วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566

หนามในชีวิต

 

30 พฤศจิกายน 2565

หนามในชีวิต

 

มีคำกล่าวไว้ว่า เมื่อเราโฟกัสสิ่งใด เราก็จะจ่ายเวลาให้กับสิ่งนั้น เช่น เมื่อเราสนใจโฟกัสคนที่ทำให้เราเจ็บปวด เราก็จะจ่ายเวลาไปให้กับคนๆ นั้น ใช้เวลาไปกับการขุ่นข้องหมองใจ ทำให้เจ็บปวดใจ ไม่สบายใจ เป็นการทำลายเวลาส่วนที่เราควรนำไปใช้กับส่วนดีๆ ส่วนอื่นในชีวิต

เช้านี้ข้าพเจ้าขอนำข้อพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 12:7-10 เพื่อแบ่งปันเช้านี้

2 โครินธ์ 12:7-10 THSV11

7และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เนื่องจากการสำแดงอันยิ่งใหญ่ ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทูตของซาตานที่คอยโบยตีข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะไม่ยกตัวเกินไป

 8เรื่องหนามนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า

 9แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า

10เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น

 

2 โครินท์ 12 นี้ เราจะเห็นได้ว่า อ.เปาโล ได้รับความเจ็บปวดที่ท่านเรียกว่าหนามในเนื้อ ซึ่งเราไม่ทราบเลยว่าท่านหมายความว่าอะไร ซึ่งท่านของให้พระเจ้าเอาออกจากชีวิตของท่านถึง 3 ครั้ง ไม่ว่าหนามนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม หนามก็เป็นอุปสรรค ในชีวิตของท่านมาก ดังที่กล่าวในข้อ 7และข้อ 8 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เนื่องจากการสำแดงอันยิ่งใหญ่ ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทูตของซาตานที่คอยโบยตีข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะไม่ยกตัวเกินไป  เรื่องหนามนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า

ในฉบับอธิบาย Life Application ได้อธิบายว่า หนามที่ อ.เปาโลพูดถึงนั้นอาจเป็นโรคเรื้อรังและทำให้ท่านอ่อนเพลีย ซึ่งบางครั้งแล้วเป็นเหตุให้ท่านทำงานไม่ได้ หนามนั้นเป็นอุปสรรคในการรับใช้ และท่านได้อธิฐานขอพระเจ้ากำจัดออกไป แต่พระเจ้าปฏิเสธ หนามนั้นสร้างปัญหาให้กับท่านมาก และหนามนั้นทำให้ท่านถ่อมตน เตือนใจให้ท่านคอยอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า และทำให้คนรอบข้างได้เห็นพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตท่าน

ชีวิตเราก็เช่นกัน เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเส้นทางที่เราเดินไปนั้นมันไม่ง่าย ชีวิตคนเรานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เราคงเคยได้ศึกษาจากคนในพระคัมภีร์มากกมาย เช่น โยเซฟ (บุตรยาโคบ) ท่านถูกปฏิเสธจากพวกพี่ๆ แล้วถูกนำไปขายไปเป็นทาส แต่สุดท้ายท่านก็สามารถช่วยเหลือคนครอบครัว และสามารถช่วยเรื่องการกันดาลอาหารได้ พระเยซูเองก็เช่นกันที่เดินทางไปที่โกละโกธานั้น เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่การเดินไปบนเส้นทางนั้น พระองค์เห็นความงดงามที่รออยู่ที่หลังกางเขน ในชีวิตของเรา เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมาเราอาจมีบาดแผลเข้ามาในชีวิต เจ็บปวดในหัวใจ ทุกบทเรียนในชีวิตย่อมมีบาดแผล เช่นนักกีฬาต้องผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างมากมาย อาจทั้งเหนื่อย เจ็บปวด ผ่านทั้งการแข่งขันที่มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ แพ้ก็เสียใจ บางครั้งก็รู้สึกอาย หนีหน้าผู้คน ไม่อยากเจอใคร หากชนะก็ดีใจ

ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หลายครั้งที่เราเกิดหนามในชีวิต แล้วขอพระเจ้าช่วยแต่หนามนั้นก็ไม่หายไปจากชีวิต และหนามนั้นก็มายับยั้งเรา ไม่ให้เรากล้าก้าวต่อไป

สิ่งที่เรามองเห็น จากชีวิต อาจารย์เปาโลคือ อาจารย์เปาโลยอมรับความเจ็บปวดนั้นว่ามีอยู่จริงในชีวิต อาจารย์เปาโลกต้องการให้หนามนั้นหลุดออกไป ขอพระเจ้าถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่หลุดออกไป

คนเราเมื่อเกิดความเจ็บปวดมักจะไม่ยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้น และคิดแต่เพียงว่า มันไม่น่าเกิดขึ้น หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดได้ เช่น เราอาจคิดว่าไม่น่าจะเรียนสาขานี้แล้วต้องมาทำงานนี้เลย จึงทำให้เราไม่มีความสุขจากการทำงาน หรือเราไม่น่าจะตัดสินใจแต่งงานกับคนแบบนี้เลยทำให้ชีวิตครอบครัวล้มเหลว การไม่ยอมรับความเจ็บปวด ทำให้เราไม่ยอมรับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว  เป็นเพราะเราคาดหวังสูงและความคาดหวังนั้นไม่ได้เป็นดั่งใจเราคิด เราจึงมักโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว โทษคนนั้น โทษคนนี้ พยายามคิดกลับไปมองอดีตที่ผ่านมาเพื่อคิดแก้ไขอดีต ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ชีวิตคนเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้เลย เราต้องอยู่กับปัจจุบัน หากวันนี้เราไม่เริ่มต้นยอมรับ ว่าปัญหา หรือความเจ็บปวดนั้นมีอยู่จริง หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็จะไม่มีโอกาสเติบโต เราเป็นมนุษย์ มีหัวใจ มีความรู้สึก ทุกข์ สุข เศร้า เจ็บปวด ต้องยอมรับความอ่อนแอ และยอมรับการที่เราต้องพึ่งพาจากพระเจ้า  

เค้าบอกว่าการที่เราเจอปัญหาแล้วยอมรับ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่หากเราเจอปัญหาแล้วเราไม่ยอมรับว่าเป็นปัญหา นั่นคือปัญหา เราต้องมองหาว่าอะไรเป็นปัญหาในชีวิต

หนามนั้นทำให้ อ เปาโลเรียนรู้ในพระคุณของพระเจ้า เพื่อไม่ให้ อ เปาโลไม่หยิ่ง และซาบซึ้งต่อพระคุณพระเจ้า

9แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า

ในข้อ 9 นั้นได้อธิบายว่า ถึงแม้พระเจ้าไม่ได้เอาหนามในเนื้อออกจากกาย อ.เปาโล ซึ่งไม่ว่าหนามในเนื้อนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ พระองค์ทรงสัญญาจะสำแดงฤทธิ์อำนาจในตัว อ.เปาโล ความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจในคนอ่อนแอจึงทำให้เรามีกำลัง เราควรหันไปหาพระจ้าและแสวงหาหนทางที่จะเกิดผลมากขึ้น แทนที่จะเชื่อในกำลัง ความอดทน ความสามารถของตนเอง ด้วยเหตุนี้ความอ่อนแอจึงทำให้เราได้พัฒนาเป็นคนของพระเจ้าที่ใช้การได้ และยังทำให้การนมัสการพระเจ้ามีความหมายลึกซื้งยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเรายอมรับความอ่อนแอของตัวเราเอง เราก็จะได้รับกำลังจากพระเจ้า

10เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น

ข้อ 10 หากเราเพียบพร้อมด้วยความสามารถ มีทรัพยากรต่างๆ มากมาย เราจะถูกล่อลวงให้ทำงานของพระเจ้าด้วยกำลังตัวเราเอง หรือมีอำนาจแต่นำไปใช้ไม่ถูกทาง ซึ่งจะนำไปสู่ความหยิ่งทะนง แต่เมื่อเรายอมรับความอ่อนแอและยอมพึ่งพาฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้า เราจะเข้มแข็งยิ่งกว่าที่เราเป็นได้ด้วยตัวเราเอง พระเจ้าไม่ได้ประสงค์ให้เราทำตัวอ่อนแอ รออยู่เฉยๆ  หรือไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อมีอุปสรรคต้องพึงพาพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้เราเกิดผล เพื่อพระองค์และช่วยให้เราทำงานที่มีคุณค่ายั่งยืน เป็นพระพรแก่ผู้อื่น ทั้งจากผลที่ได้รับ และประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา สามารถแบ่งปันพระพรไปยังผู้อื่นได้

สำหรับมนุษย์แล้วความสมบูรณ์แบบไม่มีจริง เพราะพระเจ้าต้องการให้พึ่งพาพระองค์ ซึ่ง อาจารย์เปาโล ถ่อมใจลงยอมรับให้พระเจ้าช่วย รู้ว่าเราพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ในการเผชิญกับความเจ็บปวด ยอมที่จะเรียนรู้

เราต้องเปลี่ยนโฟกัสใหม่ จากการโฟกัสที่ตัวเอง หรือโฟกัสที่ปัญหา หรือความเจ็บปวด ทำให้เราจ่ายเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ควรจ่าย มาเป็นยอมรับความเจ็บปวด หนามในชีวิตนั้นมีอยู่จริง แล้วถ่อมใจลงพึ่งพาพระเจ้า โฟกัสที่พระเจ้า

 

เมื่อคืนขณะที่ข้าพเจ้าเตรียมแบ่งปัน ได้รับข้อความจากไลน์กลุ่มเพื่อนสมัยเรียนชั้นประถม ซึ่งเป็นข้อคิดกับตัวข้าพเจ้า จึงอยากนำมาแบ่งปันในเช้านี้

คุณยายวัยเก้าสิบนั่งอยู่บนรถประจำทาง  ผู้หญิงทำงานออฟฟิศดูแข็งกร้าวคนหนึ่งสะพายกระเป๋าใบโตเดินขึ้นมาบนรถ ขณะทรุดตัวลงนั่งข้างคุณยาย กระเป๋าของเธอกระแทกใบหน้าคุณยาย!

นั่งได้สักพัก เธอก็ล้วงกระเป๋าพยายามค้นหาอะไรสักอย่าง กระเป๋าใบโตนั้นสะกิดแขนคุณยายตลอดเวลา ครู่ต่อมา เธอตัดสินใจลุกพรวด กระเป๋าเกือบจะเหวี่ยงโดนคุณยายอีก คราวนี้คุณยายเอามือป้องใบหน้าไว้ทัน ผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง พยายามตะโกนบอกว่า ระวังกระเป๋าคุณหน่อย โดนผู้โดยสารคนอื่น...

เธอหันมามองแว่บหนึ่ง สีหน้านิ่งเรียบ มิเพียงไม่ใส่ใจ ไม่เอ่ยขอโทษ กลับเดินตรงไปด้านหลังรถราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

ชายคนนั้นถามคุณยายว่า ทำไมทนนั่งนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรครับ?

คุณยายยิ้มใจดี ตอบว่า

“...มันไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องเสียเวลาพูดเรื่องไม่สำคัญ ซึ่งอาจกลายเป็นถกเถียง ทะเลาะ หยาบคายใส่กันด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้... ถ้าเราปล่อยมันก็ผ่านไป ไม่ทันถึงคืนนี้ ฉันก็ลืมแล้ว แต่ถ้าเรายึดไว้ มันก็ทำให้เสียอารมณ์ไปตลอดวัน... ไม่ว่าฉัน, เธอ หรือใคร บนรถประจำทางคันนี้ เราต่างเดินทางร่วมกันแค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เดี๋ยวฉันก็จะลงป้ายหน้าแล้ว...”

จริงอย่างที่คุณยายพูด เราทุกคนต่างโดยสารบนโลกนี้แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ จะมามัวเสียอารมณ์กับเรื่องไม่ใช่เรื่องให้หัวใจมืดหม่นทำไม เราจะมาโต้เถียงเอาชนะ อิจฉา ริษยา กลั่นแกล้ง เอาเปรียบกันไปถึงไหน เพราะอีกไม่นาน เราก็ต้องลงจากรถประจำทางบนถนนสายชีวิตนี้ด้วยกันทั้งนั้น...

นักปรัชญาแจ็คสัน คิดดาร์ด เคยกล่าวไว้ว่า - -

สิ่งใดที่ทำให้คุณรำคาญ กำลังสอนให้คุณรู้จักอดทน

ใครที่ทิ้งคุณไป กำลังสอนให้คุณลุกยืนด้วยตัวเอง

สิ่งใดที่ทำให้คุณโกรธ กำลังสอนคุณให้อภัยและเห็นอกเห็นใจ

สิ่งใดที่มีอำนาจเหนือคุณ กำลังสอนวิธีให้คุณเอาอำนาจของคุณกลับคืนมา

สิ่งใดที่คุณเกลียด กำลังสอนคุณเรื่องของความรักไร้เงื่อนไข

สิ่งใดที่คุณกลัว กำลังสอนคุณให้กล้าเอาชนะความกลัวนั้น

สิ่งใดที่คุณควบคุมไม่ได้ กำลังสอนให้คุณรู้จักปล่อยมันไป...

ฉะนั้น ก่อนจะโกรธ, เกลียด, หงุดหงิดครั้งต่อไป เตือนตน-บอกตัวเองเสมอว่า ทุกสิ่งกำลังสอนอะไรบางอย่างแก่เรา และ...

“เดี๋ยวฉันก็จะลงป้ายหน้าแล้ว...”


ของคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมมาเพื่อนำมาแบ่งปัน ขอบคุณข้อคิดดีๆ เพื่อเป็นพระพรให้แก่กันและกัน

อัศจรรย์ความรักพระเจ้า

 

อัศจรรย์ความรักพระเจ้า

27 ธันวาคม 2022

1 ยอห์น 4:9-10 TH1971

9โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร 10ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา

ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข มีการประดับด้วยแสงสีไฟและกล่องของขวัญ ตามสถานที่ต่างๆ เป็นเทศกาลที่ครอบครัวได้ใช้เวลารับประทานอาหารร่วมกันและซื้อของขวัญมอบให้แก่กันและกัน

เทศกาลคริสต์มาสเป็นเทศกาลที่มีผู้คนเปิดใจรับฟังเรื่องพระเยซูคริสต์ ทำให้ผู้คนมีโอกาสได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์มาตายไถ่บาปบนไม้กางเขน เทศกาลคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งการให้ของขวัญเพราะพระเยซูคริสต์เป็นของขวัญอันล้ำค่าที่พระเจ้าประทานให้กับโลกนี้เพื่อให้ผู้คนได้รับชีวิตนิรันดร์(ยน.3:16) ผู้ที่ได้รับของขวัญนี้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์

จอห์น นิวตัน(John Newton) ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งดำเนินชีวิตเป็นกัปตันเรือค้าทาส แต่เมื่อท่านได้มารู้จักพระคุณของพระเจ้า ชีวิตของท่านได้เปลี่ยนไป ในปี ค.ศ.1764 ท่านได้รับใช้พระเจ้าในฐานะ ศิษยาภิบาลของคริสตจักรประจำชาติอังกฤษที่ได้รับการแต่งตั้ง ท่านมีชื่อเสียงในฐานะผู้ประพันธ์บทเพลงนมัสการพระเจ้าที่เป็นอมตะหลายเพลง เพลงหนึ่งที่เราคุ้นเคยคือ “พระคุณพระเจ้า” (Amazing Grace) หากปราศจากพระเจ้า จอห์น นิวตัน ก็คงจบชีวิตลงแบบสิ้นหวังและอาจทิ้งชื่อของท่านไว้บนโลกนี้ในฐานะกัปตันเรือค้าทาสผู้ไร้เมตตาธรรม แต่เพราะมีพระเจ้า แม้ท่านอาจมิได้มีเงินทองร่ำรวยมั่งคั่งเหมือนขณะที่ท่านค้าทาส แต่ชื่อเสียงของท่านที่ทิ้งไว้บนโลกนี้หลังจากที่ท่านจากไปเมื่อปี 1807 นั้น ได้บันทึกถึงเรื่องราวแห่งเกียรติและศักดิ์ศรีที่ได้รับเสียงสรรเสริญจากคริสเตียนและคนต่างๆ ทั่วโลก

พระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์สำหรับชีวิตของท่าน ที่ท่านได้รับความรักของพระเยซูคริสต์ ชีวิตจึงเปลี่ยนไป และท่านได้มอบความรักของพระองค์ออกไปสู่คนทั่วโลกผ่านบทเพลงและคำเทศนา

 

พระวจนะใน 1 ยอห์น 4:9 – 10 นี้กล่าวถึงความรักของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสำแดงให้เราประจักษ์ชัดได้ผ่านการมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และนำมาซึ่งการลบล้างความบาปผิดในชีวิตของเรา

ศาสนาเป็นวีธีการที่จะพาคนไปหาพระเจ้า แต่พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่มาหามนุษย์ เราจะสัมผัสได้โดยการเปิดใจก่อน

ยอห์นได้เขียนในข้อ 9 ว่า “...เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำเนินชีวิตโดยพระบุตร” คือดำเนินชีวิตโดยเรียนรู้จากพระองค์ พึ่งพากำลังที่มาจากพระเจ้าในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างถูกต้อง และเป็นคนใหม่ที่ชอบธรรมแล้วผ่านความเชื่อในการหลั่งโลหิตของพระเยซูเพื่อไถ่บาปเรา เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจความรักของพระคริสต์ได้ดังนี้

1.รักที่เสียสละ (ข้อ 9)

พระวจนะกล่าวว่า “โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร” พระวจนะกล่าวถึงพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็น “พระบุตรของพระเจ้า” แท้จริงพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า มีฤทธิ์อำนาจอยู่เหนือทุกสิ่ง แต่กลับมิได้ทรงถือการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือ ซึ่งได้กล่าวไว้ใน ฟิลิปปี 2:6 - 7 พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในสภาพของเนื้อหนัง เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เราในการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้า รวมทั้งมอบชีวิตของพระองค์เองเป็นค่าไถ่บาปแก่เรา เพื่อคนที่วางใจในพระองค์จะได้รับชีวิตใหม่ เปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น และฟื้นขึ้นจากความตายไปอยู่ร่วมกับพระองค์บนแผ่นดินสวรรค์ ดังที่พระวจนะในข้อ 9 นี้กล่าวว่า “...เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร” ความรักของพระเยซูคริสต์จึงเป็นความรักที่เสียสละ หากเราซาบซึ้งในความรักที่เสียสละของพระองค์ เราเองก็จะดำเนินชีวิตที่ยินดีเสียสละเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น นำคนกลับมาพบพระคุณความรักของพระเจ้า เหมือนที่พระคริสต์ได้นำคนมากมายกลับมาหาพระบิดา

2.รักที่ลบล้างความผิด (ข้อ 10)

พระวจนะกล่าวว่า “ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา” แท้จริงมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเพราะบาปของเราทั้งหลายเป็นเหตุให้เราสมควรรับการลงโทษ แต่เพราะความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระองค์จึงทรงประทานพระคริสต์ในสภาพของเนื้อหนังมาเพื่อรับการปรับโทษบาปแทนเราบนไม้กางเขน (รม.8:3) ความรักของพระเยซูคริสต์จึงเป็นการให้อภัยที่ปราศจากเงื่อนไข โดยไม่ขึ้นอยู่กับความดีที่เราทำ แต่โดยพระคุณที่เราได้รับแม้เราไม่สมควรจะได้

คอร์รี่ เทน บูม (Corrie Ten Boom) นักศาสนศาสตร์และนักเขียนชาวเนเธอร์แลนด์เชื้อสายยิวเป็นผู้เขียนหนังสือ The Hiding Place ซึ่งกล่าวว่า "การให้อภัยเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูแห่งความแค้นและกุญแจมือของความเกลียดชัง เป็นอำนาจที่จะหักโซ่ตรวนของความขมขื่นและห่วงโซ่ของความเห็นแก่ตัว

เธอเคยมีประสบการณ์แห่งการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นพระคริสต์ได้ให้อภัยความบาปของเธอ เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ครอบครัวของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่รอดตายจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว(Holocaust)พี่สาวของเธอต้องตายโดยการทำทารุณกรรมโดยทหารนาซีผู้หนึ่ง และเธอจำคนนั้นได้อย่างไม่มีวันลืมเพราะความแค้น  จนวันหนึ่งเธอได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เธอได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระองค์ที่มาตายไถ่บาปและให้อภัยความบาปของเธอ เธอได้ถวายชีวิตเพื่อการรับใช้พระองค์โดยการเดินทางไปเทศนาประกาศข่าวประเสริฐทั่วโลก

จนวันหนึ่งเธอได้นำผู้คนรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ และมีชายคนหนึ่งออกมารับเชื่อพระเยซูคริสต์ ผู้ชายคนนั้นคือทหารนาซีคนนั้นที่ทำให้พี่สาวของเธอต้องตาย แต่เธอได้ตัดสินใจให้อภัยชายผู้นั้นเพราะเธอได้ประจักษ์ถึงความรักของพระคริสต์ เพราะความรักลบล้างความผิดมากมายได้ จาก 1 เปรโต 4:8

การให้อภัยเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูแห่งความแค้นและกุญแจมือของความเกลียดชังในชีวิตของเธอ...

ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

ของขวัญที่ดีเลิศ คือ พระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งมีเงื่อนไขเดียวที่จำเป็น คือ การที่เราเชื่อและวางใจในพระองค์ จะได้รับรางวัลแห่งการเชื่อวางใจนั้น คือ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์

เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นเทศกาลแห่งการให้ ที่เป็นความสุขของผู้ให้ ทำให้เกิดรอยยิ้มของผู้รับ

เพราะพระเยซูคริสต์สอนเราทั้งหลายใน กิจการ 20:35 ว่า "...การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

ความรักลบล้างความผิดบาปได้ เมื่อเรากลับมาเชื่อวางใจและรับการอภัยจากพระเจ้าผ่านความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็จะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น และกลับมามีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพระองค์ทุกในทุกๆ วัน คริสต์มาสจึงเป็นวันของเราทุกคน เพราะความรักของพระเจ้า และความบาปของเราทุกคนเป็นเหตุให้พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้

ในวันนี้จึงอยากเชิญชวนให้เราได้ขอบพระคุณสำหรับความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักอันอัศจรรย์นี้

 

รวบรวมจาก http://pattamarot.blogspot.com/2012/12/blog-post.html

ประจักษ์รักอัศจรรย์วันคริสต์มาส 18 ธันวาคม 2555

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2566

เอสเธอร์

 

24 มกราคม 2023

เอสเธอร์

ขอนำพระธรรมเอสเธอร์ เพื่อหนุนใจในการรับใช้ ให้เราเห็นถึงการที่พระเจ้าทรงเลือก และทรงเรียกเราแล้ว พระเจ้าก็จะทรงนำและช่วยกู้เราในทุกๆ สถานการณ์ พระเจ้ามีแผนการที่ดีเสมอ

 

สรุป พระธรรมเอสเธอร์ บทที่ 1-2 จากหนังสือ 101 เรื่องโปรดจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หน้า 110

เอสเธอร์เป็นเด็กกำพร้าชาวยิวที่อาศัยอยู่ในแผนดินเปอร์เซีย บรรพบุรุษของเธออาศัยกับคนอื่นที่ประเทศอิสราเอล ก่อนที่จะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย

วันหนึ่งบรรดาผู้ปกครอง ขุนนาง และนายทัพแห่งกองทัพแห่งเปอร์เซีย ได้มาที่สุสา เมืองป้อม เพื่อเฉลิมฉลองกัน พระราชาอาหสุเอรัสมีพระประสงค์ที่จะแสดงราชสมบัติอันรุ่งเรืองของพระองค์ ทั้งความโอ่อ่าตระการตาอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เป็นเวลาหลายวัน และในวันที่เจ็ดของการเฉลิมฉลองนั้น พระองค์ได้จัดเลี้ยงอาหารและเหล้าองุ่นอย่างเต็มที่ และในช่วงนั้นพระราชินีวัชทีก็พระราชทานการเลี้ยงแก่สตรีในราชสำนักซึ่งเป็นของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วยเช่นกัน และในวันสุดท้ายของการจัดงานเลี้ยงพระราชาก็ให้คนรับใช้ไปตามพระราชินีมาหาพระองค์ เนื่องจากพระทัยของพระราชารื่นเริงด้วยเหล้าองุ่น พระองค์จึงมีพระประสงค์ที่จะให้ประชาชนและเจ้านายของพระองค์ได้ชมพระสิริโฉมของพระนาง แต่พระราชินีวัชทีมีความละอายที่จะไป ดังนั้นพระนางจึงปฏิเสธที่จะไปตามคำเชิญของพระราชา

สิ่งนี้ทำให้พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอย่างมาก พระองค์ตรัสว่า เราจะทำอย่างไรกับพระราชินีซึ่งไม่เชื่อฟังพระราชา ?”

ฝ่ายเมมูคาน ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่มีปัญญาและคอยให้คำปรึกษาแก่พระราชาทูลตอบว่า พระราชินีวัชทีไม่ได้กระทำผิดต่อพระราชาเท่านั้น แต่ต่อเจ้านายทั้งปวงและประชาชนทั้งปวงที่อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส และสตรีทั้งปวงก็เริ่มที่จะไม่เชื่อฟังสามีของนาง เพราะเขาได้ยินสิ่งที่พระนางทรงกระทำกับพระองค์ พระองค์ต้องขับไล่พระราชินีวัชทีออกไปให้พ้นจากพระองค์ และเลือกพระราชินีองค์ใหม่มาแทนนาง

พระราชาอาหสุเอรัสก็ได้กระทำตามคำแนะนำทันที แต่เมื่อความพิโรธของพระองค์สงบลง พระองค์ก็ทรงเริ่มคิดถึงพระราชินีวัชทีและสิ่งที่พระนางทรงกระทำ ดังนั้นราชการของพระราชาผู้ปรนนิบัติพระองค์อยู่กราบทูลว่า ขอทรงให้หาหญิงสาวพรหมจารีสาวสวยงามในอาณาเขตของพระองค์ และขอให้หญิงสาวที่พระราชาพอพระทัยได้เป็นพระราชินีแทนวัชทีคำแนะนำนี้เป็นที่พอพระทัยของพระราชาและพระองค์ก็ทรงเห็นด้วยตามนั้น

ยังมีชาวยิวคนหนึ่งชื่อว่าโมรเดคัย ได้ยินแผนการณ์ของพระราชา แม้ว่าเอสเธอร์จะเป็นเพียงญาติของท่าน แต่ท่านก็ได้เลี้ยงดูเธอเหมือนลูกสาวของท่านเอง และโมรเดคัยต้องการให้เอสเธอร์ได้เข้าไปแข่งขันกับเขาด้วย

ในที่สุดหญิงสาวทุกคนก็ได้ถูกนำไปหาพระราชา ทุกคนเข้าไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงาม และแพรวพราวและเพชรนิลจินดา แต่เอสเธอร์ไม่มีอะไรประดับและตกแต่งเลย การแต่งกายของเธอก็สุดแสนจะง่ายดาย เพราะว่าเธอสวยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว และเมื่อพระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นเอสเธอร์ พระองค์ทรงรักนางทันที และรักมากกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ แล้วพระราชาก็ได้สวมมงกุฎบนศีรษะของนาง จากนั้นเอสเธอร์ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าธรรมดาก็ได้กลายเป็นพระราชินีเอสเธอร์


และได้รวมรวมจากคำเทศนาของ
ศจ.ดร.ศึกษา เทพอารีย์

พระธรรมเอสเธอร์ ไม่ได้ปรากฏชื่อผู้เขียน แต่เขียนไว้ประมาณ 470 ก่อน คศ. เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเฝ้าดูแลของพระเจ้าที่มีต่อคนอิสราเอลที่กระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ต่างแดน พระนางเอสเธอร์ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชินีของกษัตริย์อาหสุเอรัส และทรงเป็นผู้ช่วยประชาชนของเธอให้รอดพ้นจากการวางแผนทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของฮามาน 

เอสเธอร์เป็นเรื่องของสาวงามชาวยิวที่กษัตริย์อาหสุเอรัสเลือกมาเป็นพระราชินี เมื่อฮามานวางแผนฆ่าคนยิวหมดแผ่นดิน โมรเดคัยผู้เป็นลุงของเอสเธอร์พยายามยื่นมือออกช่วยชีวิตพี่น้องร่วมชาติไว้ พระราชินีเอสเธอร์เสี่ยงชีวิตเข้าไปวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระราชาจนสามารถช่วยพวกเขาไว้ได้ 

ชาวยิวทุกวันนี้ยังคงเฉลิมฉลองเป็นวันพ้นวิกฤติทุกปี ในเทศกาลปูริม ซึ่งชาวยิวได้รับการปกป้องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ชาวยิวกำหนดให้ถือวันนี้เป็นวันตรุษ มอบอาหารให้กันและกัน และมอบของขวัญให้คนยากจนด้วย

แม้ว่าพระธรรมเอสเธอร์จะไม่เอ่ยถึงพระนามของพระเจ้าเลย โรม 1: 20 กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย แต่เราก็ได้เห็นถึงการปกป้องของพระเจ้าที่พระเจ้ารักษาอิสราเอลไว้ให้เป็นชนชาติที่สืบทอดพระคุณของพระองค์มาจนถึงเราในทุกวันนี้ 

1. การทรงเลือกของพระเจ้า (บทที่ 1-2) เอสเธอร์เป็นเชลยสาวสวยชาวยิวในประเทศเปอร์เซีย ชาวยิวตกเป็นเชลยของบาบิโลน เรื่อยมาจนเปลี่ยนมหาอำนาจมาเป็นมีเดียเปอร์เซีย 70 ปี เอสเธอร์เป็นหลานสาวของโมรเดคัย ลุงคนนี้เป็นผู้เลี้ยงดูเธอมาตลอด ในขณะกษัตริย์เซอร์ซิส พระราชาเปอร์เซียเสาะหาสาวงามเป็นพระราชินีแทนพระราชินีพระองค์ก่อน ซึ่งถูกตั้งข้อหาขัดขืนไม่ทำตามโองการที่รับสั่งให้เข้าเฝ้า เอสเธอร์ได้รับเลือกเข้าไปเป็นพระราชินีแทน เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยากมาก หากเราได้อ่านเรื่องของเอสเธอร์ จะเห็นได้จากการพยายามปกปิดเชื้อชาติและภูมิหลังของตนเอง การทรงเลือกเป็นพระคุณพิเศษ เพราะไม่ได้ขึ้นกับความสามารถ หรือความเก่ง แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมและทรงเลือกไว้ล่วงหน้าอย่างอัศจรรย์และไม่ผิดพลาด

เราเองอาจเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ แต่ต้องตระหนักว่า การทรงเลือกของพระเจ้านั้นไม่ผิดพลาดและเป็นพระคุณตามน้ำพระทัยและแผนการอันประเสริฐของพระเจ้า เราควรตอบสนองเมื่อการทรงเรียกมาถึง อย่าให้ความกลัวหรือความไม่กล้าหรือความไม่มั่นใจ หรือแม้แต่สถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผลทำให้เราช้าต่อการตอบสนองการทรงเลือกของพระเจ้าได้

เอเฟซัส 1: 4 ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ 

2. การทรงเรียกของพระเจ้า การสังหารครั้งประวัติศาสตร์ ยิวที่เป็นเชลยในเปอร์เซียมีศัตรู คือฮามาน อัครมหาเสนาบดีของพระราชา เป็นคนอากัก เป็นชื่อของกษัตริย์ชาวอามาเลข ซึ่งคนอามาเลขนี้เป็นศัตรูพวกแรกที่โจมตีอิสราเอลเมื่อครั้งอพยพจากอียิปต์ (อพย.17:8-16) โมรเดคัยเป็นยิวจึงไม่ยอมทำความเคารพคนอามาเลข เพราะเป็นปรปักษ์มาแต่ครั้งโบราณ และฮามานเองก็วางแผนการลับ ๆ เพื่อทำลายล้างชาวยิวโดยออกอุบายทูลเสนอพระราชาเซอร์ซีสให้เชื่อว่าพวกยิวเป็นศัตรูของชาติ ให้พระราชากำหนดวันสังหารพวกยิวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย พระราชาทรงเห็นคล้อยตาม และออกพระราชกฤษฎีกาตามข้อเสนอนั้น นี่คือ วิกฤติการล้างเผ่าพันธุ์ เมื่อกฎออกไปแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรื่องนี้พระนางเอสเธอร์ไม่ได้ล่วงรู้ แต่โมรเดคัยได้แจ้งให้เธอทราบ โมรเดคัยมองเห็นและเสนอว่า ช่องทางหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ คือการที่พระนางเอสเธอร์จะเสี่ยงเข้าไปกราบทูลพระราชา ซึ่งกฎหมายในสำนักพระราชวังสมัยนั้น ถ้ากษัตริย์ไม่ทรงเรียกหญิงคนใดเข้าเฝ้า ก็ไม่มีใครกล้าล่วงล้ำเข้าไปในพระราชฐานชั้นใน ผู้เข้าไปอาจมีโทษถึงตาย นี่เป็นโอกาสของการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติของเธอ เธอจะอยู่เฉยๆ หรือเสี่ยงลุกขึ้นมาแก้ปัญหา เธอต้องตัดสินใจ ในที่สุดเธอก็ได้เข้าไปหาพระราชา และพระราชาทรงโปรดปรานเธอ อันเป็นเหตุให้ชาวยิวพ้นวิกฤติการณ์

เมื่อเวลาของพระเจ้ามาถึง พระเจ้าทรงเรียกคนของพระองค์ด้วยวิธีของพระองค์ อย่าลืมว่าความจริงแล้วพระเจ้าทำพระราชกิจของพระองค์ได้แม้ไม่มีเรา แต่เป็นพระคุณและเกียรติที่ทรงมอบให้เรา และจะน่าเสียดายเสียใจขนาดไหนที่เราไม่ได้ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์ และปล่อยให้โอกาสที่ประเสริฐนั้นผ่านไป บางทีเราอาจอ้างว่าไม่ได้ยินการทรงเรียกของพระเจ้า เป็นไปได้ว่าชีวิตเรายุ่งกับภารกิจฝ่ายโลกและผลประโยชน์ของตนมากจนเกินไป หรืออาจมีเสียงรบกวนจากสังคมที่วุ่นวาย จึงไม่ได้ยินเสียงพระเจ้า บ่อยครั้งที่พระเจ้าใช้เสียงเรียกเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบในใจ ต้องเงียบและสงบ เราจึงจะได้ยินเสียงเรียกนั้น เอสเธอร์ขออดอาหารและให้ชาวยิวในเมืองสุสาถืออดด้วย เมื่อถืออดแล้ว เธอตัดสินใจเข้าพบพระราชาแม้จะขัดกับกฎหมาย เธอแสดงความเด็ดเดี่ยวในการตอบสนองการทรงเรียกโดยพูดว่า “ แม้ข้าฯต้องพินาศ ข้าก็ยอมพินาศ”

บางครั้งเราได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้าแต่ไม่กล้าตอบสนองหรือหนีเหมือนโยนา ทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่ในท้องปลาสามวันสามคืน เพื่อให้กลับใจตอบสนองการทรงเรียก เราคงไม่อยากเป็นแบบโยนา ดังนั้นอย่าให้เราพลาดจากน้ำพระทัยหลักและแผนการอันทรงเกียรติและยิ่งใหญ่ของพระองค์ คำถามหนึ่งที่จะช่วยได้คือให้ถามตัวเองว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงนำเรามาถึงจุดที่เรายืนอยู่ พระเจ้าทรงมีวัตถุประสงค์อะไรในชีวิตของเรา

3. การทรงช่วยกู้ของพระเจ้า เมื่อโอกาสช่วยเหลือคนอื่นมาถึงเรา เราจะตัดสินใจอย่างไร เราได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นๆบ้างหรือยัง เมื่อผู้อื่นต้องการความช่วยเหลือแม้ด้านใดๆ ที่เรามีความพร้อมก็ตาม เรานิ่งเฉย หรือเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อเข้าไปช่วย หากเราหรือเอสเธอร์เมินเฉยต่อพระคุณที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ เราอาจจะพลาดจากน้ำพระทัยหลักของพระเจ้าได้

ในการตอบสนองต่อการทรงเลือกและการทรงเรียกนั้น เราจะต้องมีพัฒนาการชีวิตฝ่ายวิญญาณเสียก่อน ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟัง รับการท้าทายตามพระสัญญาโดยอาจต้องเสียสละความสุขส่วนตน ละทิ้งนิสัยที่ไม่ดีหลายอย่าง เปลี่ยนทัศนคติ หรืออาจต้องเรียนรู้ที่จะอดทนต่อสิ่งต่างๆที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ หรือสิ่งที่ไม่คาดคิด ไม่ได้เป็นดังที่หวังบางอย่าง

บางครั้งเราก็คิดว่า ให้เราพร้อมทุกอย่างก่อน เช่น มีเวลาก่อน เกษียณก่อน มีเงิน มีทองก่อน พระเจ้าให้ทุกอย่างแก่เราก่อนซิ แล้วเราจะถวายตัว ถวายกายใจ หรือทรัพย์สิน แต่เมื่อถึงเวลาที่พร้อมจริงๆในส่วนทางโลก เราอาจลืมพระคุณพระเจ้าก็เป็นได้ จริงแล้ว การถวายของเรานั้นถวายได้ทุกเวลา ทุกลมหายใจเพื่อตอบแทนพระคุณ

หากในเวลาวิกฤตของคนอื่น เรามีความพร้อมทุกด้านที่พระเจ้าประทานมาให้เราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง ตำแหน่ง เราจะยอมเสี่ยงแบบเอสเธอร์ผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุยังน้อย แต่มีความเชื่อมากหรือไม่


ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ขอบคุณคำเทศนา ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรวบรวมเพื่อมาแบ่งปันในเช้าวันนี้