วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566

มองขึ้นไปข้างบนเมื่อเรารู้สึกตกต่ำ

 

26 ธันวาคม 2023

มองขึ้นไปข้างบนเมื่อเรารู้สึกตกต่ำ

 

หัวข้อในการแบ่งปันเช้านี้ เนื่องมาจากในค่ำคืนแห่งการชื่นชมยินดีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและเพื่อน ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนที่เราสองคนยังไม่รู้จักพระเจ้า เราคงรู้สึกโกรธ แต่ขณะนั้นเรารู้สึกเหมือนๆ กันคือ เรารู้สึก อาย เนื่องจากความเป็นมนุษย์ของเรา ที่มีจิตใจที่อ่อนแอ แต่ของคุณพระเจ้าที่ทำให้เราต้องพึ่งพาพระองค์มากขึ้น และเช้านี้ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเจ้าได้นำให้ข้าพเจ้าพบบทความนี้ เพื่อนำมาหนุนใจและแบ่งปัน ซึ่งข้าพเจ้าได้สรุปให้พอดีกับเวลาในเช้านี้

คนเราล้วนมีช่วงเวลาที่รู้สึกตกต่ำในชีวิตด้วยกันหลายเหตุผล แต่เราต้องไม่ยอมให้สถานการณ์ต่างๆ มาควบคุมอารมณ์ของเรา ซาตานแสวงหาโอกาสที่จะใส่ความคิดของเราด้วยความคิดแง่ลบที่ทำให้เราสูญเสียความยินดีและรู้สึกเศร้า ซาตานเป็นผู้ใส่ความท้อใจ และต้องการดึงให้อารมณ์ของเราตกต่ำลง ดึงฝ่ายวิญญาณของเราลง และดึงลงในทุกๆ ด้านที่มันสามารถทำได้

แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ให้กำลังใจเรา และพระองค์มาเพื่อยกชูเราขึ้น พระองค์มาเพื่อให้ความชอบธรรมแก่เรา ให้สันติสุข ความยินดี แก่เรา พระองค์ต้องการให้เราคาดหวังสิ่งดีในอนาคตและเติมเราให้เต็มด้วยความหวัง

เราอาจต้องเจอกับช่วงเวลาที่ผิดหวังและทุกข์ใจกับแผนงานหรือความฝันของเราที่ไม่สำเร็จ เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังไว้ ก็ทำให้เรารู้สึกท้อใจหรือผิดหวังเสมอ แต่เราต้องใส่ใจกับวิธีการที่เรารับมือกับความรู้สึกเหล่านี้ เพราะถ้าหากเรายังคงแช่อยู่กับความรู้สึกท้องใจแบบนั้นนานเกินไป มันจะนำเราไปสู่ความซึมเศร้า

สดุดี 30:5 ได้บอกกับเราว่า เพราะความกริ้วของพระองค์นั้นเป็นแต่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต การร้องไห้อาจจะคงอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความยินดีจะมาเวลาเช้าสิ่งต่างๆ อาจทำให้เรารู้สึกเศร้าเพียงชั่วคราว แต่เราต้องไม่แช่อยู่ในความเศร้านั้น ถ้าหากเราแช่อยู่ในความเศร้าแบบนั้น ศัตรูหรือมารจะฉวยโอกาสนี้เปิดประตูและยัดเยียดวิธีการของมันเพื่อทำให้เราท้อใจ ผิดหวังและหมดกำลังใจเข้ามาในชีวิตของเรา

แต่โดยพระเจ้า เมื่อเราผิดหวัง เราสามารถตัดสินใจที่จะรับการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เราสามารถเลือกมองดูที่พระองค์สำหรับความหวังใหม่และกำลังใหม่ที่จะก้าวต่อไป

1.     ใส่ใจกับความรู้สึกของเราเอง

หากเราเคยซึมเศร้า เราย่อมรู้ดีว่ามันสามารถทำให้เรารู้สึกอยากแยกตัวออกไปจากทุกๆคน ยิ่งทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว และสิ้นหวัง เหมือนทุกสิ่งรอบตัวเรากำลังสลายหายไป เมื่อเราอยู่ในภาวะซึมเศร้านั้น มาจากปัญหาทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งซาตานก็ใช้ภาวะซึมเศร้านั้นเพื่อขโมยฤทธิ์อำนาจและเสรีภาพฝ่ายวิญญาณไปจากคนนั้น มันเสาะหาที่จะใส่ความมืดหม่นหมองเข้ามาในความนึกคิดของเราและนำเราให้ตกต่ำลง

แต่พระเจ้าต้องการช่วยเราให้มีชีวิตที่เป็นอิสระจากภาวะซึมเศร้า พระองค์ต้องการเติมเราให้เต็มด้วยความยินดี ความหวังและการคาดหวังสิ่งดีๆ สำหรับชีวิตของเรา ในการร่วมมือกันกับพระองค์ มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือเรียนรู้ที่จะไม่ดำเนินชีวิตตามความรู้สึก ความรู้สึกของเรานั้นแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงได้ในทุกวัน เราไม่ควรตามทุกความคิดและทุกความรู้สึกที่มี เพราะสิ่งเหล่านั้นมักขัดแย้งกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

2.     ใช้คลังความคิดจากพระวจนะของพระเจ้า

ความนึกคิดคืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่พิชิตความท้อแท้และซึมเศร้าได้ สิ่งที่เราคิดมีอิทธิพลต่อทุกด้านในชีวิตของเรา ความนึกคิดของเรามีอำนาจมาก เมื่อเราเลือกแช่อยู่กับสิ่งแง่ลบทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเองหรือสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเรา นั่นเท่ากับเรากำลังหล่อเลี้ยงความท้อแท้และซึมเศร้า

หากเราให้ความสำคัญในถ้อยคำของพระเจ้า ยิ่งเราใช้เวลาอ่านและคิดเกี่ยวกับพระวจนะ ของพระเจ้ามากเท่าไหร่ ยิ่งเราให้พระวจนะเข้าไปในใจของเรามากเท่าไหร่ เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นจากภายใน

ฮีบรู 4:12 ได้กล่าวว่า เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ ...พระวจนะมีความสามารถในการเปลี่ยนวิธีการมองดูตัวเองของเราและเปลี่ยนอนาคตของเรา เมื่อเราเติมความนึกคิดของเราด้วยสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับเราและเรียกร้องพระสัญญาสำหรับตัวเราเองแล้ว พระวจนะนั้นก็จะนำความหวังและสร้างความเชื่อของเราให้เข้มแข็งได้

3.     อย่าลืมที่จะสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า

เราอาจไม่รู้สึกชอบการสรรเสริญพระเจ้าเสมอทุกครั้ง แต่เราสามารถใช้เวลาสักครู่เพื่อพูดคุยกับพระเจ้าและขอบคุณพระองค์ สำหรับความดีของพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่มีพลังมากที่สุดอย่างหนึ่งที่เราใช้เพื่อต่อสู้กับความท้อแท้และภาวะซึมเศร้า เราเชิญการทรงสถิตของพระเจ้าให้เข้ามาในสถานการณ์ของเรา ซึ่งจะนำกำลัง สันติสุข และความยินดีมาให้เรา

ฟิลิปปี 4:4 ได้บอกเราว่า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด

การสรรเสริญพระเจ้าในท่ามกลางความเจ็บปวดของเราเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราทำได้ ทำไมหรือ? เพราะเมื่อเราเลือกที่จะจับสายตาของเราอยู่ที่พระเจ้าและชื่นชมยินดีในสิ่งดีที่พระองค์ได้กระทำ ทำให้เรารู้ว่าพระองค์ใหญ่กว่าปัญหาของเรา

เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราเชิญการทรงสถิตของพระองค์ ให้เข้ามาในชีวิตของเรา พระองค์จะแทนที่ความท้อแท้และความเศร้าด้วยความยินดีและสันติสุขของพระองค์...พระองค์ประทานความหวังและใส่ชีวิตใหม่เข้าไปในสถานการณ์ของเรานั้น

4.     ยอมให้พระเจ้ารับความเจ็บปวดของเราไป

เราจะไม่มีวันเป็นอิสระอย่างเต็มที่จากความเจ็บปวดหรือความผิดหวังของเรา แต่เราไม่จำเป็นต้องปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มาทำลายวันพรุ่งนี้ของเรา

เรามีทางเลือก เราสามารถพลิกผันสิ่งต่างๆ ได้โดยการตัดสินใจปล่อยวางสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ท้อแท้และหดหูใจ แล้วมุ่งไปที่สิ่งดีต่างๆ ที่พระเจ้าได้วางแผนไว้สำหรับอนาคตของเรานั้น

ครั้งต่อไปเมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์ที่ดึงเราให้ตกต่ำลง ให้ตัดสินใจหันเข้าหาพระวิญญาณบริสุทธิ์และยอมให้พระองค์ เติมเราให้เต็มด้วยความหวัง เลือกที่จะเชื่อมั่นสิ่งที่พระเจ้าตรัสแทนเชื่อความรู้สึกของเราเอง เติมความนึกคิดและปากของเราด้วยความคิดด้านบวกและเต็มไปด้วยความหวังจากพระวจนะของพระเจ้า

เราต้องไม่ยอมให้ความท้อใจและความหดหู่เศร้าใจมาปกครองเหนือชีวิตของเรา เมื่อ “มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต” จงยอมให้พระเจ้าแห่งความหวังทั้งสิ้นเสริมกำลังและหนุนใจเราจากภายใน

เพราะไม่ว่าเรากำลังก้าวผ่านสิ่งใด พระเจ้าพร้อมและเต็มใจที่จะช่วยรับเอาความเจ็บปวดไปจากเรา และพลิกผันสิ่งนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและเพื่อนนั้น ทำให้เราได้คิดทบทวนในเรื่องท่าทีและคำพูดของตัวเราเองที่จะมีต่อผู้อื่นในวันข้างหน้าต่อไปมากกว่า เพราะคำพูดของเราที่พูดออกไป บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเป็นคำพูดที่ ธรรมดา แต่ผู้ฟังอาจรู้สึกว่า ไม่ธรรมดา และอาย เหมือนข้าพเจ้ารู้สึกในคืนนั้นก็เป็นได้

ในเช้านี้ ข้าพเจ้าอยากเชิญชวนให้เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่ส่งพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นความหวัง เป็นกำลังใจ เป็นแสงสว่างนำทางให้กับเราทุกคน และเปลี่ยนเราเป็นคนใหม่

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความของอาจารย์ จอยซ์ ไมเออร์

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ทำอย่างไรเมื่อไปต่อไม่ได้

 

22 พฤศจิกายน 2023

ทำอย่างไรเมื่อไปต่อไม่ได้

 

ท่านเคยอยู่ในสภาพที่ไปต่อไม่ได้ รู้สึกเหมือนมันถึงทางตัน ดูแล้วเหมือนเป็นจุดจบของชีวิตแน่ๆ ไม่มีทางไหนให้ไปต่อได้ บ้างหรือไม่ ?

ชีวิตข้าพเจ้าก็มีหลายครั้งที่ถึงจุดที่รู้สึกว่าจนปัญญา ตันไปหมด ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่สถานการณ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่ผลักดันตัวเองให้รู้ว่าไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่เกินกว่าพระเจ้าจะจัดการได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กมากๆ แต่พระเจ้าก็ยังไม่เคยให้สิ่งนั้นละไปจากสายตาพระเจ้า เพียงแต่ขอให้เราวางใจ และอย่าลืมขอบพระคุณพระเจ้า

ใน ปฐมกาล บทที่ 37-50 เป็นเรื่องของโยเซฟบุตรชายยาโคบ ซึ่งโยเซฟเป็นลูกคนโปรดของพ่อในบรรดาลูกชาย และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกพี่ชายอิจฉาเขา วันหนึ่งโยเซฟเล่าความฝันให้กับพวกพี่ชายฟัง ในฝันนั้นเป็นที่เข้าใจว่าพวกพี่ชายก้มหัวลงเคารพเขา การพูดเช่นนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีตามมาเลย สิ่งที่ตามมาก็คือ พวกพี่ชายคิดหาวิธีที่จะกำจัดโยเซฟออกไป โดยตอนแรก พวกเขาเอาโยเซฟลงไปในบ่อลึกที่ไม่มีน้ำในนั้น เพื่อปล่อยให้เขาตายที่นั่น แต่ต่อมาพวกเขาตัดสินใจขายโยเซฟไปเป็นทาสให้กับคาราวานพ่อค้าพวกอิชมาเอลที่เดินทางผ่านมา และจะเดินทางไปอียิปต์ เป็นเงิน 20 เชเขล แล้วพวกเขาก็วางแผนหลอกพ่อว่า โยเซฟตายแล้ว

แต่สุดท้ายของเรื่องราว โยเซฟกลายเป็นผู้มีอำนาจรองจากฟาโรห์ และโยเซฟกับครอบครัวก็ได้พบกันอีกครั้งและกลับคืนดีกัน และทุกคนได้รับการยกโทษ

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับการบันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลตั้งแต่บทที่ 37-50 ซึ่งเป็นการบันทึกถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยของโยเซฟและ อียิปต์โบราณอย่างและเอียด  คือตั้งแต่การถือกำเนิดของโยเซฟ การเผชิญโลกที่กว้างใหญ่ โยเซฟ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่แก้แค้น ใครเลย ถึงแม้เขาจะถูกกระทำให้เจ็บปวด เมื่อมีความบาปมาล่อลวง โยเซฟจะต่อสู้กับความบาปด้วยการหนี  ชีวิตของโยเซฟจึงไม่ได้เป็นเพียงนิยายโบราณที่เล่าสืบต่อกันมาเรื่อยๆ เท่านั้น แต่ชีวิตของโยเซฟเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและพระเจ้ากำลังสำแดงให้ผู้คนทั่วโลกเห็นถึงพระราชกิจของพระองค์ต่อผู้ที่สัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระองค์จะได้รับการอวยพรเสมอแม้อยู่ท่ามกลาง ความน่ากลัวของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบาป บทเรียนจากชีวิตของโยเซฟเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องตระหนักเสมอว่า    “พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งแต่เพียงผู้เดียว”     

 

ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยเซฟนั้นได้ทำให้เราเห็นและยืนยันได้ว่า ไม่ว่าเราจะเจอกับอะไรในชีวิตก็ตาม มันมีความหวังอยู่เสมอ เพราะหากเรายอมเชื่อฟังและเดินตามพระประสงค์ของพระเจ้า หากเราได้ศึกษาพระธรรม ปฐมกาล บทที่ 37-50 นี้ ชีวิตของโยเซฟไม่ได้ง่ายเลย ทั้งถูกกลั่นแกล้ง ทุกข์ทรมาณ แต่เพราะความมุ่งมั่น อุตสาหะ เพราะความเชื่อในพระเจ้าของโยเซฟ และเขาไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ

การยอมแพ้ไม่ใช่ทางออก

ในชีวิตของเรา เราอาจตกอยู่ในบ่อลึกช่วงขณะหนึ่ง อาจเป็นบ่อลึกแห่งความเจ็บป่วย บ่อลึกของการขาดแคลนเงินเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว หรือคนรอบข้าง หรือปัญหาใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าเมื่อใดที่สิ่งนั้นเกิดขึ้น เราต้องมั่นใจว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราจะไม่ยอมแพ้ หมดหวัง เราต้องจำไว้เสมอว่า เพื่อจะมีคำพยานที่ดีถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำผ่านชีวิตเรา เป็นโอกาสให้เราได้ประกาศถึงความรักและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ยอห์น 16:33 กล่าวว่า เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว

เราคงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความทุกข์ยากต่างๆ ได้ หลายครั้งเราอาจรู้สึกอยากยอมแพ้ แต่หากเรายึดมั่นและวางใจในพระเจ้า พระองค์จะรื้อฟื้น สิ่งที่เลวร้ายจะกลายเป็นดี มีพระพรที่ซ่อนอยู่ในอุปสรรคต่างๆ เสมอ โรม 8:28 กล่าวว่า เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

การยอมแพ้เป็นเรื่องที่ง่าย ทำให้ผู้คนเลือกที่จะไม่ไปต่อเมื่อพวกเขาไปต่อไม่ได้ เราอาจยอมแพ้เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ฉลาด ขาดความสามารถ อาจเคยมีบางอย่างที่น่ากลัวเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา หรือเคยผิดพลาดในอดีต ทำให้ล้มเหลวในบางเรื่อง จึงกลัวสภาวะแบบนั้นจะกลับคืนมาอีก แต่พระเจ้าให้กำลังและความสามารถแก่เราในการเดินหน้าต่อไปจนถึงชัยชนะ แม้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้ก็ตาม ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้ทางเลือกอื่นๆ หมดไป เราสามารถเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต การทำแบบไหนในอดีตที่มันไม่ได้ผล เราก็หลีกเลี่ยงไป เราสามารถเปลี่ยนอุปสรรค หรือวิกฤตให้เป็นโอกาสต่างๆได้ พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราล้มเหลว พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตที่ดี แต่เราต้องมีความวางใจและความมุ่งมั่น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราไปทีละหนึ่งก้าวแห่งความเชื่อเพื่อเข้าในแผนการที่ดีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เราแต่ละคน เราก็ทำส่วนของเราคือต้องก้าวต่อไปและอย่ายอมแพ้

ถ้าไปต่อมันก็เจ็บ จะทำอย่างไรดี

เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ช่วงเวลาที่เราอยู่ในบ่อนั้น พระเจ้ามีแผนการอะไรให้กับเรา อาจเป็นเวลาแห่งการทดสอบ เป็นเวลาที่อุปนิสัยของเราต้องได้รับการพัฒนา อาจเป็นปีที่เงียบสงบ เหมือนไม่มีคำตอบใดๆ เหมือนไม่มีอะไรคืบหน้าเลย หรือเกิดความเจ็บปวดแล้วดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องนั้นเลย แต่จริงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราไว้วางใจพระองค์ในช่วงนั้นต่างหาก พระองค์กำลังทำงานในใจเราเพื่อให้เราเหมือนพระคริสต์มากขึ้น สิ่งที่เราควรทำคือ

-     อย่ายอมแพ้ ต้องต่อสู้กับการทดลอง เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า นี่เป็นเวลาที่เราจะใกล้ชิดและติดสนิทกับพระองค์

-     หลีกเลี่ยงการต่อว่าพระเจ้าหรือคิดว่าพระองค์เป็นผู้กระทำ จริงแล้วพระองค์แค่อนุญาตให้สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเรา และใช้สถานการณ์นั้นเพื่อทำงานในชีวิตเรา มันอาจไม่ทำให้เรารู้สึกดี แต่พระประสงค์ของพระองค์ดีสำหรับเราเสมอ

-     ทำในสิ่งที่ถูกต้องแม้เราต้องเจ็บปวด เมื่อเรารู้สึกไม่ดีหรือมีคนอื่นทำสิ่งเลวร้ายกับเรา ให้เราทำสิ่งที่ดีให้กับคนอื่นอยู่เสมอ

-     อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง พัฒนาอุปนิสัย เพราะพระเจ้าได้เตรียมเราไว้แล้ว อย่างทิ้งความหวัง ให้เรามีความเชื่อเสมอ

เรื่องเล่าในอดีต เกี่ยวกับลาตัวหนึ่งตกลงไปในบ่อลึก

มีลาตัวหนึ่งตกลงไปในบ่อลึก มันร้องครวญครางเป็นเวลานาน เจ้าของลาครุ่นคิดสักครู่ แล้วจึงตัดสินใจว่าบ่อนั้นลึกเกินไปและลานั้นก็แก่มากแล้ว และบ่อก็ต้องกลบอยู่ดี เขาจึงตัดสินใจว่าจะฝังลาตัวนั้นในบ่อนั้น เขาได้เรียกเพื่อนบ้านมาเพื่อช่วย พวกเขาเริ่มตักดินใส่ในหลุม ตอนแรกลาตัวนั้นส่งเสียงร้อง หวาดกลัวต่อสถานการณ์อย่างเห็นได้ชัด ต่อมาเจ้าของสังเกตว่ามันเงียบและเขาคิดว่ามันคงตายไปแล้ว แต่ทว่าลาตัวนั้นยังไม่ตาย

เมื่อเจ้าของมองลงไปในบ่อ เขามองเห็นว่า ทุกครั้งที่ดินใส่ลงไปตกอยู่บนหลังของลา มันจะสลัดดินออกแล้วขึ้นไปเหยียบบนดินแล้วเก็บดินนั้นไว้ใต้กีบเท้าของมัน เป็นอย่างนี้อยู่หลายชั่วโมง จนในที่สุดลาตัวนั้นมีดินอยู่ใต้กีบเท้าสูงมากพอจนยกตัวมันสูงขึ้นแล้วออกจากบ่อนั้นมาได้

เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้ว่า ชีวิตจะสาดดินใส่เราครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไรก็ตาม อาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เรื่องการเงิน หรือเรื่องสุขภาพ แต่นี่เป็นเวลาที่เราต้องเรียนรู้ที่จะติดตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะเปิดเผยให้เราเห็นวิธีที่จะสลัดดินออกไปอย่างไรเพื่อเราจะได้ขึ้นไปเหยียบบนนั้น ทุกย่างก้าวของเราแต่ละย่างก้าวจะสูงขึ้นไม่มีวันตกต่ำ แม้มีอุปสรรค มีปัญหาต่างๆ ผ่านเข้ามาเสมอ แต่จะมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่าเสมอด้วยเช่นกัน

ไม่มีคำว่าสายเกินไป หากเราไม่ยอมแพ้ เมื่อเราทำในส่วนของเราเองและทำในสิ่งที่เราทำได้ และยึดมั่นในความหวัง เดินก้าวไปข้างหน้า พระเจ้าสัตย์ซื่อทำในสิ่งที่เราทำเองไม่ได้ให้กับเราเอง

หากเราไปต่อไม่ได้ อย่างสิ้นหวัง ให้เดินไปกับพระเจ้า พระเจ้าจะเป็นผู้นำเส้นทางที่เราจะเริ่มต้นใหม่ เป็นทางที่พระเจ้านำมาให้เรายืนได้สูงยิ่งกว่าที่เราเคยคาดหวัง

 

อิสยาห์ 40:29-31

29 พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง 30 แม้คนหนุ่มๆ จะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว 31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย”

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความต่างๆ ที่ได้ศึกษาเพื่อนำมาแบ่งปัน 

ขอบคุณบทความของ จอยซ์ ไมเออร์ เรื่อง ต้องทำอะไรเมื่อคุณไปต่อไม่ได้ ซึ่งเป็นบทความหลักในการนำมาแบ่งปันครั้งนี้

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ความคิดและคำพูด

 

26 ตุลาคม 2023

ความคิดและคำพูด

 

เอเฟซัส 5:19

จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงและสดุดีจากใจของพวกท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าได้ให้เราเรียนรู้ในการใช้คำพูด สอนการคิดต่างๆ ให้เรามากมาย และทำให้เราได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยคำพูดของเราเช่นกัน ยิ่งหากเราเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ผู้คนก็จะได้เห็นพระเจ้าผ่านคำพูด และการดำเนินชีวิตของเรา

 

https://www.cokhonkaen.org/powerofyourwords

พลังของคำพูดเมื่อคำพูดออกจากปากของเรานั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

1.  สะท้อนถึง ทัศนคติ และสิ่งที่อยู่ภายในใจ คำพูดของเราเปิดเผยความคิด และความรู้สึกที่อยู่ภายใน ดัง สุภาษิต 17:9 กล่าวว่า ผู้ให้อภัยการละเมิดก็มุ่งจะสร้างมิตรภาพ แต่คนที่ชอบพูดย้ำความผิดจะทำให้เพื่อนสนิทแตกคอกัน

2.  สะท้อนถึงการเป็นพยานของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ การพูดแสดงออกถึงความรัก ความเอาใจใส่และเป็นพยานที่ดีให้กับพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตเรา

3.  มีพลังสามารถเสริมสร้างหรือทำลาย การพูดในสิ่งที่ดีก็ช่วยหนุนใจคนที่ได้ฟัง แต่การพูดในสิ่งที่ไม่ดีก็นำภัยมาถึงตัวเอง และสามารถทำร้ายจิตใจคนอื่นได้ วาจาอ่อนโยนเปรียบเหมือนน้ำผึ้ง หวานชื่นแก่จิตวิญญาณและเป็นยารักษาชีวิต ดัง สุภาษิต 18:7 กล่าวว่า ปากของคนโง่เป็นสิ่งทำลายตัวเขาเอง และริมฝีปากของเขาก็เป็นบ่วงดักตนเอง

4.  ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยคำพูด เมื่อเรารู้แล้วว่าคำพูดนั้นมีพลังมากแค่ไหน สามารถทำให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียได้ เราควรจะเรียนรู้และเติบโตมากขึ้นในการพูดของเราเพื่อเสริมสร้างคนอื่น และเพื่อสิ่งนี้จะเป็นพระพรให้กับคนที่ได้ยินได้ฟังในสิ่งที่เราพูด

 

 

และคำพูดที่พระเจ้าพอพระทัย ควรจะเป็นอย่างไรบ้าง

1.  คำพูด ควรจะต้องมีความรักอยู่ในนั้นด้วย เพราะคำพูดที่มาจากความรัก ช่วยหนุนใจคนฟัง ให้ยอมรับและถ่อมใจลง เห็นความปรารถนาดีของเราและฟังเรามากขึ้น ดังพระธรรม เอเฟซัสส 4:15 กล่าวว่า แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์

2.  รู้จักยับยั้งคำพูด ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่เราคิดหรือรู้สึก ให้ดูความเหมาะสม เวลา โอกาส ก่อนที่จะพูดสิ่งนั้นๆ ออกไป เพื่อให้คำพูดนั้นมีประสิทธิภาพ และเกิดผลดีต่อคนฟังมากที่สุด สุภาษิต 17:28แม้คนโง่หากนิ่งเสียก็นับว่ามีปัญญา เมื่อเขาปิดปากของตนก็นับว่ามีความคิด

3.  มีสติปัญญาในการพูด รู้จักใช้คำพูด รู้ว่าควรจะพูดอะไร ไม่ใช่การพูดโดยหาสาเหตุไม่ได้ หรือพูดลอยๆ ที่ไม่มีมูลความจริง สุภาษิต 17:27 บุคคลที่ยับยั้งถ้อยคำของเขาเป็นคนมีความรู้ และบุคคลผู้มีจิตใจเยือกเย็นเป็นคนมีความเข้าใจ

4.  ใช้คำพูดที่นุ่มนวลอ่อนหวาน คำพูดที่อ่อนหวานก็น่าฟัง และหนุนใจ สุภาษิต 16:24ถ้อยคำแช่มชื่นเป็นเหมือนรวงผึ้ง เป็นความหวานแก่วิญญาณจิตและเป็นพลานามัยแก่ร่างกาย

 

เช้านี้ข้าพเจ้าตั้งชื่อเรื่องในการแบ่งปันว่า  ความคิดและคำพูด

คำพูดของใครบางคนอาจบาดลึกในจิตใจเราทำให้เจ็บปวดจนมิลืมเลือน หรือคำพูดของเรานำความปวดร้าวในจิตใจให้กับผู้อื่นโดยตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็เป็นไปได้ บางทีเราอาจจะไม่ทราบว่า คำพูดก็พลิกชีวิตได้ทั้งด้านดี และด้านร้าย

เมื่อปี ค.ศ. 2018 ข้าพเจ้าไปสัมมนาพี่เลี้ยงของคริสตจักรที่หนึ่ง เชียงใหม่ และได้นำข้อคิดมาแบ่งปันหลังจากวันนั้นที่ห้องนมัสการนี้ ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าขอนำมาแบ่งปันอีกครั้งในเรื่องของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งในวันนั้น ศาสนาจารย์พิริยะ ประดิษฐสอน ได้แบ่งปันเรื่องราวของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งทุกท่านคงทราบประวัติของเขาเป็นอย่างดีแล้วนะคะว่า เขาเป็นนักประดิษฐ์ เป็นผู้รักการทดลองเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นที่สุดของโทมัส อัลวา เอดิสัน คือ หลอดไฟฟ้า ซึ่งเขาไม่ได้เป็นคนที่คิดประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านั้นมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 20 คน ได้พยายามคิดค้นและประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าด้วยเช่นกัน เพียงแต่โทมัส อัลวา เอดิสันคือนักประดิษฐ์คนแรกที่สามารถทำให้หลอดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า

วันหนึ่ง โทมัส อัลวา เอดิสัน ในวัยเด็กกลับมาบ้านพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ของเขา เขาพูดว่า "แม่ครับ ครูให้นำกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่และบอกว่า แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่าน ครูเขียนว่าอะไรครับแม่" ตาของแม่เต็มไปด้วยน้ำตา เธออ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยเสียงอันดังต่อหน้าลูกชายว่า "ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา และไม่มีครูที่ดีเพียงพอที่จะสอนเขาได้ กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง" ตั้งแต่วันนั้น เธอจึงสอนโทมัสอยู่ที่บ้านด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอป่วยและเสียชีวิตไป หลายปีต่อมาหลังจากแม่ของโทมัส เอดิสันเสียชีวิต เขาได้กลายมาเป็นหนึ่งนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษนั้น วันหนึ่งโทมัสได้ค้นหาสิ่งของและไปพบเจอกระดาษแผ่นที่ครูเคยเขียนและแม่ได้อ่านให้เขาฟังเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาจึงเปิดอ่าน ที่แท้จริงแล้ว ในกระดาษแผ่นนั้น ครูเขียนว่า " ลูกชายของคุณมีความบกพร่องทางปัญญา เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียนอีกต่อไป" นั่นแปลว่า โทมัส เอดิสัน โดนไล่ออกจากโรงเรียน โทมัส เอดิสัน ได้รู้ความจริง จึงได้เขียนบันทึกลงในไดอารี่ของเขาว่า "โทมัส เอดิสัน คือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา แต่แม่ของเขาคือผู้พลิกฟื้นให้เขากลับกลายมาเป็นบุคคลอัจฉริยะแห่งศตวรรษ" *คำพูดบวกเพียงประโยคเดียว สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต

https://www.yooying.com/mewky.way , https://www.ipst.ac.th/knowledge/20115/20220211.html

            หากแม่ของเขาได้อ่านตามที่ครูเขาเขียน และไม่คิดจะสอนเขาเพราะมองว่า เขาคงไม่สามารถจะเรียนอะไรได้เลย ก็อาจจะไม่มี โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้นี้ก็ได้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าเท่านั้น เขาประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย เช่น เครื่องโทรเลข เครื่องถ่ายทำภาพยนตร์ เครื่องเล่นจานเสียง และอีกมากมาย แม้ในหลายชิ้นนั้นเขาจะไม่ใช่ผู้บุกเบิกหรือคิดค้นด้วยตนเอง แต่เขาก็ได้ปรับปรุง และพัฒนาสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน หากสิ่งไหนที่เขาคิดว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงก็จะนำไปเสนอขายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ให้ผู้ประกอบการ เขาไม่ได้เป็นนักประดิษฐ์เท่านั้น เขายังเป็นนักธุรกิจ ตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินธุรกิจมากถึง 14 บริษัท ครอบครัวเขาพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยเลย ออกจะยากจนด้วยซ้ำไป เขาจึงต้องหางานทำด้วย เพื่อได้เงินมาซื้ออุปกรณ์สำหรับงานทดลองของเขา

            ในอดีตเราอาจจะมีคำพูดของใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจ กำลังใจให้เราจนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไม่ลืมคำพูดนั้นๆ เหมือนอย่างที่อาจมีคำบางคำเป็นเหมือนหนามทิ่มแทงหัวใจทำให้ปวดร้าวจนถึงทุกวันนี้ เมื่อนึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกหดหู่เช่นกัน คำพูดของคนเรามีอิทธิพลต่อชีวิตคนอื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนที่จะกล่าวคำพูดอะไรออกไปเราอาจต้องมองกลับมาที่เราก่อนว่า คำพูดที่จะกล่าวนั้นหากเป็นเราเป็นฝ่ายได้ยิน เราจะรู้สึกอย่างไร ในทุกๆ เช้าหากเราเติมคำพูดดีๆ ที่มีให้กัน ตั้งแต่คนในบ้าน จนกระทั่งมาทำงาน ให้คำพูดดีๆ กับเพื่อนร่วมงาน วันนั้นทั้งวันก็จะเป็นวันที่ชื่นบานใจทั้งเราและผู้อื่น ขอให้เราใช้ลิ้นของเราจุดประกายชีวิตผู้อื่น

 

บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าเตือนตัวเองเสมอว่า อย่ารีบร้อนในการพูดออกไป เมื่อมีอารมณ์โกรธอยู่ เมื่อเราโกรธ เราจะพูดโดยไม่ได้ไตร่ตรอง จนอาจกลายเป็นหินสะดุดที่ทำร้ายผู้อื่น คำพูดของเราควรที่จะพูดเป็นการหนุนใจผู้อื่น เสริมสร้างผู้อื่นและถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เอเฟซัส 4:29

อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน”


ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้นำมาแบ่งปันค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2566

ในเวลาของพระเจ้า

 

18 กันยายน 2023

ในเวลาของพระเจ้า

 

ยอห์น 2:1-11 TH1971

1วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น 2พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น 3เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น” 4พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง” 5มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “จงกระทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด” 6มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำโอ่งละสี่ห้าถัง 7พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” และเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก 8แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้ 9เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 10และพูดกับเขาว่า “ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” 11นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระเยซู ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ และสาวกของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์

 

ในพระธรรมยอห์น มีเรื่องที่บันทึกเกี่ยวกับหมายสำคัญและอัศจรรย์ 7 อย่าง เริ่มต้นจากการที่พระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น จากพระธรรมยอห์น 2:1-11 ข้างต้นนี้ และบทที่ 4 พระองค์ทรงรักษาบุตรของข้าราชการคนหนึ่งซึ่งใกล้จะเสียชีวิตแล้วให้หายจากโรค แม้พระองค์ไม่ได้เดินทางไปที่บ้านของเขา แค่พระองค์ตรัสโรคนั้นก็ถูกรักษาให้หายขาด บทที่ 5 เป็นการรักษาคนเป็นอัมพาต ป่วยมาแล้วถึง 38 ปี ให้หาย และบทอื่นๆ อีก ก็ได้กล่าวถึงหมายสำคัญ หรือการอัศจรรย์

ในพระธรรม ยอห์น บทที่ 2 นี้เป็นหมายสำคัญประการแรก หมายสำคัญนี้จะนำให้สาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ รู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น

ในบทนี้ได้สอนเราถึงเรื่องการที่เราพบเจอปัญหา เมื่อเราเจอปัญหาแม้จะเป็นปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่สักเพียงใด ให้เราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ และรอคอยเวลาจากพระองค์

ในบทที่ 2 ข้อ 1-11 เป็นเรื่องของงานสมรสที่หมู่บ้านคานา มารดาของพระเยซูคริสต์อยู่ในงานนี้ด้วย และพระเยซูคริสต์พร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์ ก็ถูกเชิญไปในงานนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งนางมารีย์ได้อยู่ร่วมในงานและดูเหมือนว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบคนหนึ่งในงานนี้ด้วย งานสมรสนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว ตามประเพณีสมัยนั้น บางครั้งงานสมรสจะฉลองไปเรื่อยๆ หลายวัน เช่นเดียวกับงานสมรสนี้ และเหล้าองุ่นที่นำมาฉลองในงานก็น่าจะมีอยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ในทำเนียมของชาวยิวแล้วการดื่มเหล้าองุ่น เป็นสัญลักษณ์ของความชื่นบาน ความชื่นชมยินดี ความสุข  เหล้าองุ่นสำหรับงานนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เมื่อเหล้าองุ่นหมดไป เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็คงกังวลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้นนางมารีย์ซึ่งเป็นมารดาของพระเยซูคริสต์ คงมองดูแล้วว่าไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้ จึงได้บอกปัญหานี้กับพระเยซูคริสต์ อาจเป็นไปได้ว่านางมารีย์น่าจะมีประสบการณ์และมีความเชื่อบางอย่างในพระเยซูคริสต์ นางมารีย์จึงได้บอกคนใช้ให้ทำตามที่พระเยซูคริสต์บอกทุกประการ พระเยซูคริสต์จะให้ทำอะไร ก็ให้ทำตามคำสั่งทุกอย่าง

สิ่งแรกที่น่าสนใจในข้อ 4 พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับนางมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด .... สิ่งที่จะนำมาใคร่ครวญร่วมกันในเช้านี้ก็คือ เรื่องทุกเรื่องเราจงมอบให้กับพระเจ้า ให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือ หากเราเผชิญปัญหา ให้เราไว้วางใจพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์บอกกับนางมารีย์ว่า ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด พระเยซูคริสต์ให้นางมารีย์วางใจในพระองค์ เราก็เช่นกัน พระเยซูคริสต์ก็ได้บอกกับเราเช่นเดียวกับที่บอกกับนางมารีย์ ให้เป็นธุระของพระองค์ มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้แบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก ให้เรานำปัญหาต่างๆ มอบไว้กับพระองค์ และวางใจในพระองค์

สิ่งที่สอง ในข้อ 4 นี้ ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสต่อไปว่า “… เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง” เราเรียนรู้ได้ว่า ชีวิตของเราควรเรียนรู้ที่จะรอคอยพระเจ้า พระเจ้าให้เราเรียนรู้ที่จะให้เรารอคอย เรามักคิดว่าปัญหาใหญ่ๆ เราก็อยากแก้ไขปัญหาเร็วๆ ความจริงแล้ว พระเจ้าไม่เคยมาสาย แต่พระองค์มาทันเวลาเสมอ พระเจ้าจะช่วยแก้ไข เพียงแต่เรารอคอยเวลาที่เหมาะสม

ในเรื่องของน้ำนั้นก็เช่นเดียวกัน ในข้อ 7 7พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” สิ่งนี้ไม่เกินกำลังที่คนรับใช้เหล่านั้นจะทำได้ 8แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” นี่ก็ไม่เกินกำลังที่คนรับใช้จะทำได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนน้ำเปล่าเป็นเหล้าองุ่น นั่นไม่ใช่หน้าที่ของคนรับใช้เลย แต่เป็นหน้าที่ที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ และนี่คือวิธีการของพระเจ้า ส่วนคนใช้นั้นเชื่อฟังและทำตาม เราก็เช่นกัน พระเจ้าจะไม่ให้เราแบกภาระที่เกินกำลังของเราในแต่ละคน เพียงแต่เรามักไม่รอคอยเวลาของพระองค์ ซึ่งยังมาไม่ถึง 1 โครินธ์ 10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้

 ในสมัยของพระเยซู โอ่ง ที่ทำจากหินถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ตามธรรมเนียมซึ่งมีไว้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เป็นการถือปฏิบัติของชาวยิวที่จะมีพิธีชำระตนให้บริสุทธิ์ก่อนการรับประทานอาหารโดยการล้างมือของพวกเขาโดยใช้น้ำจากโอ่งหินเหล่านี้

ข้อคิดที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งในเรื่องของน้ำในโอ่งชำระนั้น ซึ่งเป็นน้ำที่ไม่มีคุณค่าอะไร แต่กลับกลายเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี ซึ่งเจ้าภาพได้บอกถึงคุณภาพของเหล้าองุ่น หากเปรียบเทียบกับตัวเรา แต่ก่อนอาจเป็นน้ำที่สำหรับชำระล้าง เดิมเราอาจไม่มีคุณค่าอะไร คนทั่วไปมองเราว่าเป็นน้ำธรรมดา ไม่มีคุณค่า แต่เมื่อพระเจ้าได้เลือกใช้เรา หรือใช้น้ำนั้นที่เคยไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่าอะไร หากเรายอมให้พระเจ้าใช้ เราก็จะกลายเป็นเหมือนเหล้าองุ่นชั้นดี

เรามักจะเอาวิถีชีวิตของเราเองไปแขวนไว้กับความรู้และปัญญาของมนุษย์ เราจะเห็นว่าการงานแบบมนุษย์ก็เกิดผลเช่นเดียวกัน แต่เป็นผลงานที่เกิดขึ้นโดยไม่มีพระพรของพระเจ้าอยู่ด้วย การเกิดผลจะไม่ยั่งยืน พระพรจะไม่ตกสู่ลูกหลาน คนรุ่นหลัง ขอเรามอบภาระหน้าที่การงาน ทั้งความรับผิดชอบส่วนตัว ครอบครัว มอบให้กับพระเจ้า เราอาจจะยังไม่ได้รับคำตอบทันทีทันใด แต่จะได้เห็นพระพรที่ซ่อนอยู่มากมายอย่างแน่นอนหากเรามอบชีวิตไว้กับพระองค์ ให้เรารอคอยพระเจ้า ยอมรับและใช้วิธีของพระเจ้า แล้วพระองค์จะกระทำทุกสิ่งให้งดงาม ในเวลาของพระองค์

 

ปัญญาจารย์ 3:11

พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย

 

สดุดี 31:24

จงเข้มแข็ง และให้ใจของท่านกล้าหาญเถิดนะ ท่านทั้งปวงผู้รอคอยพระเจ้า

วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2566

อัตลักษณ์ที่ไร้คู่แข่ง

 

11 สิงหาคม 2023

อัตลักษณ์ที่ไร้คู่แข่ง

 

คุณเคยแข่งขันมั๊ย ?

เป็นคำถามจากหนังสือ ไร้คู่แข่ง ของลิซ่า บีเวียร์ อยู่ในบทที่ชื่อว่า อัตลักษณ์ที่ไร้คู่แข่ง หน้าปกของหนังสือได้เขียนว่า ยอมรับตัวตนและเป้าหมายชีวิตของคุณ ในยุคแห่งการเปรียบเทียบอันสับสน

ความจริงแล้ว หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าได้มานานมากแล้ว นั่นก็แสดงว่า การแข่งขันแห่งการเปรียบเทียบอันสับสนนี้มีมานานแล้ว และเราก็ยังคงอยู่ในยุคนี้ ปัจจุบันในยุคการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นหลักในชีวิตประจำวัน ทำให้คนเราแข่งขันกันในโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา

การแข่งขันที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงการแข่งขั้นฉันท์มิตรในเกมกีฬา และก็ไม่ใช่ภาพของเด็กน้อยที่แข่งขั้นกันเรียกร้องความสนใจและความรักจากพ่อแม่

การแข่งขันนี้เป็นภาพของศัตรูตัวร้ายที่คอยตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ การแข่งขันที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกต่อกันเหมือนแข่งกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว เวลาคู่แข่งลงสนาม เป้าหมายไม่ใช่เพื่อชนะ แต่เพื่อกำจัดเราออกจากสนาม

จะเป็นอย่างไรถ้าเราพบว่าชีวิตที่เราปรารถนามาตลอดให้อยู่นอกเหนือโลกแห่งการแข่งขัน? จะเป็นอย่างไรถ้ารู้ว่าเราเองไม่จำเป็นต้องแพ้และถูกคัดออกจากเกม? จะเป็นอย่างไรถ้าพบว่าเราไม่มีทางแพ้? จะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่เพียงแค่คิดนอกกรอบ แต่ยังเลือกใช้ชีวิตนอกกรอบได้ด้วย? (นอกกรอบนี้ก็คือกรอบที่สังคมได้ตีกรอบไว้ว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้)

ผู้เขียนเล่าว่า ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่นำเสนอว่า จุดสิ้นสุดของโลกอย่างที่เรารู้จักจะมาจากความแปลกแยก (alienation) ในหมู่มนุษย์ที่แพร่ไปทั่ว ในราชบัณฑิตยสถาน (2549) ได้อธิบาย ความแปลกแยกในความหมายกว้างโดยหมายถึง การเปลี่ยนจากการรู้สึกผูกพันไปเป็นการรู้สึกไม่เป็นมิตร เป็นปรปักษ์ หรือไม่ยินดียินร้ายต่อผู้อื่น ต่อกลุ่ม หรือแม้แต่ต่อตนเองเป็นต้น

ทฤษฏีบอกว่าจะมีเวลาที่โลกถูกแบ่งออกเป็นส่องขั้วหรือสองค่าย เมื่อสภาพแบ่งขั้วนี้แพร่ไปทั่วการแตกแยกก็จะเกิดขึ้น ชนวนเกิดจากเรื่องเล็กๆ จนกลายเป็นเหตุให้เกิดการรุกรานโจมตีกัน จนกระทั่งนำสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่าสงครามยุคสุดท้ายอย่างเต็มขนาด

ความแตกแยกอย่างเป็นระบบที่แผ่ไปทั่วแบบนี้เริ่มต้นขึ้นจากความสัมพันธ์ระดับเล็ก อาจเริ่มจากครอบครัวที่แตกแยกเต็มไปด้วยสมาชิกที่ถูกทำร้ายจนจิตใจแตกสลาย จนกลายเป็นพลังที่สัมผัสได้ที่พยายามกระซิบคำลวงที่จู่โจมอารมณ์ความคิดจิตใจของเรา โดยหวังว่าจะกระตุ้นให้เราของขึ้นและหันไปใส่คนอื่น

เป็นการยากที่จะหลบเลี่ยงถ้อยคำหรือคนที่คอยบอกเราว่า เรายังไม่ดีพอ ไม่สวย ไม่หล่อพอ ยังฉลาดไม่พอ ยังเร็วไม่พอ และยังรวยไม่พอ เราถูกกระหน่ำเพื่อเราจะตัวเล็กลีบลงไปเป็นอย่างที่เขาเหล่านั้นอยากให้เราเป็น เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เราต้องการหลีกพ้นคำเยาะเย้ยอย่างไม่หยุดหย่อน คำเยาะเย้ยที่บอกว่า เราไม่มีวันดีพอ เมื่อการรังควานนี้มาถึงจุดวิกฤต บางคนจะยอมแพ้และยอมรับสภาพ แล้วเป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็น ขณะที่บางคนจะปฏิเสธ และตอบโต้ด้วยการระดมยิงคำกล่าวโทษกลับไป

เราตัดสินคนอื่น เมื่อเรารู้สึกว่าถูกตัดสิน

เราทำให้คนอื่นละลาย เมื่อเรารู้สึกละลาย

เราเกลียดคนอื่น เมื่อเราไม่ชอบตัวเอง

เวลาเราล้มละลาย ไม่นานนักเราก็อยากจะปล้นคนอื่น นี่เป็นวงจร ทุกคนจะแพ้และไม่มีคนชนะ แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าถ้อยคำของ อ.เปาโลเป็นจริง?

1 ทิโมธี 6:6

อันที่จริงการอยู่ในทางพระเจ้าพร้อมกับมีความพอใจก็เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง

ทางของพระเจ้าคือ ความสามารถที่ยอมรับมุมมองของพระเจ้า นี่หมายความว่าเมื่อเรายอมรับวิธีที่พระองค์ทรงมองคนอื่น เราก็ยอมรับวิธีที่พระองค์ทรงมองเราด้วย

ความพอใจและความรู้สึกสบายใจในสิ่งที่เราเป็น ไม่ได้ก่อให้เกิดการปล่อยตัวเฉยชา แต่จะปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์! จงหนีจากบรรดาผู้วิพากษ์เราและคำวิจารณ์ทั้งหลาย พระองค์ทอดพระเนตรมาที่เราเสมอ ดังนั้นเราสามารถหันกลับไปจดจ่อที่พระองค์ได้ แทนที่จะแก่งแย่งสิ่งที่ไม่ถูกกำหนดให้เป็นของเรา ให้เราทุ่มเทพลังค้นหาสิ่งพระเจ้าประทานให้ที่เป็นของเราดีกว่า

บ่อยครั้งที่คนเราพยายามทำทุกสิ่งให้เสมอภาคกัน ทำให้เราคิดไปว่าพระเจ้าทรงรักเราเหมือนกันทุกคน เบื้องต้นคำว่า เหมือนกัน อาจฟังดูดี แต่ยังไม่ครอบคลุมพอ คำว่า เหมือนกัน อาจสื่อว่าแทนที่กันได้ หรือเปลี่ยนแทนกันได้

ผู้เขียนเล่าว่า เมื่อหลายปีก่อน สุนัขที่ผู้เขียนรักมากได้หนีออกจากบ้านไป ซึ่งอาจมองผิวเผินแล้วคิดว่าไม่เป็นไร ฉันก็แค่ซื้อตัวใหม่มาทดแทน และฉันก็คงจะรักมันเหมือนๆ กัน ความจริงแล้วก็ทดแทนกันไม่ได้ ดังเช่น หากเรามีลูกมากกว่า 1 คน เมื่อมีลูกคนที่ 2 หรือคนที่ 3 ความรักของเราก็ไม่ได้ถูกแบ่งออกไป แต่จะทวีขึ้นแบบไม่มีมาตรใดมาวัดได้ เราไม่สามารถกะปริมาณความรักต่อลูกแต่ละคนได้ ความรักที่มีต่อลูกแต่ละคนเป็นไปตามเอกลักษณ์เฉพาะคน ลูกแต่ละคนปลุกเร้าความรักของพ่อแม่ในแบบที่แตกต่างกัน

ความรักของพระเจ้าก็เช่นกัน ไม่สามารถตวงวัดได้ นักบุญออกัสตินกล่าวว่า พระเจ้าทรงรักเราแต่ละคนราวกับว่าเราเหลืออยู่เพียงคนเดียว ความรักของพระเจ้าไม่เหมือนก้อนขนมเค้กที่พ่อแม่พยายามตัดแบ่งเป็นส่วนๆ ให้เท่าเทียมกัน เพื่อไม่ทำให้ลูกคนใดรู้สึกได้น้อยกว่ากัน ความรักอันยิ่งใหม่ของพระองค์ไม่จำกัดอยู่แค่สัดส่วนที่แบ่งกัน พระเจ้าทรงรักเราตั้งแต่ก่อนปฐมกาล และความรักที่พระเจ้ามีให้เรานั้นไม่มีที่สิ้นสุด หลายครั้งที่เราอาจหันหลังให้พระองค์ หนีพระองค์ หรือทำเรื่องแย่ๆ แต่การกระทำของเราก็ไม่สามารถทำให้พระองค์หยุดรักเราได้

เยเรมีย์ 31:3

เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป

พระองค์ทรงรักเรา รักตัวตนที่แท้จริงของเรา รักตามเอกลักษณ์เฉพาะตัวเรา ด้วยความรักนิรันดร์ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ อ้วน ผอม สูง ต่ำ ดำ ขาว พระองค์ก็ทรงรักเรา พระองค์ทรงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระเจ้าไม่ได้แค่มีความรักให้เรา พระองค์ทรงเป็นความรักสำหรับเรา เราเป็นที่รักของพระเจ้าตามแบบฉบับเฉพาะตัวของเรา เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีอะไรเทียบได้ หรือไร้คู่แข่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะรักเรามากขึ้นหากเราขาวกว่านี้ หุ่นดีกว่านี้ รวยกว่านี้ หรือพยายามจะเป็นเหมือนอีกคน เพราะคิดว่าพระองค์จะรักเราหรือยอมรับเรากว่านี้ ผู้เขียนก็ได้กล่าว่า ให้เราหยุดเสียเวลามองหาไปทั่ว หรือยอมให้ความเห็นของสังคมที่เปลี่ยนแปลงเสมอ มาประทับภาพหรือแนวคิดที่เลียนแบบผู้อื่นให้กับตัวเรา ให้เรามั่นใจโอบรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นภาพสะท้อนพระลักษณะอย่างมีเอกลักษณ์ตามแบบของเรา

พระเจ้าทรงรักเราตามแบบเฉพาะของเรา พระเจ้าทรงกำลังทำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ให้สำเร็จ ขอให้เราติดตามพระองค์เพื่อให้เราทราบน้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของเรา พระองค์จะทรงนำเราไม่ให้เท้าของเราก้าวพลาดไป

เอเฟซัส 2:10

เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ

ขอหนุนใจให้เราทูลขอพระเจ้าให้ประทานความเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตเรา

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

 

7 มิถุนายน 2023

ชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

 

ทุกวันนี้การโพสต์ข้อมูลต่างๆ ในสื่อออนไลน์จะมีความอิสระกันมาก ไม่มีการกรองข้อมูลก่อนการอนุญาตขึ้นสื่อออนไลน์ เราจะได้ยินทั้งคำพูด การอ่าน การเห็นข้อมูล ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ดี มีสาระ มีประโยชน์ และที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ จนทำให้เรารู้สึกหดหู่ใจ หวาดกลัว เช่นได้ยินเค้าทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งภัยพิบัติ ทั้งเศรษฐกิจจะตกต่ำ ต่างๆ นาๆ ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต อะไรก็ตามที่เราหมกมุ่นให้เวลากับมัน และยอมให้ผ่านเข้ามาในจิตใจของเราโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ดีว่าควรจะรับไว้หรือไม่คือเรารับไว้หมด สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็จะถูกบรรจุไว้ในจิตใจของเราเอง สิ่งที่ไม่ดีงามหากเราอินไปกับมันเราก็จะกลัว เราจำเป็นที่จะต้องสร้างที่ป้องกันขึ้นเหนือหัวใจของเรา และไม่อนุญาตให้จิตใจ จิตวิญญาณของเรารับเอาข้อมูลที่ไม่ดีที่มาถึงเราโดยสังคมในโลกนี้ เราต้องปฏิเสธที่จะอยู่ภายใต้อิทธิพลหรือถูกควบคุมโดยทุกสิ่งที่เราได้ยิน รู้สึก หรือมองเห็น ซึ่งไม่สอดคล้องกับถ้อยคำของพระเจ้า เพราะมันจะบรรจุเข้ามาในจิตใจเราแทนถ้อยคำของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่เราจะต้องกลั่นกรองความคิดของเรา และสร้างเกราะกำบังขึ้นเหนือหัวใจของเรา เค้ามักจะกล่าวกันว่าหากเราคิดอะไรในวันนี้ วันข้างหน้าเราก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะว่าชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

ดังพระธรรม สุภาษิต 4:23 ได้กล่าวว่า

"จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน  เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ”

อย่าสนับสนุนความคิดที่ผิด ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะทำให้เกิดความกลัวขึ้นในจิตใจของเรา เราต้องใช้ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นเครื่องกรองในการหยุดความคิดแบบผิดๆ นั้น เฝ้าระวังหัวใจของเรา เพราะชีวิตของเราในวันนี้คือผลลัพธ์โดยตรงของความคิดและคำพูดของเราที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมถ้อยคำของพระเจ้าถึงบอกให้เราเปลี่ยนแปลงจิตใจ ในพระธรรม โรม 12:2 ได้กล่าวว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม” (โรม 12:2)

 

การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยสิ่งที่เราคิด จงปฏิเสธความคิดในความกลัว ความเจ็บป่วย ความขาดแคลน ความเศร้าโศก และความล้มเหลว เราต้องรับเอาความคิดแห่งความสำเร็จ ชัยชนะ สุขภาพที่ดี ความรุ่งเรือง ความสุข และความเติมเต็มที่มาจากพระคำของพระเจ้า พระเจ้าทรงสนพระทัยที่จะเปลี่ยนจิตใจของเรามากกว่าการเปลี่ยนสถานการณ์รอบๆ ตัวเราพระเจ้าต้องการทำงานในตัวเราก่อน  เพราะการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเราจนกว่าเราจะเปลี่ยนความคิด จิตใจเสียใหม่ หรือจนกว่าความคิดของเราจะเริ่มเปลี่ยนไป

 

นิทานข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ (นำมาจาก นิทานสร้างแนวคิดสู่ความสำเร็จ - hanyuban )

ครั้งหนึ่งมีกบฝูงหนึ่ง ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขันเพื่อปีนขึ้นไปบนยอดเสาไฟฟ้า กลุ่มชนชาวกบมากมายมารอชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีกบตัวใดเชื่อว่าเจ้ากบตัวเล็กๆ เหล่านั้นจะปีนขึ้นไปถึงยอดเสาได้ จึงมีเสียงพูดลอยๆ มาให้ได้ยินว่า ไม่มีทางขึ้นไปถึงยอดได้หรอกมันยากลำบากขนาดนั้นหรือ ไม่มีโอกาสจะสำเร็จหรอกเสามันสูงขนาดนั้นแล้วเจ้ากบตัวน้อยๆ เหล่านั้นก็เริ่มร่วงหล่นลงมาทีละตัวๆ กบบางตัวส่งเสียงตะโกนว่ามันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอกกบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อยและยอมแพ้ แต่มีกบตัวหนึ่งยังคงปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้นและสูงขึ้น เจ้าตัวนี้ไม่มีท่าว่าจะยอมแพ้ และเมื่อสิ้นสุดการแข่งขั้น กบตัวอื่นๆ ต่างยอมแพ้หมดยกเว้นกบตัวนั้น ด้วยความพยายามสุดกำลัง มันสามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้สำเร็จ

กบทุกตัวสงสัยว่าเจ้ากบตัวเล็กนี้มีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสาอันเป็นเป้าหมายจนประสบความสำเร็จได้อย่างไร? เรื่องกลับกลายเป็นว่า แท้จริงแล้วเจ้ากบตัวที่ชนะนั้น หูหนวก

ดังนั้น เมื่อเวลาจะทำงานใดๆให้ประสบความสำเร็จ บ่อยครั้งเราอาจต้องเป็นเหมือนกบตัวนั้นนั่นคือ ต้องทำตัวเป็นคนหูหนวกเสียบ้าง มีการคิดเชิงบวก ความฝันทั้งหลายที่เรามี เราสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ด้วยความพยายามอย่างสุดกำลัง และด้วยการให้กำลังใจตนเองอยู่เสมอ จงบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า ฉันทำได้” “ฉันจะทำให้สำเร็จความสำเร็จก็จะเป็นของเรา

 

( จากข้อความในเฟสบุ๊คของ คริสตจักรพระกรุณาธิคุณ วันที่ 5 กันยายน ค.ศ.2015 )

สาเหตุที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ในการจัดการกับจิตใจของเรามีอยู่ด้วยกัน 3 เหตุผลคือ

1.    เราต้องจัดการกับจิตใจของเรา เพราะว่าความคิดนั้นควบคุมชีวิตของเรา

จากพระธรรม สุภาษิต 4:23 กล่าวว่า "จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน  เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ"   ความคิดนั้นมีศักยภาพมหาศาลในการกำหนดชีวิตของเราให้ดีหรือเลวร้ายได้   เช่น  เราอาจจะยอมรับความคิดของบางคนที่ดูหมิ่นเราว่า "เราเป็นคนไร้ค่า  ไม่มีความสำคัญอะไรเลย ไม่มีวันได้ดี  จะไปไหนรอด "   ถ้าเรายอมรับความคิดเช่นนี้แม้ว่ามันจะไม่จริงก็ตาม   แต่มันก็มีอิทธิกำหนดชีวิตของเราแล้ว เมื่อเราคิดว่าเราเป็นแบบที่คนอื่นเค้าว่ามา คือนำเอาความคิดของผู้อื่นมาควบคุมความคิด ควบคุมชีวิตของเรา อนาคตก็หนีไม่พ้นจากคำที่เค้าสบประมาทเรา

2.    เราต้องจัดการกับจิตใจของเรา เพราะใจเป็นสมรภูมิแห่งความบาป

การทดลองทั้งหลายเกิดขึ้นในใจ  อ.เปาโลกล่าวใน โรม 7: 22-23 ว่า  "เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า  แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า " เหตุผลหนึ่งว่าทำไมเราถึงมีการต่อสู้ภายในจิตใจ  นั่นก็เพราะว่ามีสงครามในสมองของเราตลอดเวลา จิตใจของเรานั้นคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด   และมารก็ต้องการฉวยสิ่งนี้ไปจากเรา

3.    เราต้องจัดการกับจิตใจของเรา เพราะมันเป็นกุญแจแห่งสันติสุขและความสุข

จิตใจที่ไม่ได้รับการจัดการนั้นจะนำไปสู่ความกดดัน  ส่วนจิตใจที่ได้รับการจัดการแล้วจะนำไปสู่ความสงบสุข    จิตใจที่ไม่ได้รับการจัดการนั้นนำไปสู่ความขัดแย้ง   ส่วนจิตใจที่ได้รับการจัดการแล้วจะนำไปสู่ความมั่นใจ   จิตใจที่ไม่ได้รับการจัดการจะนำไปสู่ความตึงเครียด เมื่อเราไม่พยายามที่จะควบคุมจิตใจและวิธีการคิดของเราเองแล้ว  เราก็จะยิ่งมีแต่ความเครียดมากมายในชีวิต   แต่จิตใจที่ได้รับการจัดการแล้วก็จะนำไปสู่ความมั่นคงและสันติสุข ดังเช่นพระธรรม โรม 8:6 “ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนัง ก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณ ก็คือชีวิตและสันติสุข "

 

ชีวิตที่เกิดผลดีต้องมาจากจิตใจภายในที่ดี ลูกา 6:45 ” คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น” อย่ายอมให้จิตใจเราเป็นถังขยะที่จะรองรับสิ่งที่ใช้การไม่ได้ทิ้งลงมา แต่เป็นคลังเก็บสิ่งที่จริงสิ่งที่น่านับถือ ดังพระธรรม ฟิลิปปี 4:8 “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู หากเราเอาใจใส่เก็บสะสมสิ่งที่ดีไว้ในจิตใจของเรา ชีวิตของเราจะเกิดผลดีอย่างแน่นอน จงอย่าห่างจากถ้อยคำของพระเจ้า

สดุดี 1:1-3

ความสุขเป็นของบุคคลผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย แต่ความปิติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น


ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณข้อคิดดีๆ ที่ได้นำมาแบ่งปัน