วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ความเก่ง



1 ซามูเอล 16 : 7

            แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกาย ของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่ะพระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ

               ความเก่ง ความร่ำรวยเงินทอง ทรัพย์สิน เป็นสิ่งที่ท้าทายให้คนเรารู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น
            ได้ข้อคิดจากอาจารย์มิว ในวันที่ผ่านมาพูดถึง เมื่อคนเราถึงจุดที่สูงสุด ก็อาจถูกทดลองได้ หรืออยู่จุดที่ต่ำสุด ก็ถูกการทดลองได้ง่ายๆ เช่นกัน


แบ่งปันในวันนี้ นำมาจากหนังสือ สุดหัวใจ แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด (P.252-253)

ลูกา 18:31
พระองค์จึงทรงพาสาวกสิบสองคนไปแล้วตรัสกับเขาว่า ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและจะสำเร็จตามสิ่งสารพัด ซึ่งเหล่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ว่าด้วยบุตรมนุษย์

            ความกล้าหาญของพระเจ้าที่กล้าวางพระทัยเราทั้งหลายนั้นช่างน่าประทับใจจริงๆ บางทีเราอาจตอบว่า แต่พระเจ้าไม่น่าจะเลือกฉันเลย เพราะไม่มีอะไรดีในตัวฉัน ฉันเป็นคนไร้ค่าแต่นั่นแหละคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรเราไว้ ตราบใดที่เราคิดว่ามีส่วนดีบางอย่างในตัวเรา พระองค์ก็จะเลือกเราไม่ได้ เนื่องจากเรายังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่ถ้าเรายอมให้พระองค์นำเราไปถึงจุดสูงสุดในความเพียงพอในตนเองแล้ว พระองค์ก็สามารถเลือกเราเพื่อพาไปยังกรุงเยรูซาเล็มด้วยกันได้ ซึ่งนั่นจะลงเอยด้วยการกระทำให้พระประสงค์บางประการสำเร็จ แต่พระองค์จะไม่ปรึกษากับเราเกี่ยวกับเรื่องจุดประสงค์เหล่านั้น
            เรามักจะพูดว่าเนื่องจากบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมีความสามารถโดยธรรมชาติ ดังนั้น เขาจึงเป็นคริสเตียนที่เป็นตัวอย่างได้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรามีอยู่ ทว่าเกี่ยวกับความขัดสนของเราต่างหาก ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรานำติดตัวมา แต่เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ภายในเรา ปัญหาไม่เกียวกับคุณสมบัติที่ได้รับโดยธรรมชาติ บุคลิกลักษณะที่หนักแน่นมั่นคง ความรอบรู้ หรือประสบการณ์ต่างๆ ทั้งหมดนี้ไม่เป็นประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ สิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นประโยชน์คือ ที่พระเจ้าจะทรงนำเราให้มีส่วนในพระประสงค์อันเหลือจะขัดขืนได้ของพระองค์ และให้เรามีฐานะเป็นมิตรสหายของพระองค์

 1 โครินธ์ 1:26-30
            ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้ โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า

            พระเจ้าทรงผูกมิตรกับคนที่รู้ว่าตนเองขาดตกบกพร่อง พระองค์ทำอะไรไม่ได้กับผู้ที่ถือว่าตนเองมีประโยชน์สำหรับพระเจ้า ในฐานะที่เป็นคริสตชน เรามิได้มุ่งทำให้ความทะเยอทะยานส่วนตัวของเราสำเร็จ เพราะเราอยู่เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งไม่เหมือนจุดมุ่งหมายของเราเองเลย เราทั้งหลายไม่รู้ว่าพระเข้าทรงมุ่งจะทำอะไร แต่ในส่วนของเรา เราจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์สินทกับพระองค์ไว้ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ในทำนองเดียวกัน เราต้องไม่ยอมให้มีอะไรเข้ามาแทรกแซง รบกวน เราจำเป็นต้องให้เวลาเพื่อแก้ไขจนถูกต้องดังเดิม ข้อใหญ่ใจความของคริสเตียนไม่ใช่การงานที่เรารับใช้ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เรารักษาไว้ต่างหาก รวมทั้งผลที่เกิดขึ้นเนื่องจากความผูกพันกับพระเจ้า พระองค์ทรงใช้เราทั้งหลายเอาใจใส่ดูแลรักษาเรื่องนั้นเรื่องเดียว และเรื่องเดียวกันนี้แหละที่เป็นสิ่งที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง

2 โครินธ์ 4:7-10
            แต่ว่าเรามีของมีค่านี้อยู่ในภาชนะดิน  เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระดิกไม่ไหว เราจนปัญญาแต่ก็ไม่ถึงกับหมดมานะ เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีลงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงตาย เราแบกความตายของพระเยซูไว้ที่กายเราเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในกายของเราด้วย

ช่วงเวลาที่ดูเหมือนถูกทอดทิ้ง


อิสยาห์ 8:17 (ประชานิยม)
            พระเจ้าทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นประชากรของพระองค์ แต่ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ และหวังพึ่งพระองค์

แบ่งปันในวันนี้ นำมาจากส่วนหนึ่งของหนังสือ ฉันเกิดมาเพื่ออะไร เรื่อง เมื่อพระเจ้าดูเหมือนห่างไกล

            การนมัสการพระเจ้าในเวลาที่สิ่งต่างๆ ในชีวิตดำเนินไปอย่างดีเยี่ยมนั้น เป็นเรื่องง่าย คือเมื่อพระองค์ประทานอาหาร เพื่อน ครอบครัว สุขภาพ และสถานการณ์ที่เป็นสุข แต่สถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้ดีเสมอไป แล้วคุณจะนมัสการพระเจ้าในเวลานั้นได้อย่างไร คุณจะทำอะไรเมื่อพระเจ้าดูเหมือนอยู่ห่างออกไปเป็นล้านกิโลเมตร

            การนมัสการระดับลึกที่สุดคือการสรรเสริญพระเจ้าแม้กำลังเจ็บปวด ขอบพระคุณพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ วางใจพระองค์เมื่อถูกทดลอง ยอมจำนนในยามลำบาก และรักพระองค์เมื่อพระองค์ดูเหมือนอยู่ห่างไกล

            มิตรภาพมักจะถูกทดลองด้วยการพรากจากและความเงียบ เราถูกแยกด้วยระยะทางหรือเราไม่สามารถคุยกัน ในมิตรภาพของเรากับพระเจ้า เราจะไม่รู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ตลอดเวลา

            เพื่อให้มิตรภาพของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระเจ้าจะทรงทดสอบมันด้วยช่วงเวลาที่ดูเหมือนพรากจากกัน เวลาที่รู้สึกราวกับว่าพระองค์ได้ทอดทิ้งหรือลืมเราไปแล้ว เรารู้สึกเหมือนพระเจ้าอยู่ไกลออกไปเป็นล้านกิโลเมตร

            นอกเหนือจากพระเยซูแล้ว กษัตริย์ดาวิดคงจะมีมิตรภาพใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่าใครๆ พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เราเรียกท่านว่า คนที่เราชอบใจ(1ซามูเอล 13:14) แต่กษัตริย์ดาวิดมักจะบ่นเรื่องที่พระเจ้าทรงดูเหมือนไม่สถิตอยู่ด้วย ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ประทับยืนอยู่ห่างไกลและทรงซ่อนพระองค์เสียในเวลาที่ข้าพระองค์ต้องการพระองค์มากที่สุด(สดุดี 10:1 LB) “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์(สดุดี 22:1) ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย(สดุดี 43:2)

            แน่นอนพระเจ้ามิได้ทรงละทิ้งกษัตริย์ดาวิดจริงๆ และพระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเรา พระองค์ทรงสัญญาเสมอๆ ว่า เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย(เฉลยธรรมบัญญัติ 31:8)

            ฟลอยด์ แมคคลัง อธิบายเรื่องนี้ว่า เช้าวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมาแล้วความรู้สึกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดของเราก็หายไป เราอธิษฐานแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ เราให้เพื่อนอธิษฐานให้ เราสารภาพบาปทุกอย่างที่นึกได้ แล้วก็ไปขอการยกโทษจากทุกคนที่เรารู้จัก เราอดอาหาร แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเริ่มสงสัยว่า ความหดหู่ฝ่ายวิญญาณนี้จะคงอยู่นานสักแค่ไหน เป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน แล้วมันจะหายไปไหม เรารู้สึกเหมือนคำอธิษฐานของเรากระทบเพดานแล้วก็ตกลงมา เราร้องด้วยความรู้สึกสุดแสนสิ้นหวังว่า ฉันเป็นอะไรไป

            ความจริงคือ ไม่มีอะไรผิดปกติในตัวเรา เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการทดสอบและการทำให้มิตรภาพของเรากับพระเจ้าเติบโต คริสเตียนทุกคนต้องผ่านสถานการณ์แบบนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง และส่วนมากก็มักจะหลายครั้ง มันเจ็บปวดและหวาดวิตก ทว่ามันสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความเชื่อของเรา การรู้ความจริงข้อนี้ทำให้โยบมีความหวัง เมื่อเราไม่สามารถรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตเรา เรากล่าวว่า ข้าเดินไปทางตะวันออก แต่พระองค์มิได้ทรงสถิตที่นั่น ข้าเดินไปทางตะวันตก แต่ข้าก็ไม่สามารถพบพระองค์ ข้าไม่เห็นพระองค์ทางเหนือ เพราะพระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าหันไปทางใต้ แต่ข้าหาพระองค์ไม่พบ ทว่าพระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าเหมือนทางคำในไฟแล้ว พระองค์จะทรงประกาศว่าข้าไม่ผิด(โยบ 23:8 NLT)

            พระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ แม้ในเวลาที่เราไม่รู้สึกถึงพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยมากกว่าการที่คุณรู้สึกถึงพระองค์คือ การที่เราวางใจในพระองค์ ความเชื่อต่างหากที่ทำให้พระองค์พอพระทัยไม่ใช่ความรู้สึก

            สถานการณ์ที่จะขยายความเชื่อของเรามากที่สุดคือ เวลาที่ชีวิตล่มสลาย และมองหาพระเจ้าไม่พบ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับโยบ ในวันเดียวท่านสูญเสียทุกสิ่ง ครอบครัว ธุรกิจ สุขภาพ และทุกสิ่งที่ท่านเป็นเจ้าของ ที่น่าท้อใจที่สุดคือ พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรเลยตลอด 37 บท จนกระทั่งบทที่ 38 เป็นหัวเรื่องว่า พระเจ้าทรงกระทำให้โยบสำนึกถึงความโง่เขลา

            เราจะสรรเสริญพระเจ้าอย่างไรเมื่อคุณไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา และพระเจ้าทรงเงียบ เราจะรักษาความสัมพันธ์ท่ามกลางวิกฤตโดยไม่มีการสื่อสารได้อย่างไร ตาเราจะจ้องอยู่ที่พระเยซูได้อย่างไรในเมื่อมันเต็มไปด้วยน้ำตา เราทำสิ่งที่โยบทำคือ แล้วโยบก็กราบลงถึงดินนมัสการ และกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแต่พระนามพระเจ้า” (โยบ 1:20-21)

            วางใจว่าพระเจ้าจะรักษาพระสัญญาของพระองค์ ระหว่างช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งฝ่ายวิญญาณ เราต้องพึ่งพาพระสัญญาของพระองค์ด้วยความอดทน ไม่ใช่พึ่งอารมณ์ความรู้สึกของเรา และตระหนักว่า พระองค์จะทรงนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

            ถ้าพระเจ้าไม่ได้กระทำสิ่งอื่นเพื่อเรา เราก็ยังสมควรสรรเสริญพระองค์ต่อไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะสิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำเพื่อเราบนไม้กางเขน พระบุตรของพระเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเรา นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดของการนมัสการ

            น่าเสียดาย เราลืมรายละเอียดอันทารุณของการถวายบูชาอย่างทนทุกข์ทรมานซึ่งพระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา แม้กระทั่งก่อนการตรึงกางเขน พระบุตรของพระเจ้าก็ถูกจับเปลือยพระกาย ถูกโบยตีจนกระทั่งผู้คนแทบจำไม่ได้ ถูกเฆี่ยน เยาะเย้ย และดูหมิ่น ต้องสวมมงกุฎหนาม และถูกถ่มน้ำลายรดด้วยความรังเกียจ พระองค์ทรงถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่าเป็นสัตว์ ทรงถูกทำร้ายและเยาะเย้ย พระองค์แทบหมดสติเพราะเสียเลือด พระองค์ก็ทรงถูกบังคับให้แบกกางเขนขึ้นเนินเขา ถูกตรึงและถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ

            เราอาจสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าทรงอนุญาตและทนดูการทารุณอันน่ากลัวและชั่วร้ายนั้น ก็เพื่อให้เราสามารถรอดพ้นจากการต้องอยู่ในนรกตลอดนิรันดร์กาล

2 โครินธ์ 5:21 (ประชานิยม)
            พระเยซูคริสต์ทรงปราศจากบาปแต่พระเจ้าทรงให้พระองค์มีส่วนร่วมในบาปของเรา เพื่อให้การร่วมสัมพันธ์กับพระองค์ ทำให้เรามีส่วนในความชอบธรรมของพระเจ้า

            พระเยซูทรงสละทุกสิ่งเพื่อเราจะสามารถมีทุกสิ่ง พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไป เพียงเท่านี้ก็สมควรที่เราจะขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ตลอดไป เราจะยังคงสงสัยอีกหรือไม่ว่า เราจะมีเรื่องอะไรที่จะขอบพระคุณพระเจ้า


มีนาคม 2018

ความผิดและการให้อภัย



ยอห์น 8:1-11
            แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ ในตอนเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าในบริเวณพระวิหารอีก คนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับนั่งและเริ่มสั่งสอนเขา พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมา หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่หน้าฝูงชน เขาทูลพระองค์ว่า พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้ เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ นางนั้นทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย และพระเยซูตรัสว่า เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก

คนเราทุกคนต้องเคยทำผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น ผิดพลาดกับตัวเราเองก็มาก บางครั้งเราก็ทำผิดต่อผู้อื่น บางครั้งผู้อื่นก็ทำผิดต่อเรา ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาดเลย บางคนอาจคิดว่าตัวเองไม่ผิด เรามักมองไม่เห็นความผิดของตัวเอง นั่นหมายถึงเราไม่ยอมรับความผิดนั้นต่างหาก เรามักเข้าข้างตัวเอง ข้าพเจ้าก็เป็น ข้อพระคัมภีร์ที่ทำให้เห็นภาพที่ชัดคือ มันธิว 7:3 -5 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก เหตไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง ท่านคนหน้าซื่อใจคต จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้ ข้อพระคัมภีร์น่าสนใจมากๆ เนื่องจากไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาเรานั้น ก็มีฝุ่นเล็กๆ ติดอยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้น ในอาจมีทั้งฝุ่น ทั้งไม้ ที่อยู่ในตาเราก็ได้ บางครั้งคนเราชอบจับจ้องความผิดบาปของผู้อื่น ว่าผิด ร้ายแรง แต่ตัวเราเองอาจซ่อนบาปที่ร้ายแรงกว่าไว้ก็ได้ เราอาจต้องหันกลับไปมองที่กระจกเพื่อสำรวจตัวเราเอง

เมื่อรู้สึกผิด ขออธิษฐานให้ได้รับการยกโทษจากพระเจ้า และขออย่าให้เราผิดพลาดอีกเลย

ในบทนี้ ความจริงแล้วผู้นำยิวไม่ได้ทำตามบทบัญญัติตั้งแต่แรกที่พวกเขาจับตัวเฉพาะผู้หญิงมาเท่านั้น ไม่ได้จับตัวผู้ชายมาด้วย ซึ่งบทบัญญัติระบุไว้ว่า ทั้งชายและหญิงต้องถูกหินขว้างจนตาย ในพระธรรม เลวีนิติ 20:10 ถ้าผู้ใดร่วมประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้าน ให้ขว้างผู้ร่วมประเวณีทั้งชายและหญิงนั้นเสีย ซึ่งผู้นำยิวกำลังที่จะใช้หญิงผู้นี้เป็นกับดักพระเยซู และทดลองพระองค์ จากข้อ 6 นี้ เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์ถ้าพระเยซูไม่เอาหินขว้างหญิงคนนี้ พวกเขาก็จะจับพระองค์โทษฐานละเมิดบทบัญญัติของโมเสส แต่ถ้าพระองค์ยอมให้พวกเขาประหารชีวิตผู้หญิงคนนี้โดยการปาหินให้ตาย พวกเขาก็จะส่งตัวพระเยซูให้ทหารโรมัน เพราะชาวยิวไม่สามารถสั่งประหารชีวิตได้ เป็นกฎหมายโรมันกำหนดให้การลงโทษถึงตายเป็นอำนาจหน้าที่ของโรมเท่านั้น ชาวยิวหรือชนชาติอื่นไม่มีสิทธิ์ หากพระองค์ตัดสินลงโทษผู้หญิงคนนี้ถึงตายย่อมผิดกฎหมายโรมัน  แต่ในข้อ 7 นี้พระเยซูก็ยังยึดบทลงโทษตามบทบัญญัติอยู่ก็คือ ให้เอาหินขว้างจนตาย พระองค์จึงไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่การให้คนที่ไม่มีบาปเลยเอาหินขว้างผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรก เมื่อพระเยซูกล่าวดังนี้ พวกผู้นำก็ค่อยๆ จากไปตั้งแต่คนอายุมากที่สุดจนถึงไปจนถึงอายุน้อยที่สุด

จะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้ประณามหญิงคนนี้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าล่วงประเวณี แต่พระองค์ก็ไม่ได้เพิกเฉยหรือเห็นชอบกับความผิดบาปของเธอ แต่พระองค์บอกให้ทิ้งชีวิตที่ผิดบาป พระเยซูพร้อมที่จะให้อภัยความผิดบาป เช่นเดียวกัน พระเยซูพร้อมให้อภัยความผิดบาปของเรา แต่เราต้องสารภาพและกลับใจ จากข้อ 11 พระเยซูตรัสว่า เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก

            จะเห็นจาก ข้อ 11 จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก พระเจ้าให้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตเรา ให้โอกาสที่เราจะกลับใจ และเริ่มต้นใหม่ การกลับใจคือการเปลี่ยนแปลงจิตใจโดยการขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า โดยกำลังของมนุษย์เองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การทดลองใจจากสิ่งแวดล้อมรอบกายอาจทำให้เราไขว้เขวได้เสมอ ในพระธรรมมาระโก 10:27 กล่าวว่า “…ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง

พฤศจิกายน 2017

* ขอขอบคุณทุกๆ บทความที่ได้ศึกษาเพื่อแบ่งปันในวันนี้ *

คำพูดพลิกชีวิต




182. เมื่ออธิษฐานนมัสการ

 

สุภาษิต 15:1-23


              คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ
ลิ้นของปราชญ์แจกจ่ายความรู้ แต่ปากของคนโง่เทความโง่ออกมา
พระเนตรของพระเจ้าอยู่ในทุกแห่งหน ทรงเฝ้าดูคนชั่วและคนดี
ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย
คนโง่ดูหมิ่นคำเตือนสติของบิดาตน แต่ผู้ที่สนใจคำทักท้วงเป็นผู้หยั่งรู้
ในเรือนของคนชอบธรรมมีคลังทรัพย์มาก แต่ความลำบากตกอยู่กับรายได้ของคนชั่วร้าย
ริมฝีปากของปราชญ์กระจายความรู้ แต่ความคิดของคนโง่หาเป็นเช่นนั้นไม่
เครื่องสักการบูชาของคนชั่วร้ายเป็นที่น่า เกลียดน่าชังแก่พระเจ้า แต่คำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรมเป็นที่ปีติยินดีแก่พระองค์
ทางของคนชั่วร้ายเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า แต่พระองค์ทรงรักบุคคลผู้ตามติดความชอบธรรม
มีโทษหนักสำหรับผู้ที่ทอดทิ้งทางดี บุคคลผู้เกลียดคำเตือนสติจะตายเปล่า
แดนผู้ตายและแดนพินาศก็ประจักษ์แจ้งอยู่เฉพาะพระเจ้า ใจของมนุษย์จะแจ้งเฉพาะพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
คนมักเยาะเย้ยไม่ชอบถูกตักเตือน เขาจะไม่ไปหาปราชญ์
ใจที่ยินดีกระทำให้ใบหน้าร่าเริง แต่โดยความเสียใจดวงจิตก็สลายลง
ความคิดของบุคคลผู้มีความเข้าใจก็แสวงความรู้ แต่ปากของคนโง่กินความโง่เป็นอาหาร
ทุกๆวันของคนที่ทุกข์ใจก็ร้าย แต่ใจที่ร่าเริงมีการเลี้ยงต่อเนื่องกัน
มีทรัพย์น้อยแต่มีความยำเกรงพระเจ้า ดีกว่ามีคลังทรัพย์ใหญ่ แต่มีความลำบากอยู่ด้วย
กินผักเป็นอาหารในที่ที่มีความรัก ก็ดีกว่ากินเนื้อวัวอ้วนพร้อมกับความเกลียดชังอยู่ด้วย
คนใจร้อน เร้าการวิวาท แต่บุคคลผู้โกรธช้าก็ระงับการชิงดี
ทางของคนเกียจคร้านมีต้นหนามควัดงอกอยู่เต็ม แต่วิถีของคนเที่ยงธรรมเป็นทางหลวงราบเสมอ
บุตรชายที่ฉลาดกระทำให้บิดายินดี แต่คนโง่ดูหมิ่นมารดาของตน
ความโง่เป็นความชื่นบานแก่บุคคลผู้ไม่มีสามัญสำนึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะเดินตรงไป
ปราศจากการปรึกษาหารือ แผนงานก็ล้มเหลว แต่มีผู้แนะนำมากๆ แผนงานนั้นก็สำเร็จ
ที่จะตอบให้เหมาะสมก็เป็นความชื่นบานแก่คน คำเดียวที่ถูกกาละก็ดีจริงๆ

คำพูดพลิกชีวิต


คำพูดของใครบางคนอาจบาดลึกในจิตใจเราทำให้เจ็บปวดจนมิลืมเลือน หรือคำพูดของเรานำความปวดร้าวในจิตใจของใครโดยตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็เป็นไปได้ บางทีเราอาจจะไม่ทราบว่า คำพูดก็พลิกชีวิตได้ทั้งด้านดี และด้านร้าย วันที่ข้าพเจ้าไปสัมมนาพี่เลี้ยงของคริสตจักรที่หนึ่ง ศจ.พิริยะ ประดิษฐสอน ได้แบ่งปันเรื่องราวของ โทมัส เอดิสัน ซึ่งทุกท่านคงทราบประวัติของเขาเป็นอย่างดีแล้วนะคะว่า เขาเป็นนักประดิษฐ์ เป็นผู้รักการทดลองเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่นที่สุดของโทมัส เอดิสัน คือ หลอดไฟฟ้า ซึ่งเขาไม่ได้เป็นคนที่คิดประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านั้นมีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 20 คนได้พยายามคิดค้นและประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าอยู่เช่นกัน เพียงแต่โทมัส เอดิสันคือนักประดิษฐ์คนแรกที่สามารถทำให้หลอดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
วันหนึ่ง โทมัส เอดิสัน ในวัยเด็กกลับมาบ้านพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่ของเขา เขาพูดว่า "แม่ครับ ครูให้นำกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่และบอกว่า แม่คนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่าน ครูเขียนว่าอะไรครับแม่" ตาของแม่เต็มไปด้วยน้ำตา เธออ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยเสียงอันดังต่อหน้าลูกชายว่า "ลูกชายของคุณเป็นเด็กอัจฉริยะ โรงเรียนของเราเล็กเกินไปสำหรับเขา และไม่มีครูที่ดีเพียงพอที่จะสอนเขาได้ กรุณาสอนลูกของคุณด้วยตัวคุณเอง" ตั้งแต่วันนั้น เธอจึงสอนโทมัสอยู่ที่บ้านด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอป่วยและเสียชีวิตไป หลายปีต่อมาหลังจากแม่โทมัส เอดิสันเสียชีวิต เขาได้กลายมาเป็นหนึ่งนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษนั้น วันหนึ่งโทมัสได้ค้นหาสิ่งของและไปพบเจอกระดาษแผ่นที่ครูเคยเขียนและแม่ได้อ่านให้เขาฟังเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาจึงเปิดอ่าน ที่แท้จริงแล้ว ในกระดาษแผ่นนั้น ครูเขียนว่า " ลูกชายของคุณมีความบกพร่องทางปัญญา เราไม่สามารถให้เขาร่วมชั้นเรียนอีกต่อไป" นั่นแปลว่า โทมัส เอดิสัน โดนไล่ออกจากโรงเรียน โทมัส เอดิสัน ได้รู้ความจริง จึงได้เขียนบันทึกลงในไดอารี่ของเขาว่า "โทมัส เอดิสัน คือเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญา แต่แม่ของเขาคือผู้พลิกฟื้นให้เขากลับกลายมาเป็นบุคคลอัจฉริยะแห่งศตวรรษ" *คำพูดบวกเพียงประโยคเดียว สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนชีวิตคนได้ทั้งชีวิต ไม่ว่าวันนี้คุณจะดีพอในสายตาตนเอง หรือในสายตาคนอื่นแล้วหรือยัง จงพูดกับตัวเองต่อไป ว่าเราจะสำเร็จแน่นอน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น Cr: Anongsri. Chonechaiy Group Trip NZ (1-16 De)
            หากแม่ของเขาได้อ่านตามที่ครูเขาเขียน และไม่คิดจะสอนเขาเพราะมองว่า เขาคงไม่สามารถจะเรียนอะไรได้เลย ก็อาจจะไม่มี โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้นี้ก็ได้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าเท่านั้น เขาประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย หากสิ่งไหนที่เขาคิดว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงก็จะนำไปเสนอขายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ให้ผู้ประกอบการ เขาไม่ได้เป็นนักประดิษฐ์เท่านั้น เขายังเป็นนักธุรกิจ ตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินธุรกิจมากถึง 14 บริษัท ครอบครัวเขาพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยเลย ออกจะยากจนด้วยซ้ำไป เขาจึงต้องหางานทำด้วย เพื่อได้เงินมาซื้ออุปกรณ์สำหรับงานทดลองของเขา
            ในอดีตเราอาจจะมีคำพูดของใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจ กำลังใจให้เราจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืมคำพูดนั้นๆ เหมือนอย่างที่อาจมีคำบางคำเป็นเหมือนหนามทิ่มแทงหัวใจทำให้ปวดร้าวจนถึงทุกวันนี้ เมื่อนึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกหดหู่ เช่นกัน คำพูดของคนเรามีอิทธิพลต่อชีวิตคนอื่นอย่างไม่น่าเชื่อ แม้เราบางครั้งอยู่ใกล้ใครได้ยินคนพูดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็ทำให้เราเป็นแบบที่เขาพูดเช่นกัน ก่อนที่จะกล่าวคำพูดอะไรออกไปเราอาจต้องมองกลับมาที่เราก่อนว่า คำพูดที่จะกล่าวนั้นหากเป็นเราได้ยิน เราจะรู้สึกอย่างไร ในทุกๆ เช้าหากเราเติมคำพูดดีๆ ที่มีให้กัน ตั้งแต่คนในบ้าน จนกระทั่งมาทำงาน ให้คำพูดดีๆ กับเพื่อนร่วมงาน วันนั้นทั้งวันก็จะเป็นวันที่ชื่นบานใจทั้งเราและผู้อื่น ให้เราใช้ลิ้นของเราจุดประกายชีวิตผู้อื่น

เอเฟซัส 4:29
            อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง

ยากอบ 1:19
            ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
            กษัตริย์โซโลมอน ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตเกือบทั้งหมดได้เขียนเกี่ยวกับอำนาจของคำพูดบ่อยครั้ง สุภาษิต 18:21 ความตายความเป็น อยู่ที่อำนาจของลิ้น และบรรดาผู้ที่รักมันก็จะกินผลของมัน สุภาษิต 18:20 ท้องจะอิ่มก็จากผลแห่งปากของเขา เขาหนำใจเพราะผลอันเกิดจากริมฝีปากของตน

            คำพูดจะให้เกิดผลดี หรือผลเสียก็ได้ สามารถให้กำลังใจ หนุนใจ หรือทำลายกันด้วยคำโกหก หยาบคายนินทา ว่าร้าย ทุกๆ วันเราต้องหมั่นรักษาใจของเรา ดัง พระธรรมสุภาษิต 4:23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ


ตุลาคม 2017

** ขอขอบคุณทุกๆ บทความที่ได้มีโอกาสศึกษา เพื่อได้นำมาแบ่งปันในวันนี้ **

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561



การเป็นแบบอย่าง
21 พฤษภาคม 2018
1 ทิโทธี 4:11-16
          จงสั่งและสอนสิ่งเหล่านี้
อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและความประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์
          จงใฝ่ใจในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ในการเทศนาและในการสั่งสอนจนกว่าเราจะมา
          อย่าละเลยความสามารถที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์ เมื่อคณะผู้ปกครองได้เอามือวางบนท่าน
          จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ เพื่อความเจริญของท่านจะได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง
          จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น เพราะเมื่อกระทำดังนั้น ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้

            การเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ละคนก็มีบทบาทหน้าที่มากมาย เช่น เป็น พ่อ แม่  โดยเฉพาะการเป็น พ่อ แม่ ซึ่งการสอน และแสดงออกให้ลูกๆ เห็นอย่างไร ลูกๆ ก็แสดงออกเช่นนั้น ซึ่งตรงกับสำนวนไทยว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น หรือการที่เป็นแบบอย่างในชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน การที่เราพูดแบ่งปัน ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับข้าพเจ้าเลย

            ในพระธรรม 1 ทิโมธี นั้น ผู้เขียนคือ อ.เปาโล ได้เขียนถึง ทิโมธี เพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นการสั่งสอน ขณะนั้นทิโมธีเผชิญกับความกดดัน ความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งทิโมธีเป็นศิษยาภิบาลหนุ่ม เขาต้องทำให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า ซึ่งได้ดูถูกดูแคลนเขาเชื่อถือเขาในความประพฤติ ให้เป็นแบบอย่างที่ดีด้านคำสอน การดำเนินชีวิต ความรัก ความเชื่อ ความบริสุทธิ์ ไม่ว่าเราจะอายุมาก หรือน้อย แค่ไหน จงใช้ชีวิตในแบบอย่างที่ผู้อื่นจะได้เห็นพระคริสต์ในชีวิตของเรา
            ซึ่งในข้อ 16 ก็ได้กล่าวว่าหากเรายึดถือนำมาปฏิบัติได้ ก็หนีไม่พ้นที่ตัวเราจะได้รับ ผู้ที่ได้รับฟังเรา เห็นชีวิตเรา ก็จะเห็นพระคริสต์และจะรอดไปด้วยกัน

1 ทิโทธี 4:12
          อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและความประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์ ได้กล่าวถึงแบบอย่าง 5 ประการคือ

               1. แบบอย่างในคำพูด
               2. แบบอย่างในความประพฤติ
               3. แบบอย่างในความรัก
               4. แบบอย่างในความเชื่อ
               5. แบบอย่างในความบริสุทธิ์
  

 1.    แบบอย่างในคำพูด

ยากอบ 3:9 – 10
 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งดามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์
คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้าไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น

                  ใน ยากอบ 3:9-16 ว่าด้วยเรื่องของลิ้น เราสรรเสริญพระเจ้าด้วยลิ้นนี้ แต่ก็กลับใช้ลิ้นเดียวกันนี้ พูดกับมนุษย์ในทางตรงกันข้าม ควรหลีกเลี่ยงคำพูดแง่ลบ พูดโกหก พูดด้วยอารมณ์โมโห พูดให้ร้าย แต่ควรพูดในทางเสริมสร้างกันและกันจะดีกว่า

2.    แบบอย่างในความประพฤติ

อ.เปาโล ได้หนุนใจให้ทิโมธี เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม

     ยากอบ 3:13
               ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพ ประกอบด้วยปัญญา

 3.    แบบอย่างในความรัก

           ยอห์น 15:13
          ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน
และข้อ 17 สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน

                        เราควรที่จะเรียนรู้ความรักแบบพระเยซูคริสต์ ความรักตามอย่างพระเยซูคริสต์นี้ เป็นความรักที่เสียสละตนเอง เพื่อปรนนิบัติผู้อื่น หากเรารักพระเจ้า เราจะเรียนรู้ความรักที่จะให้กับเพื่อนมนุษย์ของเราได้

      4.  แบบอย่างในความเชื่อ

เป็นแบบอย่างในความสัตย์ซื่อ ไม่มีใครมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ หลายครั้งรอบๆ กายเราก็มีความท้าทายทำให้ความเชื่อเราทดถอยได้ ทำให้แสงสว่างของเราริบหรี่ เราต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า แสงสว่างนั้นก็จะคืนกลับมาส่งทางให้กับเราอีกครั้ง เมื่อนั้นเราอาจจะเป็นแสงสว่างที่ผู้อื่นต้องการก็ได้
William J. Toms ได้กล่าวไว้ว่า จงระวังวิถีที่คุณดำเนินชีวิต เพราะว่าคุณอาจจะเป็นพระคัมภีร์เล่มเดียวที่คนบางคนได้อ่าน (ในชีวิตของเขา)

         5. แบบอย่างในความบริสุทธิ์

                    เราต้องสะอาดทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจ

           1 โครินธ์ 6:19-20
         ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
          พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด

      พรเยซูคริสต์ได้ซื้อเรามาด้วยความรัก โดยสละชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่ในความบาปของเรา เพื่อให้เรารอด เราจึงต้องดูแลชีวิตของเราที่ได้ซื้อมาในราคาสูง คือซื้อจากชีวิต
จากในพระธรรมที่เราได้ใคร่ครวญร่วมกันนี้ อย่าให้อายุเป็นอุปสรรค ไม่ว่าเราจะอายุมาก หรืออายุน้อย เราก็จะมีข้ออ้างได้หมด

ทุกวันนี้ เราใช้ชีวิตที่เป็นแบบอย่าแก่ผู้ที่พบเห็นหรือยัง

** ขอขอบคุณทุกๆ บทความที่ได้มีโอกาสศึกษา เพื่อได้นำมาแบ่งปันในวันนี้ **


ขอบคุณภาพถ่าย