยบ ในที่สุดพระเจ้าทรงอนุญาตให้ทดสอบโยบได้ แต่มีข้อแม้ว่า ซาตานจะแตะต้องได้เฉพาะแต่ที่เป็นทรัพย์สิน หรือสิ่งที่อยู่ในอำนาจครอบครองของโยบเท่านั้น แต่ห้ามแตะต้องชีวิตของโยบ จากนั้นซาตานก็เริ่มทดสอบโยบโดยให้เกิดภัยพิบัติหลายอย่าง เริ่มจากให้ชาวเสบาไปขโมยวัวและลาของโยบ ส่งไฟลงมาจากฟ้าไหม้แกะตายหมด ให้ชาวเคลเดียมาขโมยอูฐ พวกคนรับใช้ที่คอยดูแลฝูงสัตว์ก็ถูกฆ่าตาย และให้มีพายุใหญ่พัดเรือนบุตรของโยบพังทับบุตรชายหญิงของโยบจนตาย โยบเสียใจมาก แต่โยบก็ไม่ได้ทำบาป หรือกล่าวโทษพระเจ้าเลย โยบกลับลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการพระเจ้า และกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า ข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า ซึงโยบก็มิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้าเลย

            แล้วอยู่มาในวันหนึ่งซาตานก็เข้ามารายงานตัวต่อพระเจ้า พร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์เหมือนอย่างเคย พระเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้เขาเพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุอันใด เขาก็ยังยึดมั่นในคำสัตย์ซื่อของเขาอยู่ แต่ซาตานก็ขออนุญาตพระเจ้าทดสอบโยบอีก โดยขอแตะต้องตัวเขา พระเจ้าทรงอนุญาตแต่ห้ามทำให้โยบถึงแก่ความตาย ซาตานจึงให้โยบเป็นฝีร้ายตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงศีรษะ โยบเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน และพยายามที่จะบรรเทาอาการเจ็บและคัน โดยเอาชิ้นหม้อแตกมาขูดแผลตัวเอง และนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า

            เมื่อภรรยาเห็นแบบนั้น ก็บอกให้โยบแช่งด่าพระเจ้า แล้วให้ไปตาย แต่โยบก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นเลย

            สหายสามคนของโยบได้ยินถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจึงเดินทางมาหาคือ เอลี​ฟัส ​ชาว​เท​มาน บิล​ดัด​ ชาว​ชูอาห์ และ​โศ​ฟาร์ ​ชาว​นา​อา​เมห์ เขามาพบโยบถึงกับตกใจร้องไห้ไปกับโยบ แต่สุดท้ายก็ตัดสินโยบว่าโยบทำบาป พระเจ้าจึงลงโทษ โยบเริ่มบ่นต่อพระเจ้าว่าทำไมให้คนอื่นวิพากวิจารณ์เขาเช่นนั้น ทำไมพระเจ้าไม่ให้ผู้อื่นเห็นถึงความบริสุทธิของเขา

            จากนั้นมีชายหนุ่มชื่อเอลีฮูที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็เริ่มพูดขึ้นมา (ในบทที่ 32-37) โดยต่อว่าเพื่อนทั้งสามของโยบ และกล่าวว่าแม้โยบจะเป็นคนดี แต่ก็มีความหยิ่ง มองเห็นว่าตนเป็นผู้ชอบธรรม และให้โยบนิ่ง พิจารณาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระผู้สร้าง พระองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าแห่งความยุติธรรม และความชอบธรรม

แล้วพระเจ้าก็ตรัสตอบโยบออกมาจากพายุ โดยเป็นการถามคำถามมากมายที่มนุษย์ก็ไม่อาจตอบได้ (ในบทที่ 38 - 41)  เมื่อโยบเผชิญหน้ากับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เขาก็ถ่อมตัวลงด้วยความยำเกรง  

            สุดท้ายพระเจ้าทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี และพระเจ้าประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่

 

โยบ 42 : 12-16

และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมาก ยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน และท่านมีแกะหนึ่งหมื่นสี่พัน อูฐหกพัน วัวผู้พันคู่ และลาตัวเมียหนึ่งพัน ท่านมีบุตรชายเจ็ดคน และบุตรหญิงสามคนด้วย และท่านเรียกชื่อคนแรกว่า เยมีมาห์ และชื่อ คนที่สองเคสิยาห์ และชื่อคนที่สามเคเรนหัปปุค และในแผ่นดินนั้นทั้งสิ้นไม่มีหญิงใดงดงามเท่า บรรดาบุตรสาวของโยบ และบิดาของเขาได้ให้มรดกแก่เธอพร้อมกับพวก พี่ชายและน้องชายของเธอ ต่อจากนี้ไป โยบมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งร้อยสี่สิบปี และได้เห็นบุตรชายของท่าน หลานเหลนของท่านสี่ชั่วอายุ และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว

  

ข้อคิด

        1.   สำหรับตัวเราเองที่ได้รับความทุกข์ยาก เราไม่ควรให้เสียงคนรอบข้างมารบกวนเรา ไม่ว่าคนรอบข้างจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร เราต้องนิ่ง แล้วเราจะได้ยินเสียงพระเจ้า ไม่ต้องโต้ตอบ เวลาเท่านั้นเป็นผู้พิสูจน์ อาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวเปรียบเทียบว่า เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ หากเขาไม่อยู่นิ่งๆ เราก็จะช่วยเหลือเขาไม่ได้ หรือลำบากมาก คนที่กำลังจะจมน้ำอยู่นิ่งแล้ว เราจึงจะช่วยเหลือเขาได้ เปรียบเทียบกับเราเมื่อพบเจอความทุกข์ยาก เราต้องนิ่ง

        2. หากผู้อื่นมีเรื่องเดือดร้อน มีความทุกข์ มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น เราก็ไม่ควรตัดสินกล่าวหา ควรเห็นใจ แบ่งเบาความทุกข์นั้น เราไม่จำเป็นต้องค้นหาคำตอบว่า เป็นเพราะเหตุใด ทำไมจึงเกิดสิ่งนี้กับพวกเขาหรือตัวเรา บางทีคำตอบก็อาจไม่มีเลย เราไม่ใช่ผู้ตัดสิน ไม่ควรวิพากวิจารณ์จากความรู้สึกของเราเอง เหมือนในพระธรรมโยบ ซึ่งในขณะที่เกิดเหตุการณ์นั้นไม่มีใครรู้เลย หรือแม้กระทั่งโยบเอง ก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากซาตานต้องการทดสอบโยบ


ให้นำเรื่องทุกข์ร้อนมาบ่นกับพระองค์ พระเจ้าต้องการให้เราเข้าหาพระองค์ด้วยใจถ่อม ถึงแม้ว่าคนรอบข้างจะไม่เข้าใจเรา แต่พระองค์เข้าใจและอยู่ด้วยกับเราเสมอ

 

สดุดี 46:1 , 10

            พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก

            จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก