วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ความคิดและคำพูด

 

26 ตุลาคม 2023

ความคิดและคำพูด

 

เอเฟซัส 5:19

จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงและสดุดีจากใจของพวกท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าได้ให้เราเรียนรู้ในการใช้คำพูด สอนการคิดต่างๆ ให้เรามากมาย และทำให้เราได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยคำพูดของเราเช่นกัน ยิ่งหากเราเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ผู้คนก็จะได้เห็นพระเจ้าผ่านคำพูด และการดำเนินชีวิตของเรา

 

https://www.cokhonkaen.org/powerofyourwords

พลังของคำพูดเมื่อคำพูดออกจากปากของเรานั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

1.  สะท้อนถึง ทัศนคติ และสิ่งที่อยู่ภายในใจ คำพูดของเราเปิดเผยความคิด และความรู้สึกที่อยู่ภายใน ดัง สุภาษิต 17:9 กล่าวว่า ผู้ให้อภัยการละเมิดก็มุ่งจะสร้างมิตรภาพ แต่คนที่ชอบพูดย้ำความผิดจะทำให้เพื่อนสนิทแตกคอกัน

2.  สะท้อนถึงการเป็นพยานของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ การพูดแสดงออกถึงความรัก ความเอาใจใส่และเป็นพยานที่ดีให้กับพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตเรา

3.  มีพลังสามารถเสริมสร้างหรือทำลาย การพูดในสิ่งที่ดีก็ช่วยหนุนใจคนที่ได้ฟัง แต่การพูดในสิ่งที่ไม่ดีก็นำภัยมาถึงตัวเอง และสามารถทำร้ายจิตใจคนอื่นได้ วาจาอ่อนโยนเปรียบเหมือนน้ำผึ้ง หวานชื่นแก่จิตวิญญาณและเป็นยารักษาชีวิต ดัง สุภาษิต 18:7 กล่าวว่า ปากของคนโง่เป็นสิ่งทำลายตัวเขาเอง และริมฝีปากของเขาก็เป็นบ่วงดักตนเอง

4.  ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยคำพูด เมื่อเรารู้แล้วว่าคำพูดนั้นมีพลังมากแค่ไหน สามารถทำให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียได้ เราควรจะเรียนรู้และเติบโตมากขึ้นในการพูดของเราเพื่อเสริมสร้างคนอื่น และเพื่อสิ่งนี้จะเป็นพระพรให้กับคนที่ได้ยินได้ฟังในสิ่งที่เราพูด

 

 

และคำพูดที่พระเจ้าพอพระทัย ควรจะเป็นอย่างไรบ้าง

1.  คำพูด ควรจะต้องมีความรักอยู่ในนั้นด้วย เพราะคำพูดที่มาจากความรัก ช่วยหนุนใจคนฟัง ให้ยอมรับและถ่อมใจลง เห็นความปรารถนาดีของเราและฟังเรามากขึ้น ดังพระธรรม เอเฟซัสส 4:15 กล่าวว่า แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์

2.  รู้จักยับยั้งคำพูด ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่เราคิดหรือรู้สึก ให้ดูความเหมาะสม เวลา โอกาส ก่อนที่จะพูดสิ่งนั้นๆ ออกไป เพื่อให้คำพูดนั้นมีประสิทธิภาพ และเกิดผลดีต่อคนฟังมากที่สุด สุภาษิต 17:28แม้คนโง่หากนิ่งเสียก็นับว่ามีปัญญา เมื่อเขาปิดปากของตนก็นับว่ามีความคิด

3.  มีสติปัญญาในการพูด รู้จักใช้คำพูด รู้ว่าควรจะพูดอะไร ไม่ใช่การพูดโดยหาสาเหตุไม่ได้ หรือพูดลอยๆ ที่ไม่มีมูลความจริง สุภาษิต 17:27 บุคคลที่ยับยั้งถ้อยคำของเขาเป็นคนมีความรู้ และบุคคลผู้มีจิตใจเยือกเย็นเป็นคนมีความเข้าใจ

4.  ใช้คำพูดที่นุ่มนวลอ่อนหวาน คำพูดที่อ่อนหวานก็น่าฟัง และหนุนใจ สุภาษิต 16:24ถ้อยคำแช่มชื่นเป็นเหมือนรวงผึ้ง เป็นความหวานแก่วิญญาณจิตและเป็นพลานามัยแก่ร่างกาย

 

เช้านี้ข้าพเจ้าตั้งชื่อเรื่องในการแบ่งปันว่า  ความคิดและคำพูด

คำพูดของใครบางคนอาจบาดลึกในจิตใจเราทำให้เจ็บปวดจนมิลืมเลือน หรือคำพูดของเรานำความปวดร้าวในจิตใจให้กับผู้อื่นโดยตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็เป็นไปได้ บางทีเราอาจจะไม่ทราบว่า คำพูดก็พลิกชีวิตได้ทั้งด้านดี และด้านร้าย

เมื่อปี ค.ศ. 2018 ข้าพเจ้าไปสัมมนาพี่เลี้ยงของคริสตจักรที่หนึ่ง เชียงใหม่ และได้นำข้อคิดมาแบ่งปันหลังจากวันนั้นที่ห้องนมัสการนี้ ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าขอนำมาแบ่งปันอีกครั้งในเรื่องของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งในวันนั้น ศาสนาจารย์พิริยะ ประดิษฐสอน ได้แบ่งปันเรื่องราวของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งทุกท่านคงทราบประวัติของเขาเป็นอย่างดีแล้วนะคะว่า เขาเป็นนักประดิษฐ์ เป็นผู้รักการทดลองเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นที่สุดของโทมัส อัลวา เอดิสัน คือ หลอดไฟฟ้า ซึ่งเขาไม่ได้เป็นคนที่คิดประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านั้นมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 20 คน ได้พยายามคิดค้นและประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าด้วยเช่นกัน เพียงแต่โทมัส อัลวา เอดิสันคือนักประดิษฐ์คนแรกที่สามารถทำให้หลอดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า

วันหนึ่ง โทมัส อัลวา เอดิสัน ในวัยเด็กกลับมาบ้านพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ของเขา เขาพูดว่า "แม่ครับ ครูให้นำกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่และบอกว่า แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่าน ครูเขียนว่าอะไรครับแม่" ตาของแม่เต็มไปด้วยน้ำตา เธออ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยเสียงอันดังต่อหน้าลูกชายว่า "ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา และไม่มีครูที่ดีเพียงพอที่จะสอนเขาได้ กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง" ตั้งแต่วันนั้น เธอจึงสอนโทมัสอยู่ที่บ้านด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอป่วยและเสียชีวิตไป หลายปีต่อมาหลังจากแม่ของโทมัส เอดิสันเสียชีวิต เขาได้กลายมาเป็นหนึ่งนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษนั้น วันหนึ่งโทมัสได้ค้นหาสิ่งของและไปพบเจอกระดาษแผ่นที่ครูเคยเขียนและแม่ได้อ่านให้เขาฟังเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาจึงเปิดอ่าน ที่แท้จริงแล้ว ในกระดาษแผ่นนั้น ครูเขียนว่า " ลูกชายของคุณมีความบกพร่องทางปัญญา เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียนอีกต่อไป" นั่นแปลว่า โทมัส เอดิสัน โดนไล่ออกจากโรงเรียน โทมัส เอดิสัน ได้รู้ความจริง จึงได้เขียนบันทึกลงในไดอารี่ของเขาว่า "โทมัส เอดิสัน คือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา แต่แม่ของเขาคือผู้พลิกฟื้นให้เขากลับกลายมาเป็นบุคคลอัจฉริยะแห่งศตวรรษ" *คำพูดบวกเพียงประโยคเดียว สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต

https://www.yooying.com/mewky.way , https://www.ipst.ac.th/knowledge/20115/20220211.html

            หากแม่ของเขาได้อ่านตามที่ครูเขาเขียน และไม่คิดจะสอนเขาเพราะมองว่า เขาคงไม่สามารถจะเรียนอะไรได้เลย ก็อาจจะไม่มี โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้นี้ก็ได้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าเท่านั้น เขาประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย เช่น เครื่องโทรเลข เครื่องถ่ายทำภาพยนตร์ เครื่องเล่นจานเสียง และอีกมากมาย แม้ในหลายชิ้นนั้นเขาจะไม่ใช่ผู้บุกเบิกหรือคิดค้นด้วยตนเอง แต่เขาก็ได้ปรับปรุง และพัฒนาสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน หากสิ่งไหนที่เขาคิดว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงก็จะนำไปเสนอขายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ให้ผู้ประกอบการ เขาไม่ได้เป็นนักประดิษฐ์เท่านั้น เขายังเป็นนักธุรกิจ ตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินธุรกิจมากถึง 14 บริษัท ครอบครัวเขาพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยเลย ออกจะยากจนด้วยซ้ำไป เขาจึงต้องหางานทำด้วย เพื่อได้เงินมาซื้ออุปกรณ์สำหรับงานทดลองของเขา

            ในอดีตเราอาจจะมีคำพูดของใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจ กำลังใจให้เราจนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไม่ลืมคำพูดนั้นๆ เหมือนอย่างที่อาจมีคำบางคำเป็นเหมือนหนามทิ่มแทงหัวใจทำให้ปวดร้าวจนถึงทุกวันนี้ เมื่อนึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกหดหู่เช่นกัน คำพูดของคนเรามีอิทธิพลต่อชีวิตคนอื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนที่จะกล่าวคำพูดอะไรออกไปเราอาจต้องมองกลับมาที่เราก่อนว่า คำพูดที่จะกล่าวนั้นหากเป็นเราเป็นฝ่ายได้ยิน เราจะรู้สึกอย่างไร ในทุกๆ เช้าหากเราเติมคำพูดดีๆ ที่มีให้กัน ตั้งแต่คนในบ้าน จนกระทั่งมาทำงาน ให้คำพูดดีๆ กับเพื่อนร่วมงาน วันนั้นทั้งวันก็จะเป็นวันที่ชื่นบานใจทั้งเราและผู้อื่น ขอให้เราใช้ลิ้นของเราจุดประกายชีวิตผู้อื่น

 

บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าเตือนตัวเองเสมอว่า อย่ารีบร้อนในการพูดออกไป เมื่อมีอารมณ์โกรธอยู่ เมื่อเราโกรธ เราจะพูดโดยไม่ได้ไตร่ตรอง จนอาจกลายเป็นหินสะดุดที่ทำร้ายผู้อื่น คำพูดของเราควรที่จะพูดเป็นการหนุนใจผู้อื่น เสริมสร้างผู้อื่นและถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เอเฟซัส 4:29

อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน”


ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้นำมาแบ่งปันค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น