|
สุภาษิต 15:1-23
คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป
แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ
ลิ้นของปราชญ์แจกจ่ายความรู้
แต่ปากของคนโง่เทความโง่ออกมา
พระเนตรของพระเจ้าอยู่ในทุกแห่งหน
ทรงเฝ้าดูคนชั่วและคนดี
ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย
คนโง่ดูหมิ่นคำเตือนสติของบิดาตน
แต่ผู้ที่สนใจคำทักท้วงเป็นผู้หยั่งรู้
ในเรือนของคนชอบธรรมมีคลังทรัพย์มาก
แต่ความลำบากตกอยู่กับรายได้ของคนชั่วร้าย
ริมฝีปากของปราชญ์กระจายความรู้
แต่ความคิดของคนโง่หาเป็นเช่นนั้นไม่
เครื่องสักการบูชาของคนชั่วร้ายเป็นที่น่า
เกลียดน่าชังแก่พระเจ้า แต่คำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรมเป็นที่ปีติยินดีแก่พระองค์
ทางของคนชั่วร้ายเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า
แต่พระองค์ทรงรักบุคคลผู้ตามติดความชอบธรรม
มีโทษหนักสำหรับผู้ที่ทอดทิ้งทางดี
บุคคลผู้เกลียดคำเตือนสติจะตายเปล่า
แดนผู้ตายและแดนพินาศก็ประจักษ์แจ้งอยู่เฉพาะพระเจ้า
ใจของมนุษย์จะแจ้งเฉพาะพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
คนมักเยาะเย้ยไม่ชอบถูกตักเตือน
เขาจะไม่ไปหาปราชญ์
ใจที่ยินดีกระทำให้ใบหน้าร่าเริง
แต่โดยความเสียใจดวงจิตก็สลายลง
ความคิดของบุคคลผู้มีความเข้าใจก็แสวงความรู้
แต่ปากของคนโง่กินความโง่เป็นอาหาร
ทุกๆวันของคนที่ทุกข์ใจก็ร้าย
แต่ใจที่ร่าเริงมีการเลี้ยงต่อเนื่องกัน
มีทรัพย์น้อยแต่มีความยำเกรงพระเจ้า
ดีกว่ามีคลังทรัพย์ใหญ่ แต่มีความลำบากอยู่ด้วย
กินผักเป็นอาหารในที่ที่มีความรัก
ก็ดีกว่ากินเนื้อวัวอ้วนพร้อมกับความเกลียดชังอยู่ด้วย
คนใจร้อน
เร้าการวิวาท แต่บุคคลผู้โกรธช้าก็ระงับการชิงดี
ทางของคนเกียจคร้านมีต้นหนามควัดงอกอยู่เต็ม
แต่วิถีของคนเที่ยงธรรมเป็นทางหลวงราบเสมอ
บุตรชายที่ฉลาดกระทำให้บิดายินดี
แต่คนโง่ดูหมิ่นมารดาของตน
ความโง่เป็นความชื่นบานแก่บุคคลผู้ไม่มีสามัญสำนึก
แต่คนที่มีความเข้าใจจะเดินตรงไป
ปราศจากการปรึกษาหารือ
แผนงานก็ล้มเหลว แต่มีผู้แนะนำมากๆ แผนงานนั้นก็สำเร็จ
ที่จะตอบให้เหมาะสมก็เป็นความชื่นบานแก่คน
คำเดียวที่ถูกกาละก็ดีจริงๆ
คำพูดพลิกชีวิต
คำพูดของใครบางคนอาจบาดลึกในจิตใจเราทำให้เจ็บปวดจนมิลืมเลือน
หรือคำพูดของเรานำความปวดร้าวในจิตใจของใครโดยตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็เป็นไปได้
บางทีเราอาจจะไม่ทราบว่า คำพูดก็พลิกชีวิตได้ทั้งด้านดี และด้านร้าย วันที่ข้าพเจ้าไปสัมมนาพี่เลี้ยงของคริสตจักรที่หนึ่ง
ศจ.พิริยะ ประดิษฐสอน ได้แบ่งปันเรื่องราวของ โทมัส เอดิสัน
ซึ่งทุกท่านคงทราบประวัติของเขาเป็นอย่างดีแล้วนะคะว่า เขาเป็นนักประดิษฐ์
เป็นผู้รักการทดลองเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นที่สุดของโทมัส เอดิสัน
คือ หลอดไฟฟ้า ซึ่งเขาไม่ได้เป็นคนที่คิดประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าขึ้นมาเป็นคนแรก
ก่อนหน้านั้นมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 20 คนได้พยายามคิดค้นและประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าอยู่เช่นกัน เพียงแต่โทมัส
เอดิสันคือนักประดิษฐ์คนแรกที่สามารถทำให้หลอดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
และเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
วันหนึ่ง โทมัส เอดิสัน ในวัยเด็กกลับมาบ้านพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ของเขา
เขาพูดว่า "แม่ครับ ครูให้นำกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่และบอกว่า แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่าน
ครูเขียนว่าอะไรครับแม่" ตาของแม่เต็มไปด้วยน้ำตา
เธออ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยเสียงอันดังต่อหน้าลูกชายว่า
"ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา
และไม่มีครูที่ดีเพียงพอที่จะสอนเขาได้ กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง" ตั้งแต่วันนั้น
เธอจึงสอนโทมัสอยู่ที่บ้านด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอป่วยและเสียชีวิตไป
หลายปีต่อมาหลังจากแม่โทมัส เอดิสันเสียชีวิต
เขาได้กลายมาเป็นหนึ่งนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษนั้น
วันหนึ่งโทมัสได้ค้นหาสิ่งของและไปพบเจอกระดาษแผ่นที่ครูเคยเขียนและแม่ได้อ่านให้เขาฟังเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก
เขาจึงเปิดอ่าน ที่แท้จริงแล้ว ในกระดาษแผ่นนั้น ครูเขียนว่า "
ลูกชายของคุณมีความบกพร่องทางปัญญา เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียนอีกต่อไป"
นั่นแปลว่า โทมัส เอดิสัน โดนไล่ออกจากโรงเรียน โทมัส เอดิสัน ได้รู้ความจริง
จึงได้เขียนบันทึกลงในไดอารี่ของเขาว่า "โทมัส เอดิสัน
คือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา
แต่แม่ของเขาคือผู้พลิกฟื้นให้เขากลับกลายมาเป็นบุคคลอัจฉริยะแห่งศตวรรษ"
*คำพูดบวกเพียงประโยคเดียว สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต
ไม่ว่าวันนี้คุณจะดีพอในสายตาตนเอง หรือในสายตาคนอื่นแล้วหรือยัง
จงพูดกับตัวเองต่อไป ว่าเราจะสำเร็จแน่นอน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น Cr: Anongsri. Chonechaiy Group
Trip NZ (1-16 De)
หากแม่ของเขาได้อ่านตามที่ครูเขาเขียน
และไม่คิดจะสอนเขาเพราะมองว่า เขาคงไม่สามารถจะเรียนอะไรได้เลย ก็อาจจะไม่มี โทมัส
เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้นี้ก็ได้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าเท่านั้น
เขาประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย หากสิ่งไหนที่เขาคิดว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงก็จะนำไปเสนอขายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ให้ผู้ประกอบการ
เขาไม่ได้เป็นนักประดิษฐ์เท่านั้น เขายังเป็นนักธุรกิจ
ตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินธุรกิจมากถึง 14 บริษัท ครอบครัวเขาพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยเลย ออกจะยากจนด้วยซ้ำไป
เขาจึงต้องหางานทำด้วย เพื่อได้เงินมาซื้ออุปกรณ์สำหรับงานทดลองของเขา
ในอดีตเราอาจจะมีคำพูดของใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจ
กำลังใจให้เราจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืมคำพูดนั้นๆ เหมือนอย่างที่อาจมีคำบางคำเป็นเหมือนหนามทิ่มแทงหัวใจทำให้ปวดร้าวจนถึงทุกวันนี้
เมื่อนึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกหดหู่ เช่นกัน คำพูดของคนเรามีอิทธิพลต่อชีวิตคนอื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้เราบางครั้งอยู่ใกล้ใครได้ยินคนพูดสิ่งนั้นสิ่งนี้
ก็ทำให้เราเป็นแบบที่เขาพูดเช่นกัน
ก่อนที่จะกล่าวคำพูดอะไรออกไปเราอาจต้องมองกลับมาที่เราก่อนว่า
คำพูดที่จะกล่าวนั้นหากเป็นเราได้ยิน เราจะรู้สึกอย่างไร ในทุกๆ
เช้าหากเราเติมคำพูดดีๆ ที่มีให้กัน ตั้งแต่คนในบ้าน จนกระทั่งมาทำงาน ให้คำพูดดีๆ
กับเพื่อนร่วมงาน วันนั้นทั้งวันก็จะเป็นวันที่ชื่นบานใจทั้งเราและผู้อื่น
ให้เราใช้ลิ้นของเราจุดประกายชีวิตผู้อื่น
เอเฟซัส 4:29
“อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย
แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ
เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง”
ยากอบ 1:19
ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง
ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
กษัตริย์โซโลมอน
ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตเกือบทั้งหมดได้เขียนเกี่ยวกับอำนาจของคำพูดบ่อยครั้ง สุภาษิต
18:21 “ความตายความเป็น อยู่ที่อำนาจของลิ้น
และบรรดาผู้ที่รักมันก็จะกินผลของมัน” สุภาษิต 18:20
“ท้องจะอิ่มก็จากผลแห่งปากของเขา
เขาหนำใจเพราะผลอันเกิดจากริมฝีปากของตน”
คำพูดจะให้เกิดผลดี
หรือผลเสียก็ได้ สามารถให้กำลังใจ หนุนใจ หรือทำลายกันด้วยคำโกหก หยาบคายนินทา
ว่าร้าย ทุกๆ วันเราต้องหมั่นรักษาใจของเรา ดัง พระธรรมสุภาษิต 4:23
“จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน
เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ”
ตุลาคม 2017
** ขอขอบคุณทุกๆ บทความที่ได้มีโอกาสศึกษา เพื่อได้นำมาแบ่งปันในวันนี้ **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น