25 มิถุนายน 2020
อย่าละสายตาไปจากพระเจ้า
โรม 8:28
ในทำนองเดียวกัน
พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย
เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา
ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ
ทำไมหลายครั้งเราตกอยู่ในความกลัว ความกังวล สับสน
วุ่นวาย เพราะเราเลือกที่จะละสายตาไปจากพระเจ้าหรือเปล่า แล้วหันไปจ้องมองที่ปัญหา
หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราเจอแทน จนเราลืมไปว่า พระเจ้าที่ทรงอยู่ในเรานั้น
ทรงเป็นใหญ่กว่าทุก ๆ สิ่งที่อยู่ในโลก (1ยอห์น 4:4)
เค้าบอกว่า เวลาเราเจอปัญญา อย่าให้เราสงสัยว่าทำไม
ทำไม ทำไม สิ่งนั้น สิ่งนี้ถึงเกิดกับเรา แต่ให้เราอธิษฐานขอให้เรารับมือกับปัญญาต่าง
ๆ ได้อย่างถูกต้อง
โดยไม่ต้องขอให้ปัญหานั้นหายไป แต่บ่อยครั้งที่เราก็มักจะขอกับพระเจ้าว่า
ขอให้ปัญหานั้นหายไป คือ ... เราทุกคนก็อยากให้ปัญหานั้นหายไป หรือ
เราอยากได้คำตอบจากพระเจ้าที่มันตรงกับสิ่งที่เราคิดอยากให้ออกมาเป็นแบบนั้น
ซึ่งดูแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้นตามที่เราต้องการ ทำให้เราก็มักถูกมารล่อลวงเรานำพาความคิดของเราไปเพื่อที่จะให้เรากล่าวโทษพระเจ้าว่า
ปัญหาต่าง ๆ หรือโรคภัย ไข้ เจ็บที่เกิดกับเราเป็นเพราะพระเจ้าทำให้เป็นเช่นนั้น
เราถูกมารใส่ความคิดเช่นนั้นเข้าไป แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น มันตรงกันข้ามเลย
พระเจ้ารักเรา และมีเป้าหมายในชีวิตของเรา เพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่ทุกขภาพ
ซึ่งในพระคัมภีร์ก็บอกเราอย่างชัดเจน
เยเรมีย์ 29:11
พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า
เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า
และ อีกในหลาย ๆ
ข้อ หลาย ๆ ตอนในพระคัมภีร์ ได้กล่าวไว้ หากเราไม่ละสายตาจากพระเจ้า
เราจะได้ยินเสียงตรัสจากพระองค์ ซึ่งพระองค์อาจตรัสผ่านจากผู้คน เหตุการณ์
หรือจากพระวจนะ ซึ่งประสบการณ์จากพระเจ้าในแต่ละคนก็คงแตกต่างกันไป
จากในมัทธิว 14:22-33 ในเรื่อง
พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล ซึ่งเราจะเห็นว่าหากตราบใดที่ เปโตรจ้องแต่พระเยซู
เท้าของเขาก็เดินบนน้ำได้อย่างสบาย ๆ ท่ามกลางพายุนั้นได้
แต่เมื่อไรเขาหันไปมองคลื่นพายุ เขาก็จะจมลงในความกลัวทันที ข้าพเจ้าขออนุญาตอ่านพระธรรมข้อดังกล่าวนี้เพื่อที่จะใคร่ครวญเช้านี้ด้วยกัน
มัทธิว 14:22-23
ครั้นแล้วพระองค์ได้ตรัสให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากไปก่อน
ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน และเมื่อให้ประชาชนเหล่านั้นไปหมดแล้ว
พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาโดยลำพังเพื่ออธิษฐาน เวลาก็ดึกลง
พระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว ในขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเลแล้ว
และถูกคลื่นโคลงเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ
พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก
เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินมาบนทะเลเขาก็ตกใจนัก ร้องอึงไปเพราะกลัว
คิดว่าเป็นผี ในทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง
อย่ากลัวเลย” ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว
ขอทรงโปรดบอกให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด”
เปโตรจึงลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระเยซู แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว
และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย”
ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ แล้วตรัสว่า “ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง” เมื่อพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็เงียบลง
เขาทั้งหลายที่อยู่ในเรือ จึงมาหมอบกราบพระองค์ ทูลว่า
“พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว”
ขอเพ่งอยู่ที่พระเจ้า
และก้าวต่อไป ขออย่ามองหาคำตอบที่มาจากเราเอง ที่เราอยากได้ จะคล้ายกับที่เราสนทนากับผู้คน หรือปรึกษาใคร ๆ แต่ในใจเรามีคำตอบที่อยากได้นั้นแล้ว แต่คนที่ตอบเรากลับไม่ตอบเช่นนั้น เราก็เลยไม่คอยพอใจสักเท่าไหร่
ข้าพเจ้าขอแบ่งปันในพระธรรมข้อนี้จากหลายปีก่อน
ในเช้าวันนึงที่ข้าพเจ้ามาทำงาน เข้ามาฟังเทศนาในห้องนมัสการ
ข้าพเจ้ามีความกังวลใจในหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วผู้เทศนาก็ได้นำพระธรรมข้อนี้ขึ้นมา
ทำให้ข้าพเจ้าหยุดคิด หลังจากนั้นก็คือเราก็แยกย้ายกันไปทำงาน
ข้าพเจ้าก็ทำงานไปเป็นปกติกับปัญหาต่าง ๆ นั้นอยู่ จนกระทั่งเลิกงานกลับบ้าน
ในคืนนั้นข้าพเจ้าก็นั่งเงียบ ๆ ละจากทุกสิ่งแล้วอธิษฐานเหมือนเป็นปกติ แล้วอยู่ ๆ
เสียงผู้เทศนาเมื่อเช้าดังขึ้นมาว่า ท่านสงสัยทำไม
ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง
สิ่งที่อยู่แต่ความคิด กังวลของตัวเอง ก็หายไปทั้งหมดในทันที จากตอนเช้าหยุดคิดไปชั่วขณะ
และยังจดจ่ออยู่ที่ปัญหาและการงาน แต่สุดท้ายเมื่อเราจดจ่ออยู่กับพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าก็จะตกมาในจิตใจของเรา จากที่ข้าพเจ้าพูดถึงข้างต้นว่า หากเราไม่ละสายตาจากพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงตรัสจากพระองค์
ซึ่งพระองค์อาจตรัสผ่านจากผู้คน เหตุการณ์ หรือจากพระวจนะ ซึ่งประสบการณ์จากพระเจ้าในแต่ละคนก็คงแตกต่างกันไป
2 เปโตร 3:9
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉี่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์
ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ทรงอดกลั้นพระทัยไว้
เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน
พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
ให้เราเลิกหันไปมองแต่ปัญหา
แต่ให้หันมาจดจ่อมองที่พระเจ้าผู้ทรงแสนดี เฝ้าระวังความคิดที่จะหันไปทางซ้ายหรือทางขวา
ให้ยึดพระเจ้าไว้และรักษาความเชื่อไว้ในพระองค์
เพราะพระองค์ทรงสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (รม.4:17)
ทางเลือกที่พระเจ้ามอบให้อาจไม่สวยหรูในสายตามนุษย์
แต่จงเข้มแข็งและก้าวต่อไป
ระยะเวลาที่เราอยู่บนโลกนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตนิรันดร์
2 เปโตร 3:13
แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น
เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่
ขอบคุณทุกๆ บทความที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น