วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2563

บทเรียนจากช่างปั้นหม้อ

 

ปฐมกาล 2:7

          พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

 

เยเรมีย์ 18 : 1-12

บทเรียนจากช่างปั้นหม้อ

พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้ายังเยเรมีย์ว่า “จงลุกขึ้น ไปที่บ้านของช่างหม้อ เราจะให้เจ้าได้ยินถ้อยคำของเราที่นั่น” ข้าพเจ้าจึงลงไปที่บ้านของช่างหม้อ และเขากำลังทำงานอยู่ที่แป้นเวียน และภาชนะซึ่งทำด้วยดินก็เสียอยู่ในมือของช่างหม้อ เขาจึงปั้นใหม่ให้เป็นภาชนะอีกลูกหนึ่งตามที่ ช่างหม้อเห็นว่าควรทำ  แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า “ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อ ถ้าเวลาใดก็ตามเราประกาศ เกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมันเสีย และถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษ ซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสีย และถ้าเวลาใดก็ตาม เราได้ประกาศเกี่ยวกับประชาชาติ หนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างขึ้นและปลูกฝังไว้ และชาตินั้นได้กระทำชั่วในสายตาของเรา ไม่ฟังเสียงของเรา เราก็จะกลับใจจากความดีซึ่งเราตั้งใจ จะกระทำกับชาตินั้นเสีย 11เพราะฉะนั้น คราวนี้จึงกล่าวกับคนยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มว่า ‘พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังก่อสิ่งร้ายไว้สู้เจ้า และคิดแผนงานอย่างหนึ่งไว้สู้เจ้า ทุก ๆ คนจงกลับเสียจากทางชั่วของตน และจงซ่อมทางและการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย’  12แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า ‘เหลวไหล เราจะดำเนินตามแผนงานของเราเอง และต่างจะกระทำตามความดื้อดึงแห่งจิตใจชั่วของตนทุกคน’

            เยเรมีย์ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้ไปที่บ้านช่างปั้นหม้อ เพื่อจะสอนบทเรียนแก่คนยูดา เราจะเห็นว่า การปั้นหม้อของช่างปั้นหม้อนั้น ช่างปั้นจะใช้ดินเหนียว เวลาที่ช่างปั้นหม้อจะปั้นก็จะมีแบบในใจเสมอก่อนที่จะลงมือปั้น และมีสิทธิที่จะปั้นตามใจชอบของช่างปั้นหม้อ ในขณะที่ปั้นนั้นหากรูปแบบภาชนะนั้นเสียไป ช่างปั้นหม้อก็จะมีสิทธิที่จะทิ้ง หรือขึ้นรูปภาชนะใหม่ได้ มีสิทธิที่จะทิ้ง หรือขึ้นรูปภาชนะใหม่ได้ ซึ่งพระวจนะบอกเราว่ามนุษย์เหมือนดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้า ชนชาติอิสราเอลก็เป็นดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน พระเจ้าปั้นชีวิตของชาวอิสราเอล หรือชีวิตเรา และได้ตั้งพันธสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่า เค้าต้องมีพระเจ้าเป็นหนึ่ง และต้องเป็นชนชาติของพระเจ้าเท่านั้น แต่ชนชาติอิสราเอลปฏิเสธพระเจ้า เค้าเป็นเหมือนดินเหนียวที่ไม่ยอมให้พระเจ้าปั้น เมื่อไม่ยอมให้พระเจ้าปั้นมันจึงเสียไป เยเรมีย์ได้บอกกับชนชาติอิสราเอลว่า เมื่อเขาไม่ยอมให้พระเจ้าปั้น พระเจ้ามีสิทธิปั้นภาชนะใบใหม่ คือการเลือกชนชาติอื่น พระเจ้าให้โอกาสคนอิสราเอลกลับใจใหม่หลายครั้ง และหากเค้ากลับมาหาพระเจ้าและให้พระเจ้าเป็นหนึ่ง พระเจ้าก็จะยกโทษให้ จากในข้อ 11 11เพราะฉะนั้น คราวนี้จึงกล่าวกับคนยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มว่า ‘พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังก่อสิ่งร้ายไว้สู้เจ้า และคิดแผนงานอย่างหนึ่งไว้สู้เจ้า ทุก ๆ คนจงกลับเสียจากทางชั่วของตน และจงซ่อมทางและการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย’  แต่คนยูดาห์ไม่ยอมกลับใจใหม่ ดังที่เค้าได้ตอบในข้อ 1212แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า ‘เหลวไหล เราจะดำเนินตามแผนงานของเราเอง และต่างจะกระทำตามความดื้อดึงแห่งจิตใจชั่วของตนทุกคน’   เมื่อพระเจ้าให้โอกาสแต่เค้าปฏิเสธโอกาสนั้นก็หมดลง ท้ายที่สุดชนชาติก็แตกสลาย

ในหลายครั้งเราก็เหมือนกับชนชาติอิสราเอล ที่ไม่ยอมให้ผู้ปั้นปั้นชีวิตเรา เราพยายามพึ่งพาตัวเอง และคิดว่าจะปั้นแต่งตัวเองขึ้นมาได้ แต่ความจริงแล้ว เราเป็นดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราต้องยอมให้ผู้ปั้นเป็นผู้ปั้นแต่งชีวิตเรา เราจะกลายเป็นภาชนะที่สวยงาม แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเพราะกว่าจะเป็นภาชนะที่สวยงาม เราต้องถูกปั้น ถูกเจียร์ ยิ่งหากผู้ปั้นต้องการลวดลายที่สวยงาม ก็จะยิ่งใช้แรงบีบอัด และใช้สันแข็งๆ มาทำเป็นลวดลาย หากดินนั้นแข็งก็จะยิ่งปั้นยาก คือหากเราเป็นดินที่แข็งผู้ปั้นก็ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น (ดินที่แข็งเกิดด้วยสาเหตุหลายๆ อย่าง เช่น ชนิดของดิน หรือไม่ยอมให้ช่างปั้นปั้นแต่โดยดีใช้เวลานานจนดินแข็ง)

ในฐานะที่เราเป็นดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราต้องยอมจำนน ให้พระเจ้าเป็นหนึ่ง เชื่อและวางใจว่าพระเจ้าเป็นช่างปั้นที่วิเศษที่สุด เป็นผู้ที่จะปั้นชีวิตเราให้สวยงามและใช้การได้ ขอเรายอมจำนน เชื่อและวางใจ และต้องรู้ว่า เราไม่สามารถที่จะพึ่งพาตัวเองได้แม้การต้องยอมจำนน เราก็ต้องอธิษฐานขอจากพระเจ้าให้เรามีใจถ่อม ยอมจำนน บางครั้งพระเจ้าอาจกำลังเจียระไนชีวิตเรา ซึ่งหลายครั้งอาจเกิดความเจ็บปวดจากแรงกด แรงบีบอัด อาจมีหินติดเข้ามาในดินเหนียวที่กำลังขึ้นรูปอย่างสวยงาม ก็เกิดเสียรูปไป ผู้ปั้นต้องหยิบหรือแกะหินนั้นออก ภาชนะที่กำลังจะสวยก็เสียไป ต้องผสมดินและปั้นกันใหม่ จึงทำให้ระยะเวลานั้นแสนยาวนาน ทำให้เราหลงทางและหันกลับไปพึ่งพาตนเองหรือสิ่งอื่น (หินที่ติดมาในดินเหนียวเปรียบเสมือนหินที่เราสะดุดได้ในแต่ละวัน จากหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวซึ่งเราต้องเอาออกอย่าปล่อยเอาไว้จนเหยียบแล้วเจ็บ หรือสะดุดอยู่ตลอดเวลา)

แต่ขอให้เราเชื่อและวางใจผู้ปั้นที่วิเศษผู้นี้ ยอมจำนนให้ผู้ปั้นปั้นเราตามที่ชอบพอพระทัย เป็นภาชนะที่สวยงามและใช้การได้เร็ววันขึ้น  โดยพระคุณพระเจ้านั้น พระองค์ไม่เคยล้มเลิกที่จะสร้างเราต่อจนกว่าจะได้แบบที่พระองค์พอพระทัย ถึงแม้ว่าเราจะดื้อดึง

 

ขอเรายอมให้พระองค์ปั้นเราให้เป็นภาชนะที่ทั้งสวยงาม และใช้การได้

 

ข้อคิด : เราอยากเป็นภาชนะที่ทั้งสวยงาม และใช้การได้หรือไม่ ?                                    19/8/63


ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า

การจัดเวลาเพื่อพัก

 

17 กรกฎาคม 2020

การจัดเวลาเพื่อพัก

 

มัทธิว 11:28-30

            บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข

            จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก

            ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา

           

หลายครั้งที่เราสะสมความเหนื่อยล้า จนอาจจะไม่อยากทำอะไร ในขณะที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้น บทใคร่ครวญประจำวันใน  YouVersion Application เรื่องการจัดเวลาเพื่อพัก ก็ขึ้นมาให้ข้าพเจ้าเลือกใช้ในการใคร่ครวญ 5 วัน ที่ผ่านมา เช้านี้ข้าพเจ้าจึงขอนำบทใคร่ครวญนี้มาแบ่งปันสำหรับเป็นข้อคิด หนุนใจ หากท่านใดเคยนำบทใคร่ครวญนี้มาเพื่อเฝ้าเดี่ยวประจำวันแล้ว ก็ขอเป็นการใคร่ครวญร่วมกันอีกสักครั้ง

 

สรุปจากบทใคร่ครวญประจำวัน เรื่อง การจัดเวลาเพื่อพัก ใน YouVersion Application

การพักคืออะไร ?

            ดูเหมือนว่าตารางชีวิตของเราจะมีแต่แน่นขึ้นในแต่ละเดือนที่ผ่านมา เมื่อเราพยายามหาเวลาเจอเพื่อนๆ เราต้องตกใจเมื่อพบว่ากว่าจะว่างอีกทีก็เลยเดือนหน้าไปแล้ว ชีวิตเต็มไปด้วยกิจกรรมของลูกๆ งานของโบสถ์ โปรเจคที่ทำงาน งานวันเกิดคนนั้นคนนี้ และยังมีทริปพักร้อนอีก เราวางโปรแกรมและกำหนดแผนชีวิตทั้งหมดโดยไม่ได้เว้นที่ว่างให้กับอะไรที่จะช่วยฟื้นคืนกำลังหรือหยุดพักเลย

            บ่อยครั้งที่เรามักคิดว่าการพักคือการทำตัวเกียจคร้านหรือการนอนเล่นอยู่บ้านโดยไม่ทำอะไรเลย จริง ๆ แล้วช่วงเวลาพักผ่อนของเราส่วนหนึ่งก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด

 

 

 

1.      การพักคือการฟื้นตัว

            คือการตระหนักรู้ว่าเมื่อไหร่เรากำลังเหือดแห้ง หมดพลัง และต้องการสูดหายใจลึกๆ สักพัก คือการตระหนักถึงข้อจำกัดของตัวเอง และวิธีที่เรารับมือกับภารกิจประจำวันต่าง ๆ ร่างกายของเราจะฟื้นตัวได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราได้พักผ่อนอย่างสมบูรณ์เพียงพอ ซึ่งหมายถึงการนอนหลับให้สนิทในตอนกลางคืน หากเรารู้สึกอ่อนเพลียอยู่เป็นประจำก็ควรประเมินดูว่านอกจากชั่วโมงการนอนแล้ว เราเลือกนอนในช่วงเวลาที่ถูกต้องด้วยหรือไม่

 

2.      การพักคือการปลุกความสดชื่น

            คือการเรียนรู้ว่าอะไรทำให้เรากระชุ่มกระชวยและอะไรทำให้เราห่อเหี่ยว คือการเลือกทำกิจกรรมที่ปลุกจิตวิญญาณให้สดชื่น ซึ่งอาจเป็นการนิ่งสงบก็ได้เช่นกัน หากเราทำแต่กิจกรรมที่ดูดพลัง ความสดชื่นก็ไม่มีทางกลับมา ทั้งที่จริง ๆ แล้วเราควรมองหาสิ่งที่เติมพลังมากว่า หากเปรียบความสดชื่นเป็นถังหนึ่งใบ ในช่วงเวลาของการพักเราควรเลือกการเติมถังนี้ให้เต็ม มากกว่าการสูบออกจากถังจนหมด

 

3.      การพักคือการสร้างใหม่

คือการรับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากเบื้องลึกในทุก ๆ ส่วนของชีวิต คือการใช้เวลากับพระเจ้าเพื่อให้จิตวิญญาณของเราได้รับการสร้างใหม่ อาจมีกิจกรรมที่เราชอบหลายอย่างที่ทำให้จิตใจสดชื่นได้ แต่ท้ายที่สุดเราต้องการสดชื่นในระดับจิตวิญญาณ ซึ่งพบได้จากการใช้เวลากับพระเจ้าในแต่ละวัน

            จากประสบการณ์ของตัวเอง กับคนรอบข้างที่พูดคุยแบ่งปันกัน คือ เหมือนร่างอยากพัก หลังจากพักแล้วจิตใจก็สดชื่น เหมือนได้เติมเต็ม แต่เมื่อกลับมาสู่สภาวะปกติ ความสดชื่นก็หดหายอีก

 

จัดเวลาเพื่อพักอย่างไร

 

1.      ใคร่ครวญ

            การใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า ริค วอร์เรน ได้กล่าวไว้ว่า เชื่อไหมครับ ถ้าคุณกังวลเป็น คุณก็จะรู้แล้วว่าจะใคร่ครวญพระคำได้อย่างไร การกังวลคือการจดจ่อไปที่ความคิดลบและนึกถึงมันซ้ำไปซ้ำมา แต่หากคุณเปลี่ยนเป็นจดจ่อที่พระคำพระเจ้าสักตอนหนึ่งและคิดถึงมันซ้ำไปซ้ำมา นั่นแหละคือการใคร่ครวญ

            พระคัมภีร์กล่าวถึงการใคร่ครวญไว้มากกว่า 20 ครั้ง และได้เรียกให้เราใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า การฝึกใคร่ครวญพระคำเป็นประจำทุกวันมีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะช่วยให้เราได้พักทั้งความคิดและอารมณ์ ความรู้สึก และยังช่วยให้จิตวิญญาณเติบโต

            ในขณะที่เราใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ในแต่ละวัน ให้เรามองให้ลึกเข้าไปในเนื้อหาและสนทนากับพระเจ้าในเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น

            ขณะที่เราใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า จิตใจของเราจะได้รับการฟื้นฟูและเราจะพบกับการพักสงบที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ ดังเช่นข้อพระคัมภีร์ข้างต้น มัทธิว 11:28-30 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา แต่ละคนอาจได้รับเสียง ความรู้สึกที่เกิดภายในจิตวิญญาณที่ต่างกัน แต่สิ่งที่ได้รับเหมือนกันคือสันติสุข และคำตอบ

 

2.      ฟื้นฟูจิตใจด้วยการจดบันทึก

คุณครุ่นคิดถึงอะไรสิ่งนั้นก็จะเติบโต อย่าจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณเผชิญอยู่ จงจดจ่อไปที่สิ่งที่คุณกำลังจะทำ - ดร. แคโรไลน์ ลีฟ

            การจดบันทึกประจำวันช่วยให้เราสามารถมองย้อนกลับไปเพื่อดูความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณที่เราได้ทำและวิธีการใหม่ๆ ที่พระเจ้าทรงตรัสกับเราในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งการจดบันทึกที่ในบทใคร่ควรญนี้ได้แนะนำคือ ทำแบบง่ายๆ เขียนเพียงสองสามบรรทัดจากความเข้าใจที่เราอ่านพระคัมภีร์ จากความคิด หรือคำอธิษฐานของเรา โดยที่ได้เลือกข้อพระคัมภีร์ อ่านซ้ำ เขียนลงไป ทูลขอความเข้าใจ การเขียนไม่ได้มีผิดมีถูก การเขียนทำให้เราสามารถย้อนกลับไปดูความก้าวหน้าทางด้านจิตวิญญาณของเราได้

            เราจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจน และมีมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับวิธีที่พระวจนะของพระเจ้าประยุกต์ใช้กับชีวิตของเรา และฟื้นฟูเราจากภายในสู่ภายนอก และเมื่อจิตใจของเราได้รับการฟื้นฟูแล้ว เราจึงได้รับการฟักผ่อนที่ไม่สามารถหาได้จากที่ใด ๆ ทางโลก

 

3.      ตัดขาดจากสิ่งรบกวน

            หนึ่งในคำนิยามของการพักก็คือ การเป็นอิสระจากความกังวลและการรบกวน ชีวิตในโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่พร้อมจะรบกวนการพักของเราและทำให้เรากังวล สิ่งเหล่านั้นอาจจะน่าสนุกชั่วครู่ ชั่วคราว และมองเผินๆ ก็เหมือนจะทำให้เราสดชื่นได้ แต่ในท้ายที่สุดเรากลับหมดพลังและไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

            ผู้คนมากมายต่างออกมาพูดถึงวิธีต่าง ๆ ในการปลีกตัวจากโลกที่ทุกสิ่งเชื่อมต่อกันไปหมด มีทั้งหนังสือ บทความ พ็อดแคสท์ Youtube Facebook และข้อเขียนมากมายที่ออกมาบอกถึงขั้นตอนต่าง ๆ ในการเอาชนะบรรดาสิ่งรบกวน แต่ละคนไม่ได้เสียสมาธิ เป็นทุกข์ กังวล เพราะเรื่องเดียวกันทั้งหมด อะไรที่รบกวนคนๆ หนึ่งอาจจะไม่มีผลกระทบอะไรกับอีกคนหนึ่งเลยก็ได้

            หนึ่งในคำนิยามของการพักก็คือ การเป็นอิสระจากการกังวลและการรบกวน ชีวิตในโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่พร้อมจะรบกวนการพักของเราและทำให้เรากังวล สิ่งเหล่านี้อาจจะน่าสนุกชั่วคราว และมองเผิน ๆ ก็เหมือนจะทำให้เราสดชื่นได้ แต่ในท้ายที่สุดเรากลับหมดพลังและไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

            เราต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่รบกวนเรา ไม่ว่าอะไรจะเป็นปัจจัยที่ขโมยสันติสุขและการพักผ่อนไปจากเราก็ตาม เราจำเป็นต้องกำหนดขอบเขต เช่น ไม่จดจ่อกับสิ่งที่ไขว้เขวไปตามความกังวลที่โลกหยิบยื่นให้

 

4.      เติมเต็มเพื่อเทออก

            เหตุผลที่เราจำเป็นต้องพักก็เพราะเราต้องทำงานหรือใช้พลังงานอยู่เสมอ และการที่เราเรียนรู้ที่จะพัก หรือการที่เรารู้สึกว่าได้พัก ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะอยู่ในสภาวะนั้นไปได้ตลอด

            ประเด็นสำคัญไม่ใช่การหยุดพักเพียงเพื่อให้ได้พัก แต่การพักเป็นไปเพื่อให้เรากลับไปทำงานต่อได้ การทำงานและการพักผ่อนเป็นเหมือนกระแสน้ำที่ผลัดกันขึ้นลง เป็นภาพของการรับการเติมให้เต็มเพื่อจะมีพอให้เทออก

            การใคร่ครวญพระคำพระเจ้า ตัดขาดสิ่งรบกวนต่าง ๆ หากเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ทุกวันเราก็ย่อมได้พัก ร่างกายต้องการนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละคืนอย่างไร จิตวิญญาณก็ต้องการพักผ่อนไม่ต่างกัน เราคาดหวังให้จิตวิญญาณเข้มแข็ง สดชื่น โดยไม่ลงทุนอะไรเลยไม่ได้ เราไม่ควรคาดว่าการพักร้อนแค่หนึ่งสัปดาห์จะช่วยเราทำงานไม่หยุดไปได้เป็นเดือนๆ เราต้องเติมถังแห่งการพักเป็นประจำทุกวัน เพื่อจะมีแรงยืนหยัด และเราต้องคอยระวังเมื่อใดที่ถังของเราถูกสูบออกมากจนเกินไป

            ในหนังสือ นำอย่างว่างเปล่า: เติมเต็มถัง คืนพลังให้ฝัน เวย์น คอร์เดย์โร ผู้เขียนและศิษยาภิบาลได้เล่าถึงเรื่องที่เขาเคยฝัน หญิงส่วนคนหนึ่งมาหาชาวสวนที่ฟาร์มและขอซื้อของที่ชาวสวนไม่มีให้ ชาวสวนกล่าวว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะครับ เดี๋ยวผมจะมีมากกว่านี้หญิงสาวคนนั้นไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ชาวสวนทำงานของเขาต่อไป ทุก ๆ วันจะมีคนมาหาเขาที่ฟาร์ม และเมื่อใดที่เขาไม่มีไข่หรืนมเหลือ เขาก็จะเพียงบอกคนเหล่านั้นว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะครับ เดี๋ยวผมจะมีมากกว่านี้ศิษยาภิบาลคอร์เดย์โรเล่าถึงมุมมองใหม่ที่เขาค้นพบหลังจากความฝันนี้ว่า

            ผมไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปผูกกับวงจรความคาดหวังที่เกินจริงและใจร้ายใจดำ ที่บอกให้ผมต้องผลิตให้มากขึ้น ทำให้มากขึ้น หรือต้องได้มากกว่าสัปดาห์ก่อน ในหนึ่งวันผมก็มีเวลาอยู่เท่านั้น และผมอยากจะทุ่มเทใจทั้งหมดให้กับสิ่งที่ผมเลือกทำ เมื่อหมดวัน ผมก็จะแค่บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะครับ เดี๋ยวผมจะมีมากกว่านี้

            ทุก ๆ เช้า เราตื่นขึ้นพร้อมกับพลังความคิด อารมณ์ และร่างกายในระดับหนึ่ง และเมื่อเราเททุกสิ่งที่เรามีออกไปจนหมด เราก็ต้องพัก ซึ่งการที่เราอยู่ในสภาวะว่างเปล่าเช่นนี้ยังทำให้พระเจ้าทำงานในชีวิตเราได้มากขึ้นอีกด้วย

 

ข้อคิด

          เราคิดว่าชีวิตของเราส่วนไหนต้องการพักมากที่สุด ร่างกาย จิตใจ หรือจิตวิญญาณ? กันแน่

 

โยชูวา 1:8

อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้น ทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี

 

ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า

อย่าละสายตาจากพระเจ้า

 

25 มิถุนายน 2020

อย่าละสายตาไปจากพระเจ้า

 

โรม 8:28

          ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ

 

ทำไมหลายครั้งเราตกอยู่ในความกลัว ความกังวล สับสน วุ่นวาย เพราะเราเลือกที่จะละสายตาไปจากพระเจ้าหรือเปล่า แล้วหันไปจ้องมองที่ปัญหา หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราเจอแทน จนเราลืมไปว่า พระเจ้าที่ทรงอยู่ในเรานั้น ทรงเป็นใหญ่กว่าทุก ๆ สิ่งที่อยู่ในโลก (1ยอห์น 4:4)

 

                เค้าบอกว่า เวลาเราเจอปัญญา อย่าให้เราสงสัยว่าทำไม ทำไม ทำไม สิ่งนั้น สิ่งนี้ถึงเกิดกับเรา แต่ให้เราอธิษฐานขอให้เรารับมือกับปัญญาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง  โดยไม่ต้องขอให้ปัญหานั้นหายไป แต่บ่อยครั้งที่เราก็มักจะขอกับพระเจ้าว่า ขอให้ปัญหานั้นหายไป คือ ... เราทุกคนก็อยากให้ปัญหานั้นหายไป หรือ เราอยากได้คำตอบจากพระเจ้าที่มันตรงกับสิ่งที่เราคิดอยากให้ออกมาเป็นแบบนั้น ซึ่งดูแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้นตามที่เราต้องการ ทำให้เราก็มักถูกมารล่อลวงเรานำพาความคิดของเราไปเพื่อที่จะให้เรากล่าวโทษพระเจ้าว่า ปัญหาต่าง ๆ หรือโรคภัย ไข้ เจ็บที่เกิดกับเราเป็นเพราะพระเจ้าทำให้เป็นเช่นนั้น เราถูกมารใส่ความคิดเช่นนั้นเข้าไป แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น มันตรงกันข้ามเลย พระเจ้ารักเรา และมีเป้าหมายในชีวิตของเรา เพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่ทุกขภาพ ซึ่งในพระคัมภีร์ก็บอกเราอย่างชัดเจน

 

เยเรมีย์ 29:11

          พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

 

            และ อีกในหลาย ๆ ข้อ หลาย ๆ ตอนในพระคัมภีร์ ได้กล่าวไว้ หากเราไม่ละสายตาจากพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงตรัสจากพระองค์ ซึ่งพระองค์อาจตรัสผ่านจากผู้คน เหตุการณ์ หรือจากพระวจนะ ซึ่งประสบการณ์จากพระเจ้าในแต่ละคนก็คงแตกต่างกันไป

 

            จากในมัทธิว 14:22-33 ในเรื่อง พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล ซึ่งเราจะเห็นว่าหากตราบใดที่ เปโตรจ้องแต่พระเยซู เท้าของเขาก็เดินบนน้ำได้อย่างสบาย ๆ ท่ามกลางพายุนั้นได้ แต่เมื่อไรเขาหันไปมองคลื่นพายุ เขาก็จะจมลงในความกลัวทันที ข้าพเจ้าขออนุญาตอ่านพระธรรมข้อดังกล่าวนี้เพื่อที่จะใคร่ครวญเช้านี้ด้วยกัน

 

มัทธิว 14:22-23

ครั้นแล้วพระองค์ได้ตรัสให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากไปก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน และเมื่อให้ประชาชนเหล่านั้นไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาโดยลำพังเพื่ออธิษฐาน เวลาก็ดึกลง พระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว ในขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเลแล้ว และถูกคลื่นโคลงเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินมาบนทะเลเขาก็ตกใจนัก ร้องอึงไปเพราะกลัว คิดว่าเป็นผี ในทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย” ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดบอกให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระเยซู แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย” ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ แล้วตรัสว่า “ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง” เมื่อพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็เงียบลง เขาทั้งหลายที่อยู่ในเรือ จึงมาหมอบกราบพระองค์ ทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว” 

 

ขอเพ่งอยู่ที่พระเจ้า และก้าวต่อไป ขออย่ามองหาคำตอบที่มาจากเราเอง ที่เราอยากได้ จะคล้ายกับที่เราสนทนากับผู้คน หรือปรึกษาใคร ๆ แต่ในใจเรามีคำตอบที่อยากได้นั้นแล้ว แต่คนที่ตอบเรากลับไม่ตอบเช่นนั้น เราก็เลยไม่คอยพอใจสักเท่าไหร่ 

 

            ข้าพเจ้าขอแบ่งปันในพระธรรมข้อนี้จากหลายปีก่อน ในเช้าวันนึงที่ข้าพเจ้ามาทำงาน เข้ามาฟังเทศนาในห้องนมัสการ ข้าพเจ้ามีความกังวลใจในหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วผู้เทศนาก็ได้นำพระธรรมข้อนี้ขึ้นมา ทำให้ข้าพเจ้าหยุดคิด หลังจากนั้นก็คือเราก็แยกย้ายกันไปทำงาน ข้าพเจ้าก็ทำงานไปเป็นปกติกับปัญหาต่าง ๆ นั้นอยู่ จนกระทั่งเลิกงานกลับบ้าน ในคืนนั้นข้าพเจ้าก็นั่งเงียบ ๆ ละจากทุกสิ่งแล้วอธิษฐานเหมือนเป็นปกติ แล้วอยู่ ๆ เสียงผู้เทศนาเมื่อเช้าดังขึ้นมาว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง สิ่งที่อยู่แต่ความคิด กังวลของตัวเอง ก็หายไปทั้งหมดในทันที จากตอนเช้าหยุดคิดไปชั่วขณะ และยังจดจ่ออยู่ที่ปัญหาและการงาน แต่สุดท้ายเมื่อเราจดจ่ออยู่กับพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าก็จะตกมาในจิตใจของเรา จากที่ข้าพเจ้าพูดถึงข้างต้นว่า หากเราไม่ละสายตาจากพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงตรัสจากพระองค์ ซึ่งพระองค์อาจตรัสผ่านจากผู้คน เหตุการณ์ หรือจากพระวจนะ ซึ่งประสบการณ์จากพระเจ้าในแต่ละคนก็คงแตกต่างกันไป

                2 เปโตร 3:9

          องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉี่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่

 

ให้เราเลิกหันไปมองแต่ปัญหา แต่ให้หันมาจดจ่อมองที่พระเจ้าผู้ทรงแสนดี เฝ้าระวังความคิดที่จะหันไปทางซ้ายหรือทางขวา ให้ยึดพระเจ้าไว้และรักษาความเชื่อไว้ในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (รม.4:17)

 

                ทางเลือกที่พระเจ้ามอบให้อาจไม่สวยหรูในสายตามนุษย์ แต่จงเข้มแข็งและก้าวต่อไป ระยะเวลาที่เราอยู่บนโลกนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตนิรันดร์

 

2 เปโตร 3:13

          แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่


ขอบคุณทุกๆ บทความที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า