วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564

การก้าวข้ามผ่านการถูกทดลอง

 

11 มิถุนายน 2564

ารก้าวข้ามผ่านการถูกทดลอง

 

ยากอบ 1:2-6 TH1971

ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง

และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย

ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ

แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา

 

หลายครั้งใจเรามักคิดไปว่าคนที่ตกอยู่ในการทดลองนั้นเป็นคนบาป ซึ่งหากพระเจ้าอนุญาตให้เกิดการทดลองนั้นจะเป็นพรให้กับเราในภายหลัง จริงแล้วสิ่งที่ต้องระวังและน่ากลัวที่สุดคือแต่การล้มลงในการทดลองหรือแพ้การทดลองทำให้เราตกอยู่ในบาป ข้าพเจ้าได้ข้อคิดจากอาจารย์ที่ได้เทศนาในการสัมมนาของโรงพยาบาลท่านหนึ่งได้ให้ข้อคิดว่า อย่าตกอยู่ในการทดลอง อย่าเล่นกับบาป เพราะเราอาจจะถอนตัวไม่ขึ้น  หากเราดูตัวอย่างโยบ ซึ่งโยบเป็นคนชอบธรรม แต่มารต้องการทดลอง และพระเจ้าอนุญาต ซึ่งซาตานต้องการให้เราตกต่ำ ยั่วให้เราทำบาป ให้อยากคิดชั่วร้าย แต่พระเจ้าต้องการให้เราเข้มแข็งขึ้น ให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น ใกล้ชิดพระองค์ ไว้ใจพระองค์มากกว่าการไว้ใจในมนุษย์ เพื่อเราจะได้พึ่งพาพระองค์ พระเจ้านั้นทรงสัตย์ซื่อ ในพระวจนะของพระเจ้าก็ได้กล่าวถึงเรื่องพระสัญญาของพระเจ้าว่าจะช่วยเหลือเรา พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องพึ่งพาพระองค์

ซึ่งเรื่องของโยบนั้น เราจะเห็นว่า สุดท้ายพระเจ้าได้พิสูจน์ให้มารเห็นแล้วว่า โยบเป็นคนชอบธรรม และโยบก็ได้รับพระพรอย่างมากมาย

 

 

พระเจ้ายอมให้เราถูกทดลองก็เพื่ออะไร

1.    พระเจ้าต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา แก้ไขนิสัยที่ไม่ค่อยดีของเรา ให้เรามีวินัยฝ่ายจิตวิญญาณ  มารอาจมาทดลองเราจนเราหลงแล้วทำให้เรามาไม่ถึงที่ซึ่งพระเจ้าได้จัดเตรียมสำหรับเรา หากเรานึกถึงเรื่องของการถูกทดลองที่น่ากลัวที่สุดคือ การทดลองแบบ การได้รับความสุข ความสบาย อย่างเหลือล้น มีทรัพย์สิน เงินทอง อำนาจ อาจพลัดตกในความบาป การลืมพระเจ้าจากการหลงในคำเยินยอ การได้นับหน้าถือตาจากมนุษย์ที่หวังผลประโยชน์จากเรา อันนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว

2.    พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตที่เข้มแข็ง พระเจ้าเตรียมชีวิตเรา เมื่อเรามีบาป ติดตัว พระเจ้าก็ต้องการให้บาปหลุดออกจากชีวิตเรา

บางคนไม่มีบาป แต่พระเจ้าต้องการถลุงเขาให้ชีวิตมีความงดงามมากขึ้น พระเจ้าต้องการขัดเกลาในชีวิตของเราให้สวยงาม

 

แล้วเราจะเอาชนะการทดลองได้อย่างไร

รวบรวบมาจากคำเทศนาของ ารย์ เจริญ ยธิกุล

1. ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง (1ปต.5:8, 1คร.16:13)

 หลายครั้งเราพบว่าชีวิตคริสเตียนพ่ายแพ้ต่อการทดลองเพราะขาดการระมัดระวัง เราอาจประมาทว่าเราเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ ไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน แต่เป็นท่าทีที่อันตรายอย่างมาก พระวจนะของพระเจ้าเตือนเราไว้ว่า “เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตนเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดีกลัวว่าจะล้มลง” (1คร.10:12) ต้องอย่าลืมว่าความประมาทคือความพินาศ

2. มีชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กจ.1:8, อฟ.5:18, ฟป.4:13)

 ต้องไม่ลืมว่าคริสเตียนไม่สามารถชนะการทดลองด้วยกำลังฝ่ายเนื้อหนังของตนเอง  แต่ต้องเอาชนะการทดลองด้วยสุดกำลังฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพระเจ้ามากเสมอ โดยไม่ไว้ใจเนื้อหนังของตน เพราะเนื้อหนังมักอ่อนแอได้บ่อย ๆ จนไม่มีกำลังต่อสู้

 

3. มีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวจนะของพระเจ้า (สดด.119:11)

 เราต้องหมั่นอ่านและศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเสมอ ๆ และต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถต่อสู้กับการทดลองทุกอย่างได้ เช่น ใน มัทธิว 4:1-11 ได้กล่าวถึงพระเยซู พระองค์ก็ทรงถูกทดลองจากมารในเรื่องต่าง ๆ คือ ความอยากฝ่ายร่างกาย (อาหาร), ความอยากฝ่ายโลก (มารแสดงให้พระองค์เห็นอาณาจักรในโลก) และความทะนงตน (มารพยายามให้พระองค์อวดฐานะของการเป็นบุตรของพระเจ้า) ทั้งสามสิ่งที่มารทดลองพระเยซูนี้ พระองค์ทรงชนะมารและการทดลองด้วยการใช้พระวจนะในการต่อสู้ทั้งสิ้น

4. มีชีวิตแห่งการอธิษฐาน (มธ.26:41, มก.14:38, ลก.22:40)

 การอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญมากในการดำเนินชีวิตคริสเตียน และในการต่อสู้เพื่อเอาชนะการทดลองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และเพื่อจะได้พ้นจากการทดลองได้

5. จงพยายามหลีกเลี่ยง (1คร.10:13)

พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า  “...พระองค์ทรงโปรดให้ท่านมีทางจะหลีกเลี่ยงได้ด้วย” นั่นหมายความว่า อย่าให้โอกาสแก่มาร (อฟ.4:27) หลายครั้งเราแพ้การทดลองเพราะเราให้โอกาสแก่มาร คิดว่าไม่เป็นไร เราสามารถต่อสู้ได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงดีกว่า นั่นคือเราชนะการทดลองแล้วโดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้แก่มาร

 

6. จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า (อฟ.6:11-18)

มารซาตานมีกลอุบายนานาประการและมีกำลังมาก เราต้องยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้ามาใส่ไว้ในชีวิตของเรา โดยยึดมั่นในความจริง ความชอบธรรม ข่าวประเสริฐ ความเชื่อที่มั่นคง การกระทำเช่นนี้เป็นการดำเนินชีวิตที่รอบคอบเหมือนพระบิดาที่ทรงเป็นผู้ที่ดีรอบคอบ (มธ.5:48) นอกจากนี้การสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้ายังช่วยให้ชีวิตของเราได้รับการป้องกันจากการถูกมารโจมตีอีกด้วย

 

ความทุกข์ยากของเราทำให้เราเข้มแข็ง ผ่านวิกฤติในชีวิตได้ แต่ความสะดวกสบายอาจทำให้เราพลัดตกลงในการทดลองได้ เราควรภูมิใจว่าพระเจ้าอนุญาตให้มีการทดสอบเรา ในที่สุดจะกลายเป็นพรในชีวิตของเรา

 

ขอให้พระวิญญานบริสุทธิ์จะช่วยทำให้เราผ่านการทดลอง

 

       ** ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณทุกการแบ่งปันทุกแหล่งความรู้เพื่อให้ข้าพเจ้าได้แบ่งปัน ส่งต่อ เป็นพระพรกับทุกๆ ท่าน **

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

ช่วงเวลาที่ดูเหมือนถูกทอดทิ้ง 2

 

26 มีนาคม 2564

ช่วงเวลาที่ดูเหมือนถูกทอดทิ้ง 2



อิสยาห์ 8:17 (ประชานิยม)

            พระเจ้าทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นประชากรของพระองค์ แต่ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ และหวังพึ่งพระองค์

 

บทความที่นำมาแบ่งปันในวันนี้ ได้นำมาจากส่วนหนึ่งของหนังสือ ฉันเกิดมาเพื่ออะไร เรื่อง เมื่อพระเจ้าดูเหมือนห่างไกล

            การที่เรานมัสการพระเจ้าในเวลาที่สิ่งต่างๆ ในชีวิตดำเนินไปอย่างดีเยี่ยมนั้น เป็นเรื่องง่าย คือเมื่อพระองค์ประทานอาหาร เพื่อนที่ดีๆ ครอบครัวที่แสนอบอุ่น สุขภาพที่แข็งแรง และสถานการณ์ที่เป็นสุข แต่สถานการณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ดีเสมอไป แล้วเรายังจะนมัสการพระเจ้าในเวลาที่แย่ๆ นั้นได้อย่างไร เราจะทำอะไรเมื่อพระเจ้าดูเหมือนอยู่ห่างออกไปเป็นล้านกิโลเมตร

            การนมัสการระดับลึกที่สุดคือการสรรเสริญพระเจ้าแม้กำลังเจ็บปวด ขอบพระคุณพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ วางใจพระองค์เมื่อถูกทดลอง ยอมจำนนในยามลำบาก และรักพระองค์เมื่อพระองค์ดูเหมือนอยู่ห่างไกล

            มิตรภาพมักจะถูกทดลองด้วยการพรากจากและความเงียบ เราถูกแยกด้วยระยะทางหรือเราไม่สามารถคุยกันในมิตรภาพของเรากับพระเจ้า เราจะไม่รู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ตลอดเวลา

            เพื่อให้มิตรภาพของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้มีการทดสอบมันด้วยช่วงเวลาที่ดูเหมือนพรากจากกัน เวลาที่รู้สึกราวกับว่าพระองค์ได้ทอดทิ้งหรือลืมเราไปแล้ว เรารู้สึกเหมือนพระเจ้าอยู่ไกลออกไปเป็นล้านกิโลเมตร

            นอกเหนือจากพระเยซูแล้ว กษัตริย์ดาวิดคงจะมีมิตรภาพใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่าใครๆ หากเราศึกษาจากพระคัมภีร์แล้วเราจะพบว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยท่านมาก แต่หลายต่อหลายครั้ง กษัตริย์ดาวิดก็มักจะบ่นเรื่องที่พระเจ้าทรงดูเหมือนไม่สถิตอยู่ด้วย ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ประทับยืนอยู่ห่างไกลและทรงซ่อนพระองค์เสียในเวลาที่ข้าพระองค์ต้องการพระองค์มากที่สุด (สดุดี 10:1 LB)พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์(สดุดี 22:1) ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย(สดุดี 43:2)

            แน่นอนพระเจ้ามิได้ทรงละทิ้งกษัตริย์ดาวิด และพระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเรา พระองค์ทรงสัญญาเสมอๆ ว่า เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย(เฉลยธรรมบัญญัติ 31:8)

            ฟลอยด์ แมคคลัง อธิบายเรื่องนี้ว่า เช้าวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมาแล้วความรู้สึกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดของเราก็หายไป เราอธิษฐานแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ เราให้เพื่อนอธิษฐานให้ เราสารภาพบาปทุกอย่างที่นึกได้ แล้วก็ไปขอการยกโทษจากทุกคนที่เรารู้จัก เราอดอาหาร แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเริ่มสงสัยว่า ความหดหู่ฝ่ายวิญญาณนี้จะคงอยู่นานสักแค่ไหน เป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน แล้วมันจะหายไปหรือไม่ เรารู้สึกเหมือนคำอธิษฐานของเรากระทบเพดานแล้วก็ตกลงมา เราร้องด้วยความรู้สึกสุดแสนสิ้นหวังว่า ฉันเป็นอะไรไป

            ความจริงคือ ไม่มีอะไรผิดปกติในตัวเรา เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการที่พระเจ้าอนุญาตให้มีการทดสอบเพื่อที่จะทำให้มิตรภาพของเรากับพระเจ้าเติบโต เราน่าจะผ่านสถานการณ์แบบนี้มาบ้างแล้ว อย่างน้อยน่าจะสักครั้ง และส่วนมากก็มักจะหลายครั้ง มันเจ็บปวดและหวาดวิตก ทว่ามันสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความเชื่อของเรา การรู้ความจริงข้อนี้ทำให้โยบมีความหวัง เมื่อเราไม่สามารถรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตเรา เราอาจกล่าวแบบโยบว่า ข้าเดินไปทางตะวันออก แต่พระองค์มิได้ทรงสถิตที่นั่น ข้าเดินไปทางตะวันตก แต่ข้าก็ไม่สามารถพบพระองค์ ข้าไม่เห็นพระองค์ทางเหนือ เพราะพระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าหันไปทางใต้ แต่ข้าหาพระองค์ไม่พบ ทว่าพระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าเหมือนทางคำในไฟแล้ว พระองค์จะทรงประกาศว่าข้าไม่ผิด (โยบ 23:8 NLT)

            พระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ แม้ในเวลาที่เราไม่รู้สึกถึงพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยมากกว่าการที่เรารู้สึกถึงพระองค์คือ การที่เราวางใจในพระองค์ ความเชื่อต่างหากที่ทำให้พระองค์พอพระทัยไม่ใช่ความรู้สึก

            สถานการณ์ที่จะขยายความเชื่อของเรามากที่สุดคือ เวลาที่ชีวิตล่มสลาย และมองหาพระเจ้าไม่พบ เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับโยบ ในวันเดียวท่านสูญเสียทุกสิ่ง ครอบครัว ธุรกิจ สุขภาพ และทุกสิ่งที่ท่านเป็นเจ้าของ ที่น่าท้อใจที่สุดคือ พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรเลยตลอด 37 บท จนกระทั่งบทที่ 38 เป็นหัวเรื่องว่า พระเจ้าทรงกระทำให้โยบสำนึกถึงความโง่เขลา

            แล้วเราจะสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไรในเมื่อเราไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา และพระเจ้าทรงเงียบ เราจะรักษาความสัมพันธ์ท่ามกลางวิกฤตโดยไม่มีการสื่อสารได้อย่างไร ตาเราจะจ้องอยู่ที่พระเยซูได้อย่างไรในเมื่อมันเต็มไปด้วยน้ำตา ส่วนในพระธรรมโยบ สิ่งที่โยบทำคือ แล้วโยบก็กราบลงถึงดินนมัสการ และกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า (โยบ 1:20-21)

           วางใจว่าพระเจ้าจะรักษาพระสัญญาของพระองค์ ระหว่างช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งฝ่ายวิญญาณ เราต้องพึ่งพาพระสัญญาของพระองค์ด้วยความอดทน ไม่ใช่พึ่งอารมณ์ความรู้สึกของเรา และตระหนักว่า พระองค์จะทรงนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

            ถ้าพระเจ้าไม่ได้กระทำสิ่งอื่นเพื่อเรา เราก็ยังสมควรสรรเสริญพระองค์ต่อไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะสิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำเพื่อเราบนไม้กางเขน พระบุตรของพระเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเรา นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดแล้วของการนมัสการ

            น่าเสียดาย เราหลงลืมรายละเอียดอันทารุณของการถวายบูชาอย่างทนทุกข์ทรมานซึ่งพระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา แม้กระทั่งก่อนการตรึงกางเขน พระบุตรของพระเจ้าก็ถูกจับเปลือยพระกาย ถูกโบยตีจนกระทั่งผู้คนแทบจำไม่ได้ ถูกเฆี่ยน เยาะเย้ย และดูหมิ่น ต้องสวมมงกุฎหนาม และถูกถ่มน้ำลายรดด้วยความรังเกียจ พระองค์ทรงถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่าเป็นสัตว์ ทรงถูกทำร้ายและเยาะเย้ย พระองค์แทบหมดสติเพราะเสียเลือด พระองค์ก็ทรงถูกบังคับให้แบกกางเขนขึ้นเนินเขา ถูกตรึงและถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ

            เราอาจสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าทรงอนุญาตและทนดูการทารุณอันน่ากลัวและชั่วร้ายนั้น ก็เพื่อให้เราสามารถรอดพ้นจากการต้องอยู่ในนรกตลอดนิรันดร์กาล

 

2 โครินธ์ 5:21 (ประชานิยม)

            พระเยซูคริสต์ทรงปราศจากบาปแต่พระเจ้าทรงให้พระองค์มีส่วนร่วมในบาปของเรา เพื่อให้การร่วมสัมพันธ์กับพระองค์ ทำให้เรามีส่วนในความชอบธรรมของพระเจ้า


            พระเยซูทรงสละทุกสิ่งเพื่อเราจะสามารถมีทุกสิ่ง พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไป เพียงเท่านี้ก็สมควรที่เราจะขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ตลอดไป เราจะยังสงสัยอีกหรือไม่ว่า เราจะมีเรื่องอะไรที่จะขอบพระคุณพระเจ้า

 

                ขอบคุณพระเจ้า และขอบคุณบทความดีๆ ที่ทำให้เราได้ถ่อมตัว ถ่อมใจลง เพื่อสรรเสริญพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ทางแห่งปัญญา

 

ทางแห่งปัญญา

 ตุลาคม 2563

สุภาษิต 4:8 TH1971

จงตีราคาปัญญาให้สูง และปัญญาจะยกย่องเจ้า ถ้าเจ้ากอดปัญญาไว้ ปัญญาจะให้เกียรติเจ้า

 

https://kmi.or.th/2019/07/29/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2/

สรุปส่วนหนึ่งจาก web มูลนิธิส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส)

หากเราพูดกันถึงปัญญา เราคงจะคิดไปถึงการมีความรู้มาก การได้ร่ำเรียนมาสูงๆ การได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง บางทีเราก็มักจะน้อยเนื้อต่ำใจหากเราอยู่ในแวดวง สถานที่ที่มีผู้ที่มีความรู้สูง ๆ เราก็อาจจะรู้สึกว่าเราด้อยคุณค่า

แล้วปัญญา คืออะไร เราจะพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากพูดกันในวงการการศึกษาเราจะได้ยินคำอธิบายของคำว่าปัญญา ในความหมายที่ไม่ค่อยจะแตกต่างไปจากคำว่าความรู้เท่าใดนัก มีที่ละเอียดขึ้นหน่อย ก็อธิบายในทำนองที่ว่า ปัญญา คือ ความสามารถในการใช้ความรู้

บางตำราก็บอกว่า ปัญญา ต้องพัฒนามาจากสติ ดังที่เรามักจะได้ยินคำสองคำนี้อยู่คู่กันเสมอว่า สติปัญญา ปัญญากับความรู้นั้นถ้าดูให้ดีแล้วจะพบว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกันเหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจ   ความรู้ คือ การมีข้อเท็จจริง หรือ ผลที่ได้จากการเรียนรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดความเข้าใจในสิ่งนั้น ปัญญาหรือสติปัญญา คือ การประยุกต์ข้อเท็จจริงเพื่อนำมาใช้

เรามักจะเห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะตามพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่มีความรู้สูงนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเสมอไป ความรู้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสมอง ในขณะที่ปัญญานั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ คนที่มากด้วยความรู้แต่จิตใจไม่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่มีปัญญา

ผู้ที่มีความรู้สูงไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเสมอไป ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนได้จากการอ่านตำรา ส่วนการที่ปัญญาจะเกิดได้นั้น จะต้องมาจากความสามารถในการอ่านจิตใจ อ่านอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องตามทันความรู้สึกของตนเอง  ความรู้จากการเรียนรู้ การศึกษา จะเกิดการ คิดเป็น ทำเป็น หากพัฒนาตนเองขึ้นไปอีกระดับทำให้เกิดปัญญาแล้ว คือ คิดถูก ทำถูก

ยากอบ 3 : 13-18

ปัญญาจากเบื้องบน

13ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา 14แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง 15ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ 17แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด 18ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม

 

หากสรุปโดยรวมในพระธรรมนี้ สาเหตุของความชั่วคือความอิจฉาและการใช้ปัญญาในทางที่ผิด ปัญญาฝ่ายโลกคือการดำเนินชีวิตโดยไม่พึ่งพาพระเจ้า ส่วนผู้ที่มีปัญญาโดยพึ่งพาพระเจ้าจะแสดงออกโดยความประพฤติ มีความถ่อมใจ ใช้ความรู้หว่านสันติ จึงได้เก็บเกี่ยวความชอบธรรม

เราสามารถเรียนรู้ หาความรู้ได้ในเรื่องปัญญาของโลกนี้ เช่น เทคนิคการขาย การเป็นผู้นำ เทคนิคการพูด ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าความรู้หาได้ไม่ยากเลย ค้นหาอ่านได้ฟรี ๆ ทางอินเทอร์เน็ต เขียนจากอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่าง ๆ  ปัญญาเหล่านี้อาจไม่ได้แก้ปัญหาถึงรากลึก ถึงจิตใจ เช่นเดียวกับการที่เราอ่าน เราศึกษาพระคัมภีร์ หากเราท่องจำโดยไม่ให้พระคำของพระเจ้าเข้ามาตกในจิตใจ แต่เราอ่านเพียงแค่เป็นความรู้ หรือนำมาโอ้อวดว่าเรารู้มาก ท่องได้ จำได้ แต่ไม่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีปัญญา เราต้องก้าวไปมากกว่าปัญญาฝ่ายโลก คือปัญญาจากพระเจ้า

ปัญญาฝ่ายเนื้อหนัง หรือปัญญาฝ่ายโลกคือ การที่เราไม่ยอมให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนในชีวิตของเรา หรือมาควบคุมชีวิตเรา ในข้อ 15 และ 16 ก็ได้กล่าวว่า” …ปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ 16เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ” ในโลกทุกวันนี้เราจะเห็นว่าการแก้ปัญญารุนแรงขึ้นทุกวัน เช่น การโกรธการเคียดแค้น สะสมไว้ในจิตใจทุกวัน ไม่ให้พระเจ้าช่วยปลดปล่อยออกไป ไม่ให้อภัย เก็บความขมขื่น เก็บรากของปัญหาไว้จนกระทั่งไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้ สักวันก็จะระเบิดออกมา แบบขาดสติปัญญา ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ล้มเหลว แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาชนะมันได้อย่างไร เราจำเป็นต้องขอและพึ่งพาพระเจ้าช่วยในความจำกัดของเรา พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา ใน เอเฟซัส 5:15 “เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา เราอาจเรียนรู้มากมายจนได้ปัญญาฝ่ายโลก เราอย่าลืมที่จะแสวงหาปัญญาจากพระเจ้า ความล้ำลึกในปัญญาจากพระเจ้าที่พระเจ้าจะเปิดเผยให้เราจากพระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราคิดที่จะหนีปัญหา ให้เราสู้กับปัญหาที่พบเจอ แก้ปัญหาโดยใช้สติปัญญาที่มาจากเบื้องบน

เราอาจได้รับข้อมูลมากมายจากคนที่มีความฉลาด มีความรู้มาก เราต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า ยอมให้พระเจ้ามีหุ้นส่วนในชีวิตของเรา ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรามากขึ้น ให้เรารับมือกับปัญหาที่เราเจอด้วยสติปัญญา ให้ความข่มขื่น ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในจิตใจเราน้อยลง ให้ความรักเข้ามาแทนที่ ชีวิตจะมีสันติสุขมากขึ้น สดุดี 111:10 “ความยำเกรงของพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญา บรรดาผู้ปฏิบัติตามก็ได้ความเข้าใจดี การสรรเสริญพระเจ้า ดำรงอยู่เป็นนิตย์คนที่ยำเกรงพระเจ้าจะไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แต่จะพึ่งพาปัญญาจากพระเจ้า

ในข้อ 17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด” เราต้องไม่เพียงแต่รับพระคุณจากพระเจ้าเท่านนั้น แต่เราต้องดำเนินชีวิตกับพระองค์ เริ่มต้นโดยเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มจากชีวิตตนเอง แล้วจะมีผลต่อผู้อื่น สุภาษิต 8:11 “เพราะปัญญาดีกว่าทับทิม และสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดจะเปรียบเทียบกับปัญญาไม่ได้

 

สุภาษิต 3:5-7

5จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

7อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย


**ขอขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

 

บทเพลง พระเจ้าประทานความรู้เข้าใจ

 

พระเจ้าประทาน ความรู้เข้าใจ สิ่งใหม่ไม่มีมาก่อน

เราพบพลังโลกาถาวร เป็นพรพลังของเรา

พระเจ้าประทานสิ่งอันยิ่งใหญ่ จำเริญในวิชาการ

จงใช้ประโยชน์ให้ยั่งยืนนานวิญญาณเพิ่มพูนปัญญา

ขอความยำเกรง พระเยโฮวาห์ บ่อเกิดปัญญามวลชน

ทำลายความกลัว ความเกลียดกังวล ฟอกล้างดวงกมลพลัน

เพื่อคุณความดี ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ มีความรู้ใช้ถูกทาง

หากใช้สนองอำนาจนอกทาง จะล้างผลาญทำลายตน อาเมน

ความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ

 

ความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ

 พฤศจิกายน 2563

สุภาษิต 15:33

          ความยำเกรงพระเจ้าเป็นการสอนให้เกิดปัญญา และความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ

 

            เมื่อเวลาเรารู้สึกว่ามีเกียรติ มีชื่อเสียง มีคนเคารพ เราก็จะรู้สึกภูมิใจในตัวเอง ความหยิ่งก็จะเกิดขึ้นใจจิตใจเล็ก ๆ นานวันจากหยิ่งเล็ก ๆ ก็จะโตขึ้นๆ ซึ่งความรู้สึกภูมิใจในตัวเองไม่ได้หมายถึงว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเราควรที่จะภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ไม่ดูถูกตัวเอง แต่พระเจ้าสอนให้เราอย่าลืมการให้เกียรติผู้อื่น ฟิลิปปี 2:3 “อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว

            ความหมายของความถ่อมใจนั้นไม่ได้หมายถึงการยอม การด้อย การเงียบ การไม่พูด แต่เป็นการให้เกียรติผู้อื่น พูดในสิ่งที่ควรพูดอย่างสุภาพ ไม่ยกตนข่มท่าน แต่ส่วนใหญ่ความเป็นมนุษย์มักจะลืมตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เมื่อได้รับสิ่งที่ดูสูงค่ากว่าผู้อื่นคนเราก็จะเริ่มหยิ่ง นำสิ่งที่สูงค่ากว่าผู้อื่นมาวัดค่าผู้อื่น กดผู้อื่นให้ต่ำลง / ความถ่อมใจไม่ไช่เป็นลักษณะของการเสแสร้งให้ดูถ่อมใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนหยิ่ง / ความเก่งไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความเก่ง อยากให้คนอื่นคิดว่าเราเก่ง โดยยกตนข่มท่าน ยิ่งการมีตำแหน่งสูงเท่าไหร่เราอาจจะกลัวผู้ที่สูงกว่าหรือคนต่ำกว่าคิดว่าเรารู้น้อย จึงมักแสดงออกในท่าทีที่ยกตนข่มท่าน ทำเสียงดังๆ พูดให้มากที่สุดให้ผู้อื่นรู้ว่าเรารู้ทุกอย่าง คนเก่งไม่จำเป็นต้องพูดทั้งหมดในสิ่งที่ตัวเองรู้ แต่เป็นการพูดในเวลาที่เหมาะสม ความเก่งจะออกมาด้วยการกระทำและคำพูดที่เหมาะสมในสถานที่ และเวลา สถานการณ์นั้น ๆ มากกว่า

คำอุปมาเรื่องคนฟาริสีและคนเก็บภาษี เป็นคำสอนที่พระเยซูยกตัวอย่างที่เราจะเห็นภาพได้อย่างชัดเจน

ลูกา 18:9-14

        9 สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม  และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น  พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า

        10 “มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร  คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี

    11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน  อธิษฐานว่า  'ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณ ของพระองค์  ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น  ซึ่งเป็นคนโลภ  คนอธรรม  และคนล่วงประเวณี  และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้

        12 ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน  และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย

       13 ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล  ไม่แหงนดูฟ้า  แต่ตีอกของตนว่า  'ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงโปรด พระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด'

    14 เราบอกท่านทั้งหลายว่า  คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม  มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น  เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง  แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น”

ฟาริสี เป็นคนเย่อหยิ่ง โอ้อวดในความดีงามของตัวเอง เขาไม่ได้เข้าไปในพระวิหารเพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า แต่เพื่อประกาศต่อผู้คนว่าเขาเป็นคนดีเพียงใด ส่วนคนเก็บภาษีไปพระวิหารเพราะเขาสำนึกผิด และตระหนักถึงความบาปของตัวเองและทูลขอความเมตตาจากพระเจ้า การถือว่าตัวเองนั้นดี เป็นคนชอบธรรมนั้นอันตรายเพราะจะนำไปสู่ความเย่อหยิ่ง ทำให้รังเกียจผู้อื่น แต่คนเก็บภาษีนั้นเขาสำนึกผิด และพระเจ้าฟังคำอธิษฐานของเขา เพราะเขาถ่อมใจ

การที่เราคิดว่าเราสมบูรณ์แบบ ประสบผลสำเร็จในชีวิต อาจทำให้เราเผลอทำตัวเป็นผู้พิพากษา คอยตัดสินผู้อื่น

 

ในข้อ 14 ข้างต้นก็ได้กล่าวว่า “...เพราะว่าทุกคนที่ได้ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง  และผู้ที่ถ่อมตัวลงนั้นจะได้รับ การยกขึ้น”

เราต้องยอมเป็นภาชนะว่างเปล่าที่พระเจ้าจะทรงทำงานและสำแดงสง่าราศีของพระองค์ ผ่านความเต็มใจและเชื่อฟังของเรา ในสายพระเนตรของพระเจ้า ความมีเกียรตินั้นจะได้มาก็ด้วยการที่คนๆนั้นมีใจถ่อมสุภาพ ยอมรับใช้ผู้อื่น ไม่เป็นคนหยิ่งผยอง ถือตัว และอวดตัว แต่คำนึงถึงผู้อื่นเสมอ นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นคน ไม่แสวงหาสถานภาพที่สูงส่งแต่มีความสุขที่ได้ถ่อมใจรับใช้ผู้อื่น ซึ่งเป็นเกียรติที่คนเห็นเองว่าคนนั้นคือผู้ที่สมควรจะได้รับ

เค้าบอกว่าหากเราเปรียบเทียบความถ่อมใจกับต้นไม้ ความถ่อมใจเปรียบเหมือนรากที่อยู่ใต้ดิน เปรียบเหมือนจิตใจที่มองไม่เห็น ส่วน กิ่ง ก้าน ใบ และผลของต้นไม้ เปรียบเหมือนสิ่งที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็นผลจากภายในจิตใจของเรา

ไม่ว่าเราจะเผชิญขวากหนาม เจออุปสรรค เจอจุดต่ำสุด เจอความทุกข์ยาก เจอบาดแผลก็ขอให้เรารู้ว่าเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อให้เราเกิดความถ่อมใจ และจะไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดสูญเปล่าไป มันจะสร้างให้เราหนักแน่น สร้างให้เราเข้าใจบางอย่าง สร้างให้เราเข้าใจผู้อื่น เป็นพยานชีวิตให้เป็นพระพรส่งต่อผู้อื่นได้ เมื่อผู้อื่นมีปัญหาที่คล้ายกับเรา เราสามารถที่จะให้คำแนะนำ หนุนใจ ผู้นั้นได้ดีกว่าผู้อื่นที่ไม่เคยเจอ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันเป็นประสบการณ์จริงของเรา เมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น พระองค์จะอยู่คอยช่วยเหลือเราตลอดเส้นทาง / แต่หากเราได้รับความสำเร็จ ได้รับสิ่งที่สูงสุดในชีวิต หรือสูงเหนือผู้อื่น ก็ขอพระเจ้าอย่าให้เราได้โอ้อวด ขอให้เราถ่อมใจ

ซี เอส ลูอิส (C.S Lewis) ได้พูดว่า การถ่อมใจแท้ไม่ใช่การคิดว่าตัวเองเล็กน้อย  แต่เป็นการคิดถึงตัวเองน้อยลง ไม่ได้หมายถึงเราทำอะไรได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นคนที่ใช้การไม่ได้ แต่เป็นการคิดถึงตัวเองน้อยลง และเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเรา

1 เปรโต 5:6

“เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหมายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร”

 

** ในเช้านี้ข้าพเจ้าขอฝากข้อคิด และเป็นข้อคิดสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง จากคำอธิษฐานของคนเก็บภาษีน่าจะเป็นคำอธิษฐานของเราในทุก ๆ วัน เพื่ออย่าให้เกิดความหยิ่งในสิ่งที่เราทำสำเร็จ หรือประสบผลสำเร็จ ตัดเราออกห่างจากพระเจ้าเลย บางทีการที่รู้เยอะก็กลายเป็นสิ่งน่ากลัวเป็นหลุมพลางตาให้เราพลัดตกลงในบาปได้อย่างง่ายดาย

 

สุภาษิต 29:23(Proverbs 29:23)

ความเย่อหยิ่งของคนนำเขาให้ต่ำลง แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ