30 พฤศจิกายน 2565
หนามในชีวิต
มีคำกล่าวไว้ว่า เมื่อเราโฟกัสสิ่งใด เราก็จะจ่ายเวลาให้กับสิ่งนั้น
เช่น เมื่อเราสนใจโฟกัสคนที่ทำให้เราเจ็บปวด เราก็จะจ่ายเวลาไปให้กับคนๆ นั้น
ใช้เวลาไปกับการขุ่นข้องหมองใจ ทำให้เจ็บปวดใจ ไม่สบายใจ
เป็นการทำลายเวลาส่วนที่เราควรนำไปใช้กับส่วนดีๆ ส่วนอื่นในชีวิต
เช้านี้ข้าพเจ้าขอนำข้อพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 12:7-10 เพื่อแบ่งปันเช้านี้
2 โครินธ์ 12:7-10 THSV11
7และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป
เนื่องจากการสำแดงอันยิ่งใหญ่ ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า
ซึ่งเป็นทูตของซาตานที่คอยโบยตีข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะไม่ยกตัวเกินไป
8เรื่องหนามนั้น
ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า
9แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า
“การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน
ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า
10เพราะเหตุนี้
เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ
ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด
ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น
2 โครินท์ 12
นี้ เราจะเห็นได้ว่า อ.เปาโล ได้รับความเจ็บปวดที่ท่านเรียกว่าหนามในเนื้อ
ซึ่งเราไม่ทราบเลยว่าท่านหมายความว่าอะไร
ซึ่งท่านของให้พระเจ้าเอาออกจากชีวิตของท่านถึง 3 ครั้ง ไม่ว่าหนามนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
หนามก็เป็นอุปสรรค ในชีวิตของท่านมาก ดังที่กล่าวในข้อ 7และข้อ 8 “และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป
เนื่องจากการสำแดงอันยิ่งใหญ่ ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า
ซึ่งเป็นทูตของซาตานที่คอยโบยตีข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะไม่ยกตัวเกินไป เรื่องหนามนั้น
ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า “
ในฉบับอธิบาย Life Application ได้อธิบายว่า หนามที่ อ.เปาโลพูดถึงนั้นอาจเป็นโรคเรื้อรังและทำให้ท่านอ่อนเพลีย
ซึ่งบางครั้งแล้วเป็นเหตุให้ท่านทำงานไม่ได้ หนามนั้นเป็นอุปสรรคในการรับใช้ และท่านได้อธิฐานขอพระเจ้ากำจัดออกไป
แต่พระเจ้าปฏิเสธ หนามนั้นสร้างปัญหาให้กับท่านมาก และหนามนั้นทำให้ท่านถ่อมตน
เตือนใจให้ท่านคอยอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า
และทำให้คนรอบข้างได้เห็นพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตท่าน
ชีวิตเราก็เช่นกัน
เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเส้นทางที่เราเดินไปนั้นมันไม่ง่าย ชีวิตคนเรานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
เราคงเคยได้ศึกษาจากคนในพระคัมภีร์มากกมาย เช่น โยเซฟ (บุตรยาโคบ) ท่านถูกปฏิเสธจากพวกพี่ๆ
แล้วถูกนำไปขายไปเป็นทาส แต่สุดท้ายท่านก็สามารถช่วยเหลือคนครอบครัว และสามารถช่วยเรื่องการกันดาลอาหารได้
พระเยซูเองก็เช่นกันที่เดินทางไปที่โกละโกธานั้น เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
แต่การเดินไปบนเส้นทางนั้น พระองค์เห็นความงดงามที่รออยู่ที่หลังกางเขน
ในชีวิตของเรา เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมาเราอาจมีบาดแผลเข้ามาในชีวิต
เจ็บปวดในหัวใจ ทุกบทเรียนในชีวิตย่อมมีบาดแผล
เช่นนักกีฬาต้องผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างมากมาย อาจทั้งเหนื่อย เจ็บปวด
ผ่านทั้งการแข่งขันที่มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แพ้ก็เสียใจ บางครั้งก็รู้สึกอาย หนีหน้าผู้คน ไม่อยากเจอใคร หากชนะก็ดีใจ
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
หลายครั้งที่เราเกิดหนามในชีวิต แล้วขอพระเจ้าช่วยแต่หนามนั้นก็ไม่หายไปจากชีวิต
และหนามนั้นก็มายับยั้งเรา ไม่ให้เรากล้าก้าวต่อไป
สิ่งที่เรามองเห็น
จากชีวิต อาจารย์เปาโลคือ อาจารย์เปาโลยอมรับความเจ็บปวดนั้นว่ามีอยู่จริงในชีวิต
อาจารย์เปาโลกต้องการให้หนามนั้นหลุดออกไป ขอพระเจ้าถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่หลุดออกไป
คนเราเมื่อเกิดความเจ็บปวดมักจะไม่ยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้น
และคิดแต่เพียงว่า มันไม่น่าเกิดขึ้น หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดได้
เช่น เราอาจคิดว่าไม่น่าจะเรียนสาขานี้แล้วต้องมาทำงานนี้เลย
จึงทำให้เราไม่มีความสุขจากการทำงาน หรือเราไม่น่าจะตัดสินใจแต่งงานกับคนแบบนี้เลยทำให้ชีวิตครอบครัวล้มเหลว
การไม่ยอมรับความเจ็บปวด ทำให้เราไม่ยอมรับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เป็นเพราะเราคาดหวังสูงและความคาดหวังนั้นไม่ได้เป็นดั่งใจเราคิด
เราจึงมักโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว โทษคนนั้น โทษคนนี้ พยายามคิดกลับไปมองอดีตที่ผ่านมาเพื่อคิดแก้ไขอดีต
ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ชีวิตคนเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้เลย
เราต้องอยู่กับปัจจุบัน หากวันนี้เราไม่เริ่มต้นยอมรับ ว่าปัญหา
หรือความเจ็บปวดนั้นมีอยู่จริง หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็จะไม่มีโอกาสเติบโต เราเป็นมนุษย์
มีหัวใจ มีความรู้สึก ทุกข์ สุข เศร้า เจ็บปวด ต้องยอมรับความอ่อนแอ และยอมรับการที่เราต้องพึ่งพาจากพระเจ้า
เค้าบอกว่าการที่เราเจอปัญหาแล้วยอมรับ นั่นไม่ใช่ปัญหา
แต่หากเราเจอปัญหาแล้วเราไม่ยอมรับว่าเป็นปัญหา นั่นคือปัญหา เราต้องมองหาว่าอะไรเป็นปัญหาในชีวิต
หนามนั้นทำให้ อ เปาโลเรียนรู้ในพระคุณของพระเจ้า เพื่อไม่ให้ อ
เปาโลไม่หยิ่ง และซาบซึ้งต่อพระคุณพระเจ้า
9แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า
“การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน
ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า
ในข้อ 9 นั้นได้อธิบายว่า ถึงแม้พระเจ้าไม่ได้เอาหนามในเนื้อออกจากกาย
อ.เปาโล ซึ่งไม่ว่าหนามในเนื้อนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ พระองค์ทรงสัญญาจะสำแดงฤทธิ์อำนาจในตัว
อ.เปาโล ความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจในคนอ่อนแอจึงทำให้เรามีกำลัง
เราควรหันไปหาพระจ้าและแสวงหาหนทางที่จะเกิดผลมากขึ้น แทนที่จะเชื่อในกำลัง
ความอดทน ความสามารถของตนเอง ด้วยเหตุนี้ความอ่อนแอจึงทำให้เราได้พัฒนาเป็นคนของพระเจ้าที่ใช้การได้
และยังทำให้การนมัสการพระเจ้ามีความหมายลึกซื้งยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเรายอมรับความอ่อนแอของตัวเราเอง
เราก็จะได้รับกำลังจากพระเจ้า
10เพราะเหตุนี้
เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ
ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด
ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น
ข้อ 10 หากเราเพียบพร้อมด้วยความสามารถ
มีทรัพยากรต่างๆ มากมาย เราจะถูกล่อลวงให้ทำงานของพระเจ้าด้วยกำลังตัวเราเอง
หรือมีอำนาจแต่นำไปใช้ไม่ถูกทาง ซึ่งจะนำไปสู่ความหยิ่งทะนง แต่เมื่อเรายอมรับความอ่อนแอและยอมพึ่งพาฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้า
เราจะเข้มแข็งยิ่งกว่าที่เราเป็นได้ด้วยตัวเราเอง พระเจ้าไม่ได้ประสงค์ให้เราทำตัวอ่อนแอ
รออยู่เฉยๆ หรือไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อมีอุปสรรคต้องพึงพาพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้เราเกิดผล
เพื่อพระองค์และช่วยให้เราทำงานที่มีคุณค่ายั่งยืน เป็นพระพรแก่ผู้อื่น
ทั้งจากผลที่ได้รับ และประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา
สามารถแบ่งปันพระพรไปยังผู้อื่นได้
สำหรับมนุษย์แล้วความสมบูรณ์แบบไม่มีจริง
เพราะพระเจ้าต้องการให้พึ่งพาพระองค์ ซึ่ง อาจารย์เปาโล
ถ่อมใจลงยอมรับให้พระเจ้าช่วย รู้ว่าเราพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ในการเผชิญกับความเจ็บปวด
ยอมที่จะเรียนรู้
เราต้องเปลี่ยนโฟกัสใหม่
จากการโฟกัสที่ตัวเอง หรือโฟกัสที่ปัญหา หรือความเจ็บปวด
ทำให้เราจ่ายเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ควรจ่าย มาเป็นยอมรับความเจ็บปวด หนามในชีวิตนั้นมีอยู่จริง
แล้วถ่อมใจลงพึ่งพาพระเจ้า โฟกัสที่พระเจ้า
เมื่อคืนขณะที่ข้าพเจ้าเตรียมแบ่งปัน
ได้รับข้อความจากไลน์กลุ่มเพื่อนสมัยเรียนชั้นประถม ซึ่งเป็นข้อคิดกับตัวข้าพเจ้า
จึงอยากนำมาแบ่งปันในเช้านี้
คุณยายวัยเก้าสิบนั่งอยู่บนรถประจำทาง
ผู้หญิงทำงานออฟฟิศดูแข็งกร้าวคนหนึ่งสะพายกระเป๋าใบโตเดินขึ้นมาบนรถ
ขณะทรุดตัวลงนั่งข้างคุณยาย กระเป๋าของเธอกระแทกใบหน้าคุณยาย!
นั่งได้สักพัก เธอก็ล้วงกระเป๋าพยายามค้นหาอะไรสักอย่าง
กระเป๋าใบโตนั้นสะกิดแขนคุณยายตลอดเวลา ครู่ต่อมา เธอตัดสินใจลุกพรวด
กระเป๋าเกือบจะเหวี่ยงโดนคุณยายอีก คราวนี้คุณยายเอามือป้องใบหน้าไว้ทัน
ผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง พยายามตะโกนบอกว่า ระวังกระเป๋าคุณหน่อย
โดนผู้โดยสารคนอื่น...
เธอหันมามองแว่บหนึ่ง สีหน้านิ่งเรียบ
มิเพียงไม่ใส่ใจ ไม่เอ่ยขอโทษ กลับเดินตรงไปด้านหลังรถราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
ชายคนนั้นถามคุณยายว่า ทำไมทนนั่งนิ่งเงียบ
ไม่พูดอะไรครับ?
คุณยายยิ้มใจดี ตอบว่า
“...มันไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องเสียเวลาพูดเรื่องไม่สำคัญ
ซึ่งอาจกลายเป็นถกเถียง ทะเลาะ หยาบคายใส่กันด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้...
ถ้าเราปล่อยมันก็ผ่านไป ไม่ทันถึงคืนนี้ ฉันก็ลืมแล้ว แต่ถ้าเรายึดไว้
มันก็ทำให้เสียอารมณ์ไปตลอดวัน... ไม่ว่าฉัน, เธอ หรือใคร บนรถประจำทางคันนี้
เราต่างเดินทางร่วมกันแค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เดี๋ยวฉันก็จะลงป้ายหน้าแล้ว...”
จริงอย่างที่คุณยายพูด
เราทุกคนต่างโดยสารบนโลกนี้แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ
จะมามัวเสียอารมณ์กับเรื่องไม่ใช่เรื่องให้หัวใจมืดหม่นทำไม เราจะมาโต้เถียงเอาชนะ
อิจฉา ริษยา กลั่นแกล้ง เอาเปรียบกันไปถึงไหน เพราะอีกไม่นาน เราก็ต้องลงจากรถประจำทางบนถนนสายชีวิตนี้ด้วยกันทั้งนั้น...
นักปรัชญาแจ็คสัน คิดดาร์ด เคยกล่าวไว้ว่า - -
สิ่งใดที่ทำให้คุณรำคาญ
กำลังสอนให้คุณรู้จักอดทน
ใครที่ทิ้งคุณไป
กำลังสอนให้คุณลุกยืนด้วยตัวเอง
สิ่งใดที่ทำให้คุณโกรธ
กำลังสอนคุณให้อภัยและเห็นอกเห็นใจ
สิ่งใดที่มีอำนาจเหนือคุณ
กำลังสอนวิธีให้คุณเอาอำนาจของคุณกลับคืนมา
สิ่งใดที่คุณเกลียด
กำลังสอนคุณเรื่องของความรักไร้เงื่อนไข
สิ่งใดที่คุณกลัว
กำลังสอนคุณให้กล้าเอาชนะความกลัวนั้น
สิ่งใดที่คุณควบคุมไม่ได้
กำลังสอนให้คุณรู้จักปล่อยมันไป...
ฉะนั้น ก่อนจะโกรธ, เกลียด, หงุดหงิดครั้งต่อไป
เตือนตน-บอกตัวเองเสมอว่า ทุกสิ่งกำลังสอนอะไรบางอย่างแก่เรา และ...
“เดี๋ยวฉันก็จะลงป้ายหน้าแล้ว...”
ของคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมมาเพื่อนำมาแบ่งปัน ขอบคุณข้อคิดดีๆ เพื่อเป็นพระพรให้แก่กันและกัน