เติมเต็มความรักจากพระเจ้า
18 ตุลาคม 2565
เราเคยหรือไม่ที่มักตัดสินผู้อื่นว่า
เป็นคนบาป หรือเราเคยหรือไม่ที่ถูกผู้อื่นรังเกียจ ถูกผู้อื่นไม่ยอมรับ จนคิดว่าแล้วพระเจ้าจะรักเราหรือไม่
....
จากข้อคิดในเรื่อง
หญิงที่เคยทำบาปได้รับการยกโทษ ในพระธรรม ลูกา 7:36-50
ลูกา 7:36-50
36มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา
พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในบ้านของฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายที่โต๊ะอาหาร 37นี่แน่ะ
มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป
เมื่อรู้ว่าพระองค์กำลังเสวยอาหารอยู่ในบ้านของฟาริสีคนนั้น
นางจึงนำผอบน้ำมันหอมมา 38ยืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์
แล้วร้องไห้น้ำตานองเปียกพระบาท นางจึงใช้ผมเช็ด
จูบพระบาทของพระองค์แล้วเอาน้ำมันชโลม 39ฟาริสีคนที่เชิญพระองค์มาเมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า
“ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ
ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร
เพราะนางเป็นคนบาป” 40พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ เชิญพูดไปเถิด” 41พระองค์จึงตรัสว่า
“เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน
คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบ 42เมื่อเขาไม่สามารถใช้หนี้ได้ ท่านจึงยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น
คนไหนจะรักนายมากกว่า?” 43ซีโมนจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่นายยกหนี้ให้มาก” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
“ท่านตัดสินได้ถูกต้อง” 44พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูหญิงคนนั้น
แล้วตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้ใช่ไหม? เมื่อเราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา
แต่นางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเอาผมของนางเช็ด 45ท่านไม่ได้จูบเรา
แต่หญิงคนนี้ไม่ได้หยุดจูบเท้าของเราเลยนับตั้งแต่เราเข้ามา 46ท่านไม่ได้เอาน้ำมันมาชโลมศีรษะของเรา แต่นางเอาน้ำมันหอมมาชโลมเท้าของเรา
47เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปต่างๆ
ของนางซึ่งมีมากมายนั้นได้รับการยกโทษแล้วเพราะนางรักมาก
แต่คนที่ได้รับการยกโทษน้อยก็รักน้อย” 48พระองค์จึงตรัสกับนางว่า
“บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว” 49บรรดาคนที่ร่วมเอนกายที่โต๊ะอาหารด้วยก็พูดกันว่า “คนนี้เป็นใครกันถึงยกโทษบาปได้?”
50พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด”
ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก http://www.kamsonbkk.com/dailyreading/luke/2759-0072064 (เผยแพร่เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556)
พวกฟาริสีนั้นถือว่าเป็นผู้รอบรู้ในกฎต่างๆ
ของชาวยิว พวกเขาคิดว่ารู้กฎต่างๆเหล่านั้น และปฏิบัติได้ดีกว่าคนอื่นๆ บางครั้ง
พวกเขาใส่ข้อความบางอย่างในกฎซึ่งพระเจ้าไม่ได้ใส่เอาไว้
ทำให้กฎที่พวกเขาบัญญัติขึ้นยากเกินไปสำหรับคนทั่วๆ ไปที่จะทำตามได้
เพราะว่าพวกฟาริสีเป็นอาจารย์ดังนั้นผู้คนจึงพยายามทำตามสิ่งที่พวกเขาได้สั่งสอน ตัวอย่างเช่น
เมื่อพระเจ้าให้บัญญัติในบัญญัติสิบประการว่า
“ให้ระลึกถึงวันสะบาโตและถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์” พระเจ้าหมายความว่า
ให้ผู้คนที่จะพักผ่อน และนมัสการพระเจ้า แต่พวกฟาริสีทำให้มันยากขึ้นไปอีก
พวกเขาบอกว่า ในวันสะบาโตผู้คนไม่สามารถที่จะเดินมากกว่าจำนวนก้าวที่ถูกกำหนดเอาไว้
ถ้ามีใครที่เดินก้าวมากกว่านั้นถือว่าเป็นการทำงาน พวกฟาริสีไม่ชอบพระเยซูคริสต์
ก็เพราะพระเยซูคริสต์สอนว่าพระเจ้ามีเมตตา รัก และทรงให้อภัย
ผู้คนมากมายชอบในสิ่งที่พระเยซูได้สั่งสอน พวกเขาต้องการได้ยินเรื่องราว
เกี่ยวกับพระเจ้าจากพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น
ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ แทนที่จะใส่ใจกับพวกฟาริสี
พวกฟาริสีจึงไม่ชอบพระเยซูคริสต์
พวกเขาเริ่มหาวิธีที่จะแกล้งให้พระเยซูรู้สึกอับอาย โดยการตั้งคำถามให้พระเยซูตอบต่างๆ
นานา ซึ่งในพระคัมภีร์ตอนนี้ ซีโมนซึ่งเป็นฟาริสี
ได้เชิญพระเยซูคริสต์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเขา (ข้อ 36) ซึ่งสมัยนั้นบ้านของผู้มีอันจะกินมักมีลานบ้านที่เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่ตรงกลาง
หลังคาเปิด และมักมีสวนพร้อมกับน้ำพุอยู่บริเวณลานบ้านด้วย หากอากาศอบอุ่นพวกเขาจะกินเลี้ยงกันที่นี่
เมื่อมีอาจารย์มากินเลี้ยงที่บ้านระดับนี้
เป็นธรรมเนียมที่ชาวบ้านทุกคนมีสิทธิเข้ามาในบริเวณลานบ้านที่ใช้จัดงานเลี้ยง
เพื่อฟังปรีชาญาณที่หลั่งไหลออกมาจากปากของท่านอาจารย์ หญิงคนบาปสามารถเข้ามาอยู่ในงานเลี้ยงได้ก็เพราะเหตุนี้
ปกติเมื่อแขกรับเชิญมาถึงบ้าน มี 3 สิ่งที่เจ้าภาพพึงกระทำเพื่อต้อนรับและให้เกียรติแขกผู้มาเยือนคือ
1. วางมือบนไหล่ของแขกแล้วจูบคำนับ
การแสดงความเคารพเช่นนี้จะละเว้นมิได้เป็นอันขาดหากเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง
2. เนื่องจากถนนในปาเลสไตน์เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ซึ่งจะกลายเป็นโคลนตมเมื่อฝนตก
ทั้งรองเท้าที่สวมใส่มีลักษณะเปิดคล้ายรองเท้าแตะ
เจ้าภาพจึงต้องเตรียมน้ำเย็นไว้ล้างเท้าของแขกให้สะอาด
อีกทั้งเป็นการทำให้เท้าผ่อนคลายก่อนเชิญแขกเข้าบ้าน
3. เผากำยานหอม
หรือไม่ก็นำน้ำมันกุหลาบมาเจิมศีรษะของแขก
เป็นสิ่งที่ผู้มีมารยาทดีพึงกระทำ
แต่ซีโมนไม่ได้ทำเลย
ปกติชาวยิวไม่ได้นั่งรับประทานอาหาร
แต่จะเอนนอนโดยใช้ศอกข้างซ้ายหนุนเบาะ ปล่อยให้มือขวาว่างไว้หยิบอาหาร และปล่อยให้เท้าเหยียดไปด้านหลัง โดยไม่สวมรองเท้า
หญิงคนนี้จึงมาทางด้านหลัง ไม่ได้ผ่านมาทางโต๊ะอาหารเพื่อชโลมน้ำมันที่เท้าของพระเยซู
ผู้ที่เชิญพระเยซูมารับประทานอาหารร่วมกันกับเขา
อาจเป็นเพราะหวังจับผิด หรือต้องการเป็นที่สนใจแก่คนทั่วไป โดยเชิญผู้มีชื่อเสียงมาที่บ้านเพราะช่วงเวลานั้นมีแต่ผู้กล่าวถึงพระเยซู
หรือเขาอาจเคารพพระเยซูเพราะเรียกท่านว่าอาจารย์ แต่ก็กลับละเว้นธรรมเนียมปฏิบัติที่พึงกระทำต่ออาจารย์ผู้มีชื่อเสียงดังเช่นพระเยซู
เรื่องนี้ได้ให้ข้อคิดและหนุนใจอะไรเราบ้าง
พระคัมภีร์ตอนนี้ได้ย้ำกับเราว่า
พระเจ้ารักเราทุกคนในสถานภาพที่เราเป็น ไม่มีใครเลวเกินกว่าที่พระเจ้าจะรักได้ แม้ว่าในสายตาของเราว่าคนนี้เป็นคนไม่ดี
อย่าให้สายตาเราเป็นแบบฟาริสีที่คิดว่าคนเลวไม่ควรมาใกล้พระเจ้า ไม่สมควรได้รับความรักจากพระเจ้า
ไม่มีใครดี หรือเลวเกินไปที่จะไม่ได้รับความรักจากพระเจ้า
ในเรื่องนี้หญิงคนนี้เป็นหญิงโสเภณีซึ่งถูกเรียกว่าเป็นคนชั่ว (ข้อ 39) นางได้ยินเรื่องราวพระเยซูได้ยินคำเทศนาบ่อยๆ
แต่ไม่กล้าเข้าใกล้พระเยซู โดยพระคุณพระเจ้า นางเกิดความเชื่อและตัดสินใจกลับใจ
เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระวิญญาณแห่งความรักเข้ามาในจิตใจของนาง
พอรู้ว่าฟาริสีเชิญพระเยซูคริสต์มารับประทานอาหารที่บ้านจึงตามมา และเข้ามาหาพระเยซู
หญิงคนนี้เป็นคนบาป
และเป็นคนบาปหนักด้วยเพราะนางเป็นโสเภณีตามการตัดสินของคนเมืองนี้
นางเป็นหนึ่งในฝูงชนที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์
และตระหนักว่าพระองค์สามารถช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากวิถีชีวิตอันขื่นขมได้ และเช่นเดียวกับหญิงชาวยิวทุกคน
นางมีขวดหินขาวเล็ก ๆ บรรจุน้ำมันหอมเข้มข้น ราคาแพง แขวนไว้ที่คอ
นางตั้งใจจะชโลมพระบาทของพระองค์ด้วยน้ำมันหอมนี้เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดีที่สุดและมีค่ามากที่สุดเท่าที่นางมี แต่เมื่อเห็นพระองค์
น้ำตาของนางกลับไหลพรั่งพรูรดพระบาทของพระองค์ ! นางจึงใช้ผมที่สยายยาวของนางเช็ดพระบาทของพระองค์
สำหรับหญิงชาวยิว การสยายผมออกมาถือว่าไม่สุภาพอย่างยิ่ง หลังจากแต่งงานแล้ว หญิงชาวยิวจึงไม่ยอมปล่อยผมสยายออกมาให้ปรากฏเลย
การที่นางแก้มัดผมในที่สาธารณะเพื่อเช็ดพระบาทของพระองค์ แสดงให้เห็นว่า นางลืมคิดถึงทุกสิ่งและทุกคน
เว้นแต่พระเยซูคริสต์ เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นท่าทีของจิตใจคนที่แตกต่างกัน จากความคิดของซีโมนเองก็คือเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดีทั้งในสายตาของมนุษย์และของพระเจ้า เขาจึงไม่ต้องการพึ่งพาพระองค์ ไม่รักพระองค์
และที่สุดจึงไม่ได้รับการอภัยบาปจากพระองค์ ส่วนหญิงคนนี้สำนึกว่าตนเป็นคนบาปและต้องการพระเยซูคริสต์อย่างที่สุด
หัวใจของนางจึงเต็มล้นด้วยความรักต่อพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเหลือนางได้ และในที่สุดนางจึงได้รับการอภัยบาป
สิ่งหนึ่งซึ่งปิดกั้นมนุษย์จากพระเจ้าอย่างเด็ดขาดคือการคิดว่าตัวเองดี
แต่แท้จริงแล้ว "คนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป
รู้ตัวว่าอ่อนแอ ต้องการความเมตตาจากพระเจ้า และยอมพึ่งพาพระองค์นั้น
เป็นคนที่พระเจ้ายอมรับและเมตตา"
1ทิโมธี 1:15
“คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง
คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด
และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้”
นางเชื่อว่าชีวิตนี้มีค่า
พระเจ้าไม่ได้วัดคุณค่าของเราจาก อาชีพ ตำแหน่ง ทรัพย์สินเงินทอง จากสายตาของมนุษย์
เรามีค่าสำหรับพระเจ้าเสมอ พระเจ้ารักเราอย่างที่เราเป็น พระเจ้าไม่ชอบบาปของเรา ต้องการเปลี่ยนแปลงเรา
ให้เรากลับใจ เราอย่าตกลงไปในการทดลองแล้วขึ้นจากหลุมพลางนี้ไม่ได้
ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้เราออกจากบาป ไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างที่จะทำบาปอยู่ โดยคิดว่าเราเป็นคนบาปถึงอย่างไรพระเจ้าก็รักเราให้อภัยเสมอ
พระเจ้ารักเราแต่ไม่ได้ชอบบาปของเรา พระเจ้ารักเราอยากให้เราเป็นคนดี
ในสายตาพระเยซูที่เป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งส่งพระองค์มาตายเพื่อชำระบาปให้เรา เราจึงเป็นคนที่มีคุณค่า
ในสายตาทางศาสนา หรือสายตาฟาริสี นางเป็นคนผิดบาปแน่นอน แต่เมื่อนางพบพระเยซูจะได้รับการกลับใจ
มีชีวิตที่มีคุณค่า แต่หากนางพบฟาริสีนางจะถูกชี้ว่าบาป
โรม 5:5 “…เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา
โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว”
ความรักของพระเจ้าทำให้เราไม่รู้สึกขาด
ไม่ต้องการให้ความรักอื่นมาเติมเต็มให้กับเรา ทำให้เรารู้สึกไม่ขาดอะไรอีก
เราจึงมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักของพระเจ้า ความชื่นชมยินดี ทำให้เรามอบความรักต่อผู้อื่นได้
สำหรับตัวเราแล้ว
เรามีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าทุกเวลาหรือไม่ หรือมีบ้างบางเวลา
หรือยังขอเว้นระยะห่างจากพระเจ้าบ้าง หรือไม่