26
ตุลาคม 2023
ความคิดและคำพูด
เอเฟซัส 5:19
“จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี
เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ
คือร้องเพลงและสดุดีจากใจของพวกท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า”
พระวจนะของพระเจ้าได้ให้เราเรียนรู้ในการใช้คำพูด
สอนการคิดต่างๆ ให้เรามากมาย และทำให้เราได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยคำพูดของเราเช่นกัน
ยิ่งหากเราเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ผู้คนก็จะได้เห็นพระเจ้าผ่านคำพูด และการดำเนินชีวิตของเรา
https://www.cokhonkaen.org/powerofyourwords
พลังของคำพูดเมื่อคำพูดออกจากปากของเรานั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
1. สะท้อนถึง ทัศนคติ และสิ่งที่อยู่ภายในใจ
คำพูดของเราเปิดเผยความคิด และความรู้สึกที่อยู่ภายใน ดัง สุภาษิต 17:9
กล่าวว่า “ผู้ให้อภัยการละเมิดก็มุ่งจะสร้างมิตรภาพ
แต่คนที่ชอบพูดย้ำความผิดจะทำให้เพื่อนสนิทแตกคอกัน”
2. สะท้อนถึงการเป็นพยานของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์
การพูดแสดงออกถึงความรัก ความเอาใจใส่และเป็นพยานที่ดีให้กับพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตเรา
3. มีพลังสามารถเสริมสร้างหรือทำลาย การพูดในสิ่งที่ดีก็ช่วยหนุนใจคนที่ได้ฟัง
แต่การพูดในสิ่งที่ไม่ดีก็นำภัยมาถึงตัวเอง และสามารถทำร้ายจิตใจคนอื่นได้ วาจาอ่อนโยนเปรียบเหมือนน้ำผึ้ง
หวานชื่นแก่จิตวิญญาณและเป็นยารักษาชีวิต ดัง สุภาษิต 18:7 กล่าวว่า “ปากของคนโง่เป็นสิ่งทำลายตัวเขาเอง และริมฝีปากของเขาก็เป็นบ่วงดักตนเอง”
4. ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยคำพูด เมื่อเรารู้แล้วว่าคำพูดนั้นมีพลังมากแค่ไหน
สามารถทำให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียได้
เราควรจะเรียนรู้และเติบโตมากขึ้นในการพูดของเราเพื่อเสริมสร้างคนอื่น
และเพื่อสิ่งนี้จะเป็นพระพรให้กับคนที่ได้ยินได้ฟังในสิ่งที่เราพูด
และคำพูดที่พระเจ้าพอพระทัย
ควรจะเป็นอย่างไรบ้าง
1. คำพูด ควรจะต้องมีความรักอยู่ในนั้นด้วย เพราะคำพูดที่มาจากความรัก
ช่วยหนุนใจคนฟัง ให้ยอมรับและถ่อมใจลง เห็นความปรารถนาดีของเราและฟังเรามากขึ้น
ดังพระธรรม เอเฟซัสส 4:15 กล่าวว่า “แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก
เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์”
2. รู้จักยับยั้งคำพูด ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่เราคิดหรือรู้สึก
ให้ดูความเหมาะสม เวลา โอกาส ก่อนที่จะพูดสิ่งนั้นๆ ออกไป เพื่อให้คำพูดนั้นมีประสิทธิภาพ
และเกิดผลดีต่อคนฟังมากที่สุด สุภาษิต 17:28
“แม้คนโง่หากนิ่งเสียก็นับว่ามีปัญญา
เมื่อเขาปิดปากของตนก็นับว่ามีความคิด”
3. มีสติปัญญาในการพูด รู้จักใช้คำพูด
รู้ว่าควรจะพูดอะไร ไม่ใช่การพูดโดยหาสาเหตุไม่ได้ หรือพูดลอยๆ
ที่ไม่มีมูลความจริง สุภาษิต 17:27 “บุคคลที่ยับยั้งถ้อยคำของเขาเป็นคนมีความรู้
และบุคคลผู้มีจิตใจเยือกเย็นเป็นคนมีความเข้าใจ”
4. ใช้คำพูดที่นุ่มนวลอ่อนหวาน คำพูดที่อ่อนหวานก็น่าฟัง
และหนุนใจ สุภาษิต 16:24 “ถ้อยคำแช่มชื่นเป็นเหมือนรวงผึ้ง
เป็นความหวานแก่วิญญาณจิตและเป็นพลานามัยแก่ร่างกาย”
เช้านี้ข้าพเจ้าตั้งชื่อเรื่องในการแบ่งปันว่า ความคิดและคำพูด
คำพูดของใครบางคนอาจบาดลึกในจิตใจเราทำให้เจ็บปวดจนมิลืมเลือน
หรือคำพูดของเรานำความปวดร้าวในจิตใจให้กับผู้อื่นโดยตั้งใจ
หรือไม่ได้ตั้งใจก็เป็นไปได้ บางทีเราอาจจะไม่ทราบว่า คำพูดก็พลิกชีวิตได้ทั้งด้านดี
และด้านร้าย
เมื่อปี ค.ศ. 2018
ข้าพเจ้าไปสัมมนาพี่เลี้ยงของคริสตจักรที่หนึ่ง เชียงใหม่
และได้นำข้อคิดมาแบ่งปันหลังจากวันนั้นที่ห้องนมัสการนี้
ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าขอนำมาแบ่งปันอีกครั้งในเรื่องของ โทมัส อัลวา เอดิสัน
ซึ่งในวันนั้น ศาสนาจารย์พิริยะ ประดิษฐสอน ได้แบ่งปันเรื่องราวของ โทมัส อัลวา
เอดิสัน ซึ่งทุกท่านคงทราบประวัติของเขาเป็นอย่างดีแล้วนะคะว่า เขาเป็นนักประดิษฐ์
เป็นผู้รักการทดลองเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นที่สุดของโทมัส อัลวา เอดิสัน
คือ หลอดไฟฟ้า ซึ่งเขาไม่ได้เป็นคนที่คิดประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าขึ้นมาเป็นคนแรก
ก่อนหน้านั้นมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 20 คน
ได้พยายามคิดค้นและประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าด้วยเช่นกัน เพียงแต่โทมัส อัลวา
เอดิสันคือนักประดิษฐ์คนแรกที่สามารถทำให้หลอดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
และเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
วันหนึ่ง โทมัส อัลวา
เอดิสัน ในวัยเด็กกลับมาบ้านพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ของเขา เขาพูดว่า "แม่ครับ ครูให้นำกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่และบอกว่า
แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่าน ครูเขียนว่าอะไรครับแม่" ตาของแม่เต็มไปด้วยน้ำตา
เธออ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยเสียงอันดังต่อหน้าลูกชายว่า "ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา และไม่มีครูที่ดีเพียงพอที่จะสอนเขาได้
กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง" ตั้งแต่วันนั้น
เธอจึงสอนโทมัสอยู่ที่บ้านด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอป่วยและเสียชีวิตไป
หลายปีต่อมาหลังจากแม่ของโทมัส เอดิสันเสียชีวิต
เขาได้กลายมาเป็นหนึ่งนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษนั้น
วันหนึ่งโทมัสได้ค้นหาสิ่งของและไปพบเจอกระดาษแผ่นที่ครูเคยเขียนและแม่ได้อ่านให้เขาฟังเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก
เขาจึงเปิดอ่าน ที่แท้จริงแล้ว ในกระดาษแผ่นนั้น ครูเขียนว่า " ลูกชายของคุณมีความบกพร่องทางปัญญา
เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียนอีกต่อไป" นั่นแปลว่า โทมัส
เอดิสัน โดนไล่ออกจากโรงเรียน โทมัส เอดิสัน ได้รู้ความจริง
จึงได้เขียนบันทึกลงในไดอารี่ของเขาว่า "โทมัส เอดิสัน
คือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา
แต่แม่ของเขาคือผู้พลิกฟื้นให้เขากลับกลายมาเป็นบุคคลอัจฉริยะแห่งศตวรรษ"
*คำพูดบวกเพียงประโยคเดียว สามารถสร้างแรงบันดาลใจ
เปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต
https://www.yooying.com/mewky.way , https://www.ipst.ac.th/knowledge/20115/20220211.html
หากแม่ของเขาได้อ่านตามที่ครูเขาเขียน
และไม่คิดจะสอนเขาเพราะมองว่า เขาคงไม่สามารถจะเรียนอะไรได้เลย ก็อาจจะไม่มี โทมัส
เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้นี้ก็ได้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าเท่านั้น
เขาประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย เช่น เครื่องโทรเลข
เครื่องถ่ายทำภาพยนตร์ เครื่องเล่นจานเสียง และอีกมากมาย แม้ในหลายชิ้นนั้นเขาจะไม่ใช่ผู้บุกเบิกหรือคิดค้นด้วยตนเอง
แต่เขาก็ได้ปรับปรุง
และพัฒนาสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
หากสิ่งไหนที่เขาคิดว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงก็จะนำไปเสนอขายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ให้ผู้ประกอบการ
เขาไม่ได้เป็นนักประดิษฐ์เท่านั้น เขายังเป็นนักธุรกิจ ตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินธุรกิจมากถึง
14 บริษัท ครอบครัวเขาพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยเลย
ออกจะยากจนด้วยซ้ำไป เขาจึงต้องหางานทำด้วย
เพื่อได้เงินมาซื้ออุปกรณ์สำหรับงานทดลองของเขา
ในอดีตเราอาจจะมีคำพูดของใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจ
กำลังใจให้เราจนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไม่ลืมคำพูดนั้นๆ
เหมือนอย่างที่อาจมีคำบางคำเป็นเหมือนหนามทิ่มแทงหัวใจทำให้ปวดร้าวจนถึงทุกวันนี้ เมื่อนึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกหดหู่เช่นกัน
คำพูดของคนเรามีอิทธิพลต่อชีวิตคนอื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนที่จะกล่าวคำพูดอะไรออกไปเราอาจต้องมองกลับมาที่เราก่อนว่า คำพูดที่จะกล่าวนั้นหากเป็นเราเป็นฝ่ายได้ยิน
เราจะรู้สึกอย่างไร ในทุกๆ เช้าหากเราเติมคำพูดดีๆ ที่มีให้กัน ตั้งแต่คนในบ้าน
จนกระทั่งมาทำงาน ให้คำพูดดีๆ กับเพื่อนร่วมงาน
วันนั้นทั้งวันก็จะเป็นวันที่ชื่นบานใจทั้งเราและผู้อื่น ขอให้เราใช้ลิ้นของเราจุดประกายชีวิตผู้อื่น
บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าเตือนตัวเองเสมอว่า
อย่ารีบร้อนในการพูดออกไป เมื่อมีอารมณ์โกรธอยู่ เมื่อเราโกรธ
เราจะพูดโดยไม่ได้ไตร่ตรอง จนอาจกลายเป็นหินสะดุดที่ทำร้ายผู้อื่น
คำพูดของเราควรที่จะพูดเป็นการหนุนใจผู้อื่น
เสริมสร้างผู้อื่นและถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เอเฟซัส 4:29
“อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย
แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ
เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน”
ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้นำมาแบ่งปันค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น