วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2567

คำพูดพลิกชีวิต ตอน 2

 

21/3/2024

คำพูดพลิกชีวิต ตอน 2

1 โครินธ์ 12 : 4-6

ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระเวิญญาณองค์เดียวกัน การปรนนิบัติมีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมทั้งหมดในทุกคน

ครั้งก่อนข้าพเจ้าเคยนำเรื่องของโทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งแม่ของเขาได้ใช้คำพูดเป็นการพลิกชีวิตของเขาจน สุดท้ายเขาได้เป็นบุคคลสำคัญผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มากมาย จากเด็กที่โรงเรียนไม่สามารถรับเขาเข้ามาเรียนหนังสือได้แล้ว เนื่องจากครูเห็นว่าเขามีความบกพร่องทางปัญญา

วันนี้ข้าพเจ้ามีอีกเรื่องหนึ่งได้ตั้งหัวข้อว่า คำพูดพลิกชีวิต ตอน 2 เมื่อหลายวันก่อน อยู่ๆ ในเฟสบุ๊คก็มีเรื่องนี้เด้งขึ้นมา เป็นบทความซึ่งผู้เขียนสรุปมาให้ไม่ยาวมากนัก หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้เข้าไป search เพื่อหาที่เป็นบทความฉบับเต็มมาอ่านซึ่งน่าสนใจมาก เป็นแรงบันดาลใจสำหรับข้าพเจ้า ซึ่งในวันนี้ขอนำที่เป็นบทความสั้นๆ เพื่อมาแบ่งปันเป็นกำลังใจให้กันในเช้านี้

ที่มา : FB LadyZen

ถ้าลูกของคุณคนนึงสอบได้เกรดเฉลี่ยเพียง 1.04 และเป็นอันดับรั้งท้ายของห้อง คุณจะบอกกับลูกคุณว่ายังไง นี่เป็นคำถามน่าคิด ยิ่งถ้าในบรรดาลูกของเราทั้งหมดเรียนเก่ง ได้เกียรตินิยม หรือไม่ก็ได้ทุนเรียนต่างประเทศกันหมด แต่ดันมีลูกคนนึง ตอน ม.3 โดนอธิการเชิญออกจากโรงเรียน และต้องเรียนซ้ำชั้นตั้งแต่ ม.1 ใหม่ทั้งหมด 3 ปี คุณจะคุยกับลูกคนนี้ยังไง? นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็กของ"บอย โกสิยพงษ์" เจ้าพ่อนักแต่งเพลงรักที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น ฤดูที่แตกต่าง ลมหายใจ Live and Learn ฯลฯ แน่นอน คุณบอยในตอนนั้นคงรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง คำว่า loser หรือไอ้ขี้แพ้ คือ คำที่เขาใช้เรียกตัวเองในวัยเด็ก คุณบอยไม่ใช่คนเกเรเลยที่ทำให้ได้เกรดไม่ดี ตรงกันข้าม เขาตั้งใจท่องหนังสือด้วยซ้ำ "ผมฉีกหนังสือเป็นเล่มๆ ออกมาทีละบท เพื่อจะมานั่งอ่านทีละหน้า แต่มันไม่รู้เรื่อง ผมโคตรพยายาม แต่ตอนสอบ มันทำไม่ได้" ..คุณบอยกล่าวไว้ แทนที่แม่จะว่าหรือดุที่ผลการเรียนไม่ดีแม่ของคุณบอยกลับบอกว่า... "โรงเรียนนี้น่าจะไม่เหมาะสำหรับบอยหรอก เขาน่าจะสอนไม่เก่ง เดี๋ยวไปหาโรงเรียนที่มันเหมาะกับบอยดีกว่านะ" "ดีแล้วที่บอยเรียนไม่เก่งแบบพี่น้องคนอื่นๆ เพราะตอนเด็ก แม่โง่มากเลย การบ้านแม่ก็ทำไม่ได้ สอบก็ไม่ได้ ลอกเพื่อนประจำเลย เพราะฉะนั้น แม่ก็จะได้มีบอยเป็นเพื่อนสักคนหนึ่งในบ้านที่เป็นเหมือนแม่"

คำพูดนี้ของแม่ทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกว่าโง่เหมือนแม่ก็ดีนะเนี่ย คุณบอยว่าไว้ แล้วพี่น้องในครอบครัวคุณบอย พี่น้องอีก 4 คนไม่มีใครซ้ำเติมกัน พวกเค้าใช้ชีวิตปกติราวกับไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ทุกคนในครอบครัวของคุณบอย ไม่ยอมให้อะไรเข้ามาทำลายบรรยากาศ ที่นิ่งสงบและอบอุ่นของครอบครัวได้เลย

หลังจากที่มีปัญหามากมายกับการเรียนในเมืองไทย จุดพลิกผันของคุณบอยคือ การตัดสินใจไปเรียนต่อทางด้านดนตรีที่ University of California at Los Angeles (UCLA) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นั่นคุณบอยได้เรียนทั้งในเรื่องการแต่งเพลง ด้านดนตรี Electronics และธุรกิจด้านดนตรี พอความรักและหลงใหลด้านดนตรีของคุณบอยมาเจอกับการศึกษาที่ตรงจริต คุณบอยเรียนจบ 3 หลักสูตรในเวลา 5 ปี ด้วยเกรดเฉลี่ยมี A- ตัวเดียว ที่เหลือ คือ A ทั้งหมด คุณบอยให้สัมภาษณ์ว่า... "ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาจากการตั้งใจเรียนเลย มันมาจากการที่ผมรักมันสุดหัวใจ อยากรู้อยากเห็น อยากเข้าใจไปหมด ผมไม่เคยท่องหนังสือ แต่อ่านมันจนเข้าใจ ผมเพิ่งเข้าใจคำพูดที่พ่อเคยบอกอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก หัวใจเราอยู่ที่ไหน ทรัพย์สมบัติเราก็อยู่ที่นั่น" นี่คือตัวอย่างของเด็กที่อาจจะมีความถนัดไม่ตรงกันกับสิ่งที่โรงเรียนใช้วัดความสามารถ

ศาสตราจารย์ Howard Gardner นักจิตวิทยามหาวิทยาลัย Harvard อธิบายว่า...สติปัญญาของมนุษย์มีความสามารถโดดเด่นแตกต่างกันได้ 8 สาขา

1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)

2. ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical- Mathematical Intelligence)

3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence)

4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence)

5. ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)

6. ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)

7. ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)

8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence)

ดังนั้น เด็กที่ได้เกรดไม่ดีจากโรงเรียนก็ไม่ได้หมายความว่า...เค้าไม่เก่ง เพียงแค่เค้าอาจจะเก่งด้านอื่นที่ทางโรงเรียนไม่ได้วัดด้านนั้นก็ได้ ดังนั้น พ่อแม่ควรจะสังเกตความถนัดของเด็กแล้วส่งเสริมด้านนั้นของเด็กต่อไป

ผู้เขียนบทความนี้บอกว่า เขาอยากเผยแพร่บทความนี้ เพราะอาจจะมีเด็กอีกหลายคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนคุณบอยในตอนเด็ก อย่าคิดไม่ดีกับตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองโง่ คนเราน่าจะมีสักด้านที่เราถนัด เพียงแต่เราต้องหาด้านนั้นให้เจอ แล้วก็เรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อไปให้สุดในด้านที่ถนัด

( สามารถอ่านบทความเต็มได้ที่ https://thestandard.co/boyd-kosiyabong/ )

จริงๆ แล้วหากเราได้อ่านบทความฉบับเต็มที่เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของคุณบอยก็มีหลายๆ เหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ผ่านมาของคุณบอยเช่นกัน แต่คุณบอยมีความเชื่อในพระเจ้า ซึ่งคุณ   บอยกล่าวว่า ‘พระเจ้า’ เข้ามาในชีวิต จึงเข้าใจชีวิต “หลังจากคนที่ผมรักพากันจากไป ผมไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตแบบตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้อีกต่อไป ผมเข้าใจว่าผมต้องพึ่งอะไรบางอย่างที่มีหลักการเหนือกว่าผม เพราะว่าที่ผ่านมาผมดำเนินชีวิตตามความรู้สึก ตามอารมณ์มาตลอด แต่ถ้าผมมีพระเจ้า พระเจ้าจะทำให้ผมมองไปที่หลักการ ไม่ใช่ใช้ชีวิตด้วยอารมณ์ล้วนๆ เหมือนเดิม สมัยก่อนผมมีพ่อเป็นหลักการ แต่ตอนนี้ผมมีพระเจ้าเป็นหลักการ ผมเริ่มศึกษาไบเบิลแล้วทำตามสิ่งที่ใบไบเบิลสอนไว้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ผมเชื่อหมด ถ้าหลักการไบเบิลว่าผิด ผมจะไม่ทำเลย ต่อให้จะได้ผลประโยชน์อะไรมากมายยังไงก็ไม่ทำ พอเรารู้อย่างนี้แล้วพบว่าชีวิตมันสบาย เราสามารถจะดำเนินชีวิตของเราต่อไปได้เรื่อยๆ อาจจะกระท่อนกระแท่นบ้าง มีคนมาเดินชนเราบ้าง แต่ถ้าเรามองที่หลักการ ยังไงซะชีวิตก็ไม่ล้ม” 

จากบทความชีวิตของคุณบอย เป็นแรงบันดาลใจสำหรับตัวข้าพเจ้าอย่างมากในการเริ่มต้นเขียนแบ่งปันชีวิตของตัวเองเพื่อหนุนใจผู้อื่น เช้านี้จึงขอนำเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตของข้าพเจ้าช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่ง

ชีวิตข้าพเจ้าเมื่อวัยเด็กเกิดในครอบครัวที่เรียกว่าแตกแยก คุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน ซึ่งท่านระหองระแหงกันเป็นระยะเวลานานพอสมควรเนื่องจากเหตุผลเดียวคือคุณพ่อเป็นคนเจ้าชู้ มีผู้หญิงหลายคน ปกติตอนเย็นหลังจากคุณแม่เลิกงาน ข้าพเจ้ากับน้องชายเลิกเรียน คุณพ่อจะมารับกลับบ้าน เนื่องจากสมัยนั้นคุณแม่ขับรถไม่เป็น บ้านอยู่ในซอยหากสมัยนั้นก็เรียกว่าลึกและเปลี่ยวอยู่ คุณพ่อจะมารับค่อนข้างดึก คุณแม่ก็นั่งรอที่ทำงาน ส่วนข้าพเจ้าเมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วคุณพ่อยังไม่มารับข้าพเจ้าจะเดินไปรับน้องชายที่โรงเรียนเพื่อมารอคุณพ่อมารับที่โรงเรียนของข้าพเจ้า พอใกล้ค่ำคุณครูที่เคยสอนชั้นอนุบาล จะเดินมารับแล้วบอกให้ไปรอที่บ้านซึ่งอยู่หน้าโรงเรียน ในตอนนั้นบ้านของคุณครูฐานนะก็ไม่ค่อยดี มีลูกหลายคน ทั้งยังเรียนอยู่ส่วนที่จบแล้วก็มีอาชีพครู บ้านก็คับแคบ แต่คุณครูก็ไม่เคยให้เราสองคนพี่น้องต้องหิวเลย ทอดไข่เจียวราดข้าวให้ทาน รอคุณพ่อมารับกลับบ้าน บ่อยครั้งมารับก็มืดค่ำแล้ว จริงๆ ก็มีผลกระทบต่อการเรียนของข้าพเจ้าด้วย เมื่อกลับถึงบ้าน ทำการบ้านก็ไม่เสร็จ นั่งหลับไปทำไปบ้าง คุณพ่อเมื่อกลับบ้าน บ่อยครั้งก็บอกว่าวันนี้ต้องไปอยู่เวรซึ่งไม่นอนที่บ้าน ตอนเช้าก็มารับพวกเราสายทำให้ไปโรงเรียนสาย ข้าพเจ้าก็ถูกทำโทษให้เก็บขยะบริเวณโรงเรียน การบ้านก็ไปลอกเพื่อน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่หย่าร้างกัน ข้าพเจ้ากับน้องชายถูกส่งให้ไปเรียนโรงเรียนกินนอนที่กรุงเทพฯ ผลการเรียนของข้าพเจ้าก็ต่ำมากๆ ตั้งแต่ก่อนย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว ได้ลำดับที่เกือบที่สุดท้าย แต่เรียนไม่ตกซ้ำชั้น ซึ่งคุณพ่อบอกว่าข้าพเจ้าคงเรียนต่อไปไม่ไหวแน่ๆ แต่คุณแม่เชื่อว่าลูกของแม่ต้องเรียนได้ หลังจากนั้นก็มีผู้มีพระคุณออกค่าใช้จ่ายด้านการเรียนให้ข้าพเจ้าและน้องชายเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย หลังจากจบข้าพเจ้าได้ไปทำงานที่อื่นอยู่หลายปี จนกระทั่งได้มาทำงานกับบริษัทรับวางระบบงานด้วยคอมพิวเตอร์และรับสอนคอมพิวเตอร์ จึงได้ประสบการณ์ด้านนี้ติดตัวมา จากนั้นคุณแม่พามาสมัครทำงานที่โรงพยาบาล ขณะนั้นผู้บริหารของโรงพยาบาลมีความคิดว่าจะนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในโรงพยาบาลพอดี ขอบคุณพระเจ้าและขอบคุณผู้บริหารที่ให้โอกาสข้าพเจ้าได้เข้ามาในสถาบันของพระเจ้า ข้าพเจ้าก็เริ่มมาทำงานที่โรงพยาบาล ปี พ.ศ.2537 ดีใจที่ได้มาเริ่มต้นวางระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเชื่อมโยงสายสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ โดยสมัยนั้นเรื่องคอมพิวเตอร์เรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหม่ของโรงพยาบาล ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสในการวางระบบงานและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เริ่มต้นสอนคอมพิวเตอร์พื้นฐานโดยเริ่มสอนให้กับหัวหน้าแผนกต่างๆ ก่อน จากตัวข้าพเจ้าซึ่งเป็นพนักงานแค่คนเดียวในแผนก ขณะนั้นเรียกว่าแผนกคอมพิวเตอร์ ผู้บริหารจึงให้มีการรับพนักงานเพิ่มเป็น 2 คน 3 คน หลังจากนั้นได้เริ่มลงระบบใหญ่ ในปลายปี  พ.ศ. 2538 จากที่โรงพยาบาลเริ่มใช้ระบบคอมพิวเตอร์ คือระบบ HIS มาช่วยในการทำงาน ก็มีโรงพยาบาลอื่นๆ เริ่มมาดูงาน ในส่วนของแพทย์นั้นข้าพเจ้าได้ปรับให้โปรแกรมสามารถใช้งานในห้องแพทย์ได้โดยโรงพยาบาลไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อโปรแกรมเพิ่ม ซึ่งทำให้แพทย์สามารถ Key สั่งยาเองจากห้องตรวจได้เป็นโรงพยาบาลแรกๆ ในช่วงนั้นโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนใหญ่ แพทย์ก็ยังไม่ได้เป็นผู้ Key สั่งยาเอง

จากเด็กที่เขาบอกว่าสติปัญญาค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถเรียนต่อไปได้แน่นอน แต่ขอบคุณพระเจ้าที่อยู่ด้วยเสมอ ให้เราได้รู้ว่าทางที่พระเจ้าวางแผนในชีวิตของเรานั้นเป็นทางใด การแบ่งปันครั้งนี้ อยากให้กำลังใจสำหรับผู้ที่ท้อถอย อาจถูกผู้อื่นดูถูกดูแคลน รู้สึกลำบากในชีวิต ซึ่งเรื่องราวที่เราเคยได้ยินจากบุคคลอีกหลายๆ คนที่ชีวิตดูเหมือนไปต่อไม่ได้ด้วยต้นทุนที่เกิดมาต่ำกว่าผู้อื่น สุดท้ายเขาก็พบทางที่ใช่ของตัวเอง อยากบอกว่า พระเจ้ามีแผนการสำหรับชีวิตของแต่ละคนไว้แล้ว ไม่มีอะไรยากสำหรับพระเจ้าหากเราเชื่อและเดินตามน้ำพระทัยของพระองค์

 

ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น