วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

 

16 กันยายน 2560

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

                                                                                     

          เราคงเคยพัดวันประกันพรุ่ง ข้าพเจ้าก็เช่นกัน ความจริงเราไม่เคยรู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีสำหรับเรามั๊ย พรุ่งนี้จะมาถึงเราหรือเปล่า

เมื่อพูดถึงการผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องที่ต้องทำ เราก็มักพูดว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำ พอวันถัดไปก็ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคิด มีเรื่องใหม่ๆขึ้นมาอีก ก็ พรุ่งนี้ก่อน จนอาจสะสมเป็น หนึ่งเรื่อง สองเรื่อง..... จนสะสมทำไม่ทันจริงๆ

 

สุภาษิต 27:1

อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่งๆจะนำอะไรมาให้บ้าง

 

พระคำพระเจ้าข้อนี้เตือนใจเราว่า อย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราวางแผนงานสำหรับอนาคต แต่เตือนให้เรารู้ว่าให้เราทำวันนี้ที่พระเจ้าประทานวัน เวลาให้ ให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด และดีที่สุด ใช่ว่าให้เรารอที่จะทำในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้อาจไม่มีสำหรับเราก็ได้ อย่าอวดเรื่องพรุ่งนี้ที่เราอาจไม่มีก็ได้

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างเด็กหนุ่มผู้กระตือรือร้นคนหนึ่งกับชายชราผู้ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน (คัดมาจาก saintjohnbkk.com วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2019)

เด็กหนุ่ม            ผมจะเรียนวิชาชีพ

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่ม            ผมจะเสี่ยงโชค

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่ม            ผมจะเก็บเงินเยอะๆ ไว้ใช้ยามเกษียณและแก่ชรา

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่ม            สักวัน ผมคงต้องตาย

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่มไม่มีคำตอบ ....!!

 

ลูกา 12:13-20 TH1971

มีผู้หนึ่งในหมู่คนทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอสั่งพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้กับข้าพเจ้า” แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “บุรุษเอ๋ย ใครได้ตั้งเราให้เป็นตุลาการ หรือเป็นผู้แบ่งมรดกให้ท่าน” แล้วพระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า “จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย” พระองค์จึงตรัสคำเปรียบข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เพราะว่าเราไม่มีที่ที่จะเก็บผลของเรา’ เขาจึงคิดว่า ‘เราจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของเราเสียและจะสร้างใหม่ให้โตขึ้น แล้วเราจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของเราไว้ที่นั่น แล้วเราจะว่าแก่จิตใจของเราว่า “จิตใจเอ๋ยเจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด’ ” แต่พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า’

            จากคำอุปมานี้ พระเยซูได้สอนว่า ทรัพย์สมบัติสิ่งของไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ความสำพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าสำคัญมากกว่า พระเยซูตรัสว่าชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งการสอนของพระเยซูไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เรามีการวางแผน การเตรียมตัวในชีวิต ในอนาคต แต่ไม่ให้เราละเลยในการช่วยเหลือผู้อื่น ให้เราเป็นคนมั่งคั่งในสายพระเนตรของพระเจ้า ให้มีชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและรับใช้ราชกิจของพระองค์ เศรษฐีในเรื่องนี้ตายเสียก่อนที่จะได้ใช้สิ่งของที่สะสมไว้ในยุ้งฉาง หากเราสะสมความมั่งคั่งเพียงเพื่อทำให้ตัวเองมั่งมี โดยไม่ห่วงใยช่วยเหลือผู้อื่น เราก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ด้วยมือเปล่า ไม่มีอะไรติดมือไปอวดพระเจ้าเลย

            และพระเยซูให้เรามองเห็นว่าเศรษฐีใช้ทรัพย์สมบัติของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงอนาคตในโลกหน้า เขามองแต่ว่าเก็บไว้ใช้ได้หลายปีเพื่อจะได้พักผ่อน กิน ดื่ม และสนุกสนาน มองแต่ในโลกนี้ และสะสมทรัพย์จนดูเหมือนว่านำขนไปใช้ในชีวิตหลังความตายได้

ชาวโรมันมีภาษิตสอนใจบทหนึ่งว่า เงินทองเปรียบเหมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งกระหายมาก ภาษิตนี้เป็นข้อคิดที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจนเลยว่า ยิ่งได้ทรัพย์สินเงินทองก็ยิ่งกระหายอยากได้มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดการเห็นแก่ตัวไม่ต้องการแบ่งปัน จะได้มาโดยวิธีที่เบียดเบียนผู้อื่นก็ได้ขอให้ได้มา และนำมาเก็บเป็นของตนเองอย่างเดียว

ยากอบ 4:13-17

นี่แน่ะท่านที่พูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น และจะอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และจะค้าขายได้กำไร” แต่ว่าท่านไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้ ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป แทนที่จะพูดเช่นนั้นท่านทั้งหลายควรจะพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” ตามความจริงท่านทั้งหลายโอ้อวดด้วยความทะนงตน การโอ้อวดทุกอย่างเช่นนี้เป็นความชั่ว เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป

เราชอบพูดว่า พรุ่งนี้ก่อน”   “ยังมีเวลาอีกมากมาย”    พรุ่งนี้ค่อยเชื่อพระเจ้า พรุ่งนี้ค่อยรักผู้อื่นวันนี้ฉันยังเจ็บใจเธออยู่ พรุ่งนี้ค่อยเอาจริงเอาจังกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ พรุ่งนี้ค่อยอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ พรุ่งนี้ค่อยถวายตัวและออกไปรับใช้พระเจ้า   พรุ่งนี้ก่อนนะ    แต่ว่าพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึงสักที หรือเราอาจจะไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้ก็ได้!

            ข้าพเจ้าขอนำข้อคิดจาก ส่วนหนึ่งของหนังสือ ฮาวาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก สอนวิธีคิด เล่มที่ 2 บทที่ 7 : บริหารเวลาให้เป็น

"แสงสว่างที่สาดส่องแต่ละตารางนิ้ว ล้วนทำให้เกิดชีวิตใหม่ได้เสมอ"

รู้ค่าเวลาทุกนาที ทุกวินาที เห็นคุณค่าของเวลาในวันนี้ เวลาคือสิ่งเดียวที่ไม่ควรใช้ให้หมดไปอย่างไร้ประโยชน์ การสูญเสียเวลาไปนั้นถือว่าเจ็บปวดที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการสูญเสียสิ่งอื่น ๆ เพราะเวลาทุกวินาทีนั้นมีค่ามาก เราจึงต้องลงมือทำในทันทีโดยไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง หากมีความคิดเช่นนี้ คิดอะไรก็รีบลงมือทำ อนาคตของเราจะยิ่งสดใสมากขึ้นแน่นอน

"เวลาก็เหมือนกับโจร เมื่อหายไปแล้ว จะไม่เหลืออะไรไว้อีกเลย"

จำนวน 93% ของคนที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง สุดท้ายแล้วมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ เพราะการผัดวันประกันพรุ่งทำให้ความกระตือรือร้นลดลง หากเราเห็นคุณค่าของมัน เราก็ใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ หากไม่เห็นความสำคัญของมัน มันก็จะผ่านไปแบบไม่มีวันหวนกลับมา และเมื่อรู้สึกตัวทุกอย่างก็สายไปแล้ว

"หากปล่อยเวลาให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ เวลาจะไม่รอคุณเช่นกัน"

การปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ คือความผิดอันใหญ่หลวง เราควรให้ความสำคัญกับเวลาเป็นอย่างยิ่ง ต้องเห็นคุณค่าของเวลาทุกวินาที เพราะเราไม่รู้เลยว่าเวลาจะไปจากเราเมื่อไหร่ หากบริหารเวลาไม่เป็นก็จะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งเวลาไม่เคยมีเพิ่มมากขึ้น แต่กลับน้อยลงเรื่อย ๆ

"พระเจ้ามักจะให้สิทธิ์แก่ผู้ที่บริหารเวลาเป็นก่อนเสมอ"

เวลาไม่เคยคอยใคร คนที่เห็นคุณค่าของเวลาเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ เราจะเห็นคุณค่าของเวลาหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่อยู่ที่การกระทำ คนที่เอาแต่พูดว่าจะเห็นคุณค่าของเวลานั้น สุดท้ายก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ จะเห็นได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เห็นคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง คนเราทุกคนต้องมีเป้าหมาย มีเส้นทางที่เลือกเดิน หลังจากนั้นก็ต้องเห็นความสำคัญของเวลาทุกวินาที เช่นนี้แล้วไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร ก็สามารถประสบความสำเร็จได้

"ให้ตัวเราเป็นตัวกำหนดวันเวลา อย่าปล่อยให้วันเวลาเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา"

จัดการเวลาอย่างเหมาะสม ก็เท่ากับเป็นการประหยัดเวลา เราทุกคนต้องให้ความสำคัญกับวันนี้โดยไม่อาลัยอาวรณ์กับเมื่อวาน และไม่คาดหวังกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว แล้วเราจะรู้จักคุณค่าของเวลามากกว่าเดิม

"ระวัง! อย่าปล่อยให้จอมโจรแห่งการเวลา ขโมยของมีค่าของเราไป"

คนที่เห็นคุณค่าของเวลา จะไม่เคยบ่นว่าเวลามีไม่พอ เวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่สำคัญดั่งชีวิต จึงต้องดูแลให้ดีเหมือนกับที่ดูแลร่างกายของตัวเอง หากเราไม่ดูแลร่างกายให้ดีจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา แต่หากไม่ดูแลเวลาให้ดี มันจะจากเราไปแบบไม่หวนกลับคืนมา

"ปล่อยเวลาให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย"

เวลา คือรากฐานสำคัญของความสำเร็จ เวลาจะมอบความเจ็บปวดให้กับคนที่เอาแต่เพ้อฝัน แต่จะมอบความสุขให้กับคนที่มีความคิดริเริ่ม บางทีอำนาจและความมั่งคั่งทำให้คนเราเกิดความเหลื่อมล้ำต่อกัน แต่โลกนี้ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ยุติธรรมกับทุกคนไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจนอย่างไร ทุกคนมีเหมือนกันหมด นั้นก็คือ เวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน เวลาสามารถทำให้ขอทานผู้ยากไร้และประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่มีความเท่าเทียมกัน แต่ในขณะเดียวกันเวลาคือสิ่งที่ไม่มีความยุติธรรมมากที่สุด และความไม่ยุติธรรมที่ว่านี้เกิดมาจากตัวเราเองทั้งสิ้น

 

            พระเจ้าประทานวันนี้ที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว เราจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อแผ่นดินของพระเจ้าหรือไม่ ดังพระวจนะของพระเจ้าใน มัทธิว 6:33 “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้


ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2563

บทเรียนจากช่างปั้นหม้อ

 

ปฐมกาล 2:7

          พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

 

เยเรมีย์ 18 : 1-12

บทเรียนจากช่างปั้นหม้อ

พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้ายังเยเรมีย์ว่า “จงลุกขึ้น ไปที่บ้านของช่างหม้อ เราจะให้เจ้าได้ยินถ้อยคำของเราที่นั่น” ข้าพเจ้าจึงลงไปที่บ้านของช่างหม้อ และเขากำลังทำงานอยู่ที่แป้นเวียน และภาชนะซึ่งทำด้วยดินก็เสียอยู่ในมือของช่างหม้อ เขาจึงปั้นใหม่ให้เป็นภาชนะอีกลูกหนึ่งตามที่ ช่างหม้อเห็นว่าควรทำ  แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า “ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อ ถ้าเวลาใดก็ตามเราประกาศ เกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมันเสีย และถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษ ซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสีย และถ้าเวลาใดก็ตาม เราได้ประกาศเกี่ยวกับประชาชาติ หนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างขึ้นและปลูกฝังไว้ และชาตินั้นได้กระทำชั่วในสายตาของเรา ไม่ฟังเสียงของเรา เราก็จะกลับใจจากความดีซึ่งเราตั้งใจ จะกระทำกับชาตินั้นเสีย 11เพราะฉะนั้น คราวนี้จึงกล่าวกับคนยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มว่า ‘พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังก่อสิ่งร้ายไว้สู้เจ้า และคิดแผนงานอย่างหนึ่งไว้สู้เจ้า ทุก ๆ คนจงกลับเสียจากทางชั่วของตน และจงซ่อมทางและการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย’  12แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า ‘เหลวไหล เราจะดำเนินตามแผนงานของเราเอง และต่างจะกระทำตามความดื้อดึงแห่งจิตใจชั่วของตนทุกคน’

            เยเรมีย์ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้ไปที่บ้านช่างปั้นหม้อ เพื่อจะสอนบทเรียนแก่คนยูดา เราจะเห็นว่า การปั้นหม้อของช่างปั้นหม้อนั้น ช่างปั้นจะใช้ดินเหนียว เวลาที่ช่างปั้นหม้อจะปั้นก็จะมีแบบในใจเสมอก่อนที่จะลงมือปั้น และมีสิทธิที่จะปั้นตามใจชอบของช่างปั้นหม้อ ในขณะที่ปั้นนั้นหากรูปแบบภาชนะนั้นเสียไป ช่างปั้นหม้อก็จะมีสิทธิที่จะทิ้ง หรือขึ้นรูปภาชนะใหม่ได้ มีสิทธิที่จะทิ้ง หรือขึ้นรูปภาชนะใหม่ได้ ซึ่งพระวจนะบอกเราว่ามนุษย์เหมือนดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้า ชนชาติอิสราเอลก็เป็นดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน พระเจ้าปั้นชีวิตของชาวอิสราเอล หรือชีวิตเรา และได้ตั้งพันธสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่า เค้าต้องมีพระเจ้าเป็นหนึ่ง และต้องเป็นชนชาติของพระเจ้าเท่านั้น แต่ชนชาติอิสราเอลปฏิเสธพระเจ้า เค้าเป็นเหมือนดินเหนียวที่ไม่ยอมให้พระเจ้าปั้น เมื่อไม่ยอมให้พระเจ้าปั้นมันจึงเสียไป เยเรมีย์ได้บอกกับชนชาติอิสราเอลว่า เมื่อเขาไม่ยอมให้พระเจ้าปั้น พระเจ้ามีสิทธิปั้นภาชนะใบใหม่ คือการเลือกชนชาติอื่น พระเจ้าให้โอกาสคนอิสราเอลกลับใจใหม่หลายครั้ง และหากเค้ากลับมาหาพระเจ้าและให้พระเจ้าเป็นหนึ่ง พระเจ้าก็จะยกโทษให้ จากในข้อ 11 11เพราะฉะนั้น คราวนี้จึงกล่าวกับคนยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มว่า ‘พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังก่อสิ่งร้ายไว้สู้เจ้า และคิดแผนงานอย่างหนึ่งไว้สู้เจ้า ทุก ๆ คนจงกลับเสียจากทางชั่วของตน และจงซ่อมทางและการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย’  แต่คนยูดาห์ไม่ยอมกลับใจใหม่ ดังที่เค้าได้ตอบในข้อ 1212แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า ‘เหลวไหล เราจะดำเนินตามแผนงานของเราเอง และต่างจะกระทำตามความดื้อดึงแห่งจิตใจชั่วของตนทุกคน’   เมื่อพระเจ้าให้โอกาสแต่เค้าปฏิเสธโอกาสนั้นก็หมดลง ท้ายที่สุดชนชาติก็แตกสลาย

ในหลายครั้งเราก็เหมือนกับชนชาติอิสราเอล ที่ไม่ยอมให้ผู้ปั้นปั้นชีวิตเรา เราพยายามพึ่งพาตัวเอง และคิดว่าจะปั้นแต่งตัวเองขึ้นมาได้ แต่ความจริงแล้ว เราเป็นดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราต้องยอมให้ผู้ปั้นเป็นผู้ปั้นแต่งชีวิตเรา เราจะกลายเป็นภาชนะที่สวยงาม แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเพราะกว่าจะเป็นภาชนะที่สวยงาม เราต้องถูกปั้น ถูกเจียร์ ยิ่งหากผู้ปั้นต้องการลวดลายที่สวยงาม ก็จะยิ่งใช้แรงบีบอัด และใช้สันแข็งๆ มาทำเป็นลวดลาย หากดินนั้นแข็งก็จะยิ่งปั้นยาก คือหากเราเป็นดินที่แข็งผู้ปั้นก็ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น (ดินที่แข็งเกิดด้วยสาเหตุหลายๆ อย่าง เช่น ชนิดของดิน หรือไม่ยอมให้ช่างปั้นปั้นแต่โดยดีใช้เวลานานจนดินแข็ง)

ในฐานะที่เราเป็นดินเหนียวในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราต้องยอมจำนน ให้พระเจ้าเป็นหนึ่ง เชื่อและวางใจว่าพระเจ้าเป็นช่างปั้นที่วิเศษที่สุด เป็นผู้ที่จะปั้นชีวิตเราให้สวยงามและใช้การได้ ขอเรายอมจำนน เชื่อและวางใจ และต้องรู้ว่า เราไม่สามารถที่จะพึ่งพาตัวเองได้แม้การต้องยอมจำนน เราก็ต้องอธิษฐานขอจากพระเจ้าให้เรามีใจถ่อม ยอมจำนน บางครั้งพระเจ้าอาจกำลังเจียระไนชีวิตเรา ซึ่งหลายครั้งอาจเกิดความเจ็บปวดจากแรงกด แรงบีบอัด อาจมีหินติดเข้ามาในดินเหนียวที่กำลังขึ้นรูปอย่างสวยงาม ก็เกิดเสียรูปไป ผู้ปั้นต้องหยิบหรือแกะหินนั้นออก ภาชนะที่กำลังจะสวยก็เสียไป ต้องผสมดินและปั้นกันใหม่ จึงทำให้ระยะเวลานั้นแสนยาวนาน ทำให้เราหลงทางและหันกลับไปพึ่งพาตนเองหรือสิ่งอื่น (หินที่ติดมาในดินเหนียวเปรียบเสมือนหินที่เราสะดุดได้ในแต่ละวัน จากหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวซึ่งเราต้องเอาออกอย่าปล่อยเอาไว้จนเหยียบแล้วเจ็บ หรือสะดุดอยู่ตลอดเวลา)

แต่ขอให้เราเชื่อและวางใจผู้ปั้นที่วิเศษผู้นี้ ยอมจำนนให้ผู้ปั้นปั้นเราตามที่ชอบพอพระทัย เป็นภาชนะที่สวยงามและใช้การได้เร็ววันขึ้น  โดยพระคุณพระเจ้านั้น พระองค์ไม่เคยล้มเลิกที่จะสร้างเราต่อจนกว่าจะได้แบบที่พระองค์พอพระทัย ถึงแม้ว่าเราจะดื้อดึง

 

ขอเรายอมให้พระองค์ปั้นเราให้เป็นภาชนะที่ทั้งสวยงาม และใช้การได้

 

ข้อคิด : เราอยากเป็นภาชนะที่ทั้งสวยงาม และใช้การได้หรือไม่ ?                                    19/8/63


ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า

การจัดเวลาเพื่อพัก

 

17 กรกฎาคม 2020

การจัดเวลาเพื่อพัก

 

มัทธิว 11:28-30

            บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข

            จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก

            ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา

           

หลายครั้งที่เราสะสมความเหนื่อยล้า จนอาจจะไม่อยากทำอะไร ในขณะที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้น บทใคร่ครวญประจำวันใน  YouVersion Application เรื่องการจัดเวลาเพื่อพัก ก็ขึ้นมาให้ข้าพเจ้าเลือกใช้ในการใคร่ครวญ 5 วัน ที่ผ่านมา เช้านี้ข้าพเจ้าจึงขอนำบทใคร่ครวญนี้มาแบ่งปันสำหรับเป็นข้อคิด หนุนใจ หากท่านใดเคยนำบทใคร่ครวญนี้มาเพื่อเฝ้าเดี่ยวประจำวันแล้ว ก็ขอเป็นการใคร่ครวญร่วมกันอีกสักครั้ง

 

สรุปจากบทใคร่ครวญประจำวัน เรื่อง การจัดเวลาเพื่อพัก ใน YouVersion Application

การพักคืออะไร ?

            ดูเหมือนว่าตารางชีวิตของเราจะมีแต่แน่นขึ้นในแต่ละเดือนที่ผ่านมา เมื่อเราพยายามหาเวลาเจอเพื่อนๆ เราต้องตกใจเมื่อพบว่ากว่าจะว่างอีกทีก็เลยเดือนหน้าไปแล้ว ชีวิตเต็มไปด้วยกิจกรรมของลูกๆ งานของโบสถ์ โปรเจคที่ทำงาน งานวันเกิดคนนั้นคนนี้ และยังมีทริปพักร้อนอีก เราวางโปรแกรมและกำหนดแผนชีวิตทั้งหมดโดยไม่ได้เว้นที่ว่างให้กับอะไรที่จะช่วยฟื้นคืนกำลังหรือหยุดพักเลย

            บ่อยครั้งที่เรามักคิดว่าการพักคือการทำตัวเกียจคร้านหรือการนอนเล่นอยู่บ้านโดยไม่ทำอะไรเลย จริง ๆ แล้วช่วงเวลาพักผ่อนของเราส่วนหนึ่งก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด

 

 

 

1.      การพักคือการฟื้นตัว

            คือการตระหนักรู้ว่าเมื่อไหร่เรากำลังเหือดแห้ง หมดพลัง และต้องการสูดหายใจลึกๆ สักพัก คือการตระหนักถึงข้อจำกัดของตัวเอง และวิธีที่เรารับมือกับภารกิจประจำวันต่าง ๆ ร่างกายของเราจะฟื้นตัวได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราได้พักผ่อนอย่างสมบูรณ์เพียงพอ ซึ่งหมายถึงการนอนหลับให้สนิทในตอนกลางคืน หากเรารู้สึกอ่อนเพลียอยู่เป็นประจำก็ควรประเมินดูว่านอกจากชั่วโมงการนอนแล้ว เราเลือกนอนในช่วงเวลาที่ถูกต้องด้วยหรือไม่

 

2.      การพักคือการปลุกความสดชื่น

            คือการเรียนรู้ว่าอะไรทำให้เรากระชุ่มกระชวยและอะไรทำให้เราห่อเหี่ยว คือการเลือกทำกิจกรรมที่ปลุกจิตวิญญาณให้สดชื่น ซึ่งอาจเป็นการนิ่งสงบก็ได้เช่นกัน หากเราทำแต่กิจกรรมที่ดูดพลัง ความสดชื่นก็ไม่มีทางกลับมา ทั้งที่จริง ๆ แล้วเราควรมองหาสิ่งที่เติมพลังมากว่า หากเปรียบความสดชื่นเป็นถังหนึ่งใบ ในช่วงเวลาของการพักเราควรเลือกการเติมถังนี้ให้เต็ม มากกว่าการสูบออกจากถังจนหมด

 

3.      การพักคือการสร้างใหม่

คือการรับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากเบื้องลึกในทุก ๆ ส่วนของชีวิต คือการใช้เวลากับพระเจ้าเพื่อให้จิตวิญญาณของเราได้รับการสร้างใหม่ อาจมีกิจกรรมที่เราชอบหลายอย่างที่ทำให้จิตใจสดชื่นได้ แต่ท้ายที่สุดเราต้องการสดชื่นในระดับจิตวิญญาณ ซึ่งพบได้จากการใช้เวลากับพระเจ้าในแต่ละวัน

            จากประสบการณ์ของตัวเอง กับคนรอบข้างที่พูดคุยแบ่งปันกัน คือ เหมือนร่างอยากพัก หลังจากพักแล้วจิตใจก็สดชื่น เหมือนได้เติมเต็ม แต่เมื่อกลับมาสู่สภาวะปกติ ความสดชื่นก็หดหายอีก

 

จัดเวลาเพื่อพักอย่างไร

 

1.      ใคร่ครวญ

            การใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า ริค วอร์เรน ได้กล่าวไว้ว่า เชื่อไหมครับ ถ้าคุณกังวลเป็น คุณก็จะรู้แล้วว่าจะใคร่ครวญพระคำได้อย่างไร การกังวลคือการจดจ่อไปที่ความคิดลบและนึกถึงมันซ้ำไปซ้ำมา แต่หากคุณเปลี่ยนเป็นจดจ่อที่พระคำพระเจ้าสักตอนหนึ่งและคิดถึงมันซ้ำไปซ้ำมา นั่นแหละคือการใคร่ครวญ

            พระคัมภีร์กล่าวถึงการใคร่ครวญไว้มากกว่า 20 ครั้ง และได้เรียกให้เราใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า การฝึกใคร่ครวญพระคำเป็นประจำทุกวันมีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะช่วยให้เราได้พักทั้งความคิดและอารมณ์ ความรู้สึก และยังช่วยให้จิตวิญญาณเติบโต

            ในขณะที่เราใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ในแต่ละวัน ให้เรามองให้ลึกเข้าไปในเนื้อหาและสนทนากับพระเจ้าในเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น

            ขณะที่เราใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า จิตใจของเราจะได้รับการฟื้นฟูและเราจะพบกับการพักสงบที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ ดังเช่นข้อพระคัมภีร์ข้างต้น มัทธิว 11:28-30 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา แต่ละคนอาจได้รับเสียง ความรู้สึกที่เกิดภายในจิตวิญญาณที่ต่างกัน แต่สิ่งที่ได้รับเหมือนกันคือสันติสุข และคำตอบ

 

2.      ฟื้นฟูจิตใจด้วยการจดบันทึก

คุณครุ่นคิดถึงอะไรสิ่งนั้นก็จะเติบโต อย่าจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณเผชิญอยู่ จงจดจ่อไปที่สิ่งที่คุณกำลังจะทำ - ดร. แคโรไลน์ ลีฟ

            การจดบันทึกประจำวันช่วยให้เราสามารถมองย้อนกลับไปเพื่อดูความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณที่เราได้ทำและวิธีการใหม่ๆ ที่พระเจ้าทรงตรัสกับเราในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งการจดบันทึกที่ในบทใคร่ควรญนี้ได้แนะนำคือ ทำแบบง่ายๆ เขียนเพียงสองสามบรรทัดจากความเข้าใจที่เราอ่านพระคัมภีร์ จากความคิด หรือคำอธิษฐานของเรา โดยที่ได้เลือกข้อพระคัมภีร์ อ่านซ้ำ เขียนลงไป ทูลขอความเข้าใจ การเขียนไม่ได้มีผิดมีถูก การเขียนทำให้เราสามารถย้อนกลับไปดูความก้าวหน้าทางด้านจิตวิญญาณของเราได้

            เราจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจน และมีมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับวิธีที่พระวจนะของพระเจ้าประยุกต์ใช้กับชีวิตของเรา และฟื้นฟูเราจากภายในสู่ภายนอก และเมื่อจิตใจของเราได้รับการฟื้นฟูแล้ว เราจึงได้รับการฟักผ่อนที่ไม่สามารถหาได้จากที่ใด ๆ ทางโลก

 

3.      ตัดขาดจากสิ่งรบกวน

            หนึ่งในคำนิยามของการพักก็คือ การเป็นอิสระจากความกังวลและการรบกวน ชีวิตในโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่พร้อมจะรบกวนการพักของเราและทำให้เรากังวล สิ่งเหล่านั้นอาจจะน่าสนุกชั่วครู่ ชั่วคราว และมองเผินๆ ก็เหมือนจะทำให้เราสดชื่นได้ แต่ในท้ายที่สุดเรากลับหมดพลังและไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

            ผู้คนมากมายต่างออกมาพูดถึงวิธีต่าง ๆ ในการปลีกตัวจากโลกที่ทุกสิ่งเชื่อมต่อกันไปหมด มีทั้งหนังสือ บทความ พ็อดแคสท์ Youtube Facebook และข้อเขียนมากมายที่ออกมาบอกถึงขั้นตอนต่าง ๆ ในการเอาชนะบรรดาสิ่งรบกวน แต่ละคนไม่ได้เสียสมาธิ เป็นทุกข์ กังวล เพราะเรื่องเดียวกันทั้งหมด อะไรที่รบกวนคนๆ หนึ่งอาจจะไม่มีผลกระทบอะไรกับอีกคนหนึ่งเลยก็ได้

            หนึ่งในคำนิยามของการพักก็คือ การเป็นอิสระจากการกังวลและการรบกวน ชีวิตในโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่พร้อมจะรบกวนการพักของเราและทำให้เรากังวล สิ่งเหล่านี้อาจจะน่าสนุกชั่วคราว และมองเผิน ๆ ก็เหมือนจะทำให้เราสดชื่นได้ แต่ในท้ายที่สุดเรากลับหมดพลังและไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

            เราต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่รบกวนเรา ไม่ว่าอะไรจะเป็นปัจจัยที่ขโมยสันติสุขและการพักผ่อนไปจากเราก็ตาม เราจำเป็นต้องกำหนดขอบเขต เช่น ไม่จดจ่อกับสิ่งที่ไขว้เขวไปตามความกังวลที่โลกหยิบยื่นให้

 

4.      เติมเต็มเพื่อเทออก

            เหตุผลที่เราจำเป็นต้องพักก็เพราะเราต้องทำงานหรือใช้พลังงานอยู่เสมอ และการที่เราเรียนรู้ที่จะพัก หรือการที่เรารู้สึกว่าได้พัก ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะอยู่ในสภาวะนั้นไปได้ตลอด

            ประเด็นสำคัญไม่ใช่การหยุดพักเพียงเพื่อให้ได้พัก แต่การพักเป็นไปเพื่อให้เรากลับไปทำงานต่อได้ การทำงานและการพักผ่อนเป็นเหมือนกระแสน้ำที่ผลัดกันขึ้นลง เป็นภาพของการรับการเติมให้เต็มเพื่อจะมีพอให้เทออก

            การใคร่ครวญพระคำพระเจ้า ตัดขาดสิ่งรบกวนต่าง ๆ หากเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ทุกวันเราก็ย่อมได้พัก ร่างกายต้องการนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละคืนอย่างไร จิตวิญญาณก็ต้องการพักผ่อนไม่ต่างกัน เราคาดหวังให้จิตวิญญาณเข้มแข็ง สดชื่น โดยไม่ลงทุนอะไรเลยไม่ได้ เราไม่ควรคาดว่าการพักร้อนแค่หนึ่งสัปดาห์จะช่วยเราทำงานไม่หยุดไปได้เป็นเดือนๆ เราต้องเติมถังแห่งการพักเป็นประจำทุกวัน เพื่อจะมีแรงยืนหยัด และเราต้องคอยระวังเมื่อใดที่ถังของเราถูกสูบออกมากจนเกินไป

            ในหนังสือ นำอย่างว่างเปล่า: เติมเต็มถัง คืนพลังให้ฝัน เวย์น คอร์เดย์โร ผู้เขียนและศิษยาภิบาลได้เล่าถึงเรื่องที่เขาเคยฝัน หญิงส่วนคนหนึ่งมาหาชาวสวนที่ฟาร์มและขอซื้อของที่ชาวสวนไม่มีให้ ชาวสวนกล่าวว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะครับ เดี๋ยวผมจะมีมากกว่านี้หญิงสาวคนนั้นไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ชาวสวนทำงานของเขาต่อไป ทุก ๆ วันจะมีคนมาหาเขาที่ฟาร์ม และเมื่อใดที่เขาไม่มีไข่หรืนมเหลือ เขาก็จะเพียงบอกคนเหล่านั้นว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะครับ เดี๋ยวผมจะมีมากกว่านี้ศิษยาภิบาลคอร์เดย์โรเล่าถึงมุมมองใหม่ที่เขาค้นพบหลังจากความฝันนี้ว่า

            ผมไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปผูกกับวงจรความคาดหวังที่เกินจริงและใจร้ายใจดำ ที่บอกให้ผมต้องผลิตให้มากขึ้น ทำให้มากขึ้น หรือต้องได้มากกว่าสัปดาห์ก่อน ในหนึ่งวันผมก็มีเวลาอยู่เท่านั้น และผมอยากจะทุ่มเทใจทั้งหมดให้กับสิ่งที่ผมเลือกทำ เมื่อหมดวัน ผมก็จะแค่บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะครับ เดี๋ยวผมจะมีมากกว่านี้

            ทุก ๆ เช้า เราตื่นขึ้นพร้อมกับพลังความคิด อารมณ์ และร่างกายในระดับหนึ่ง และเมื่อเราเททุกสิ่งที่เรามีออกไปจนหมด เราก็ต้องพัก ซึ่งการที่เราอยู่ในสภาวะว่างเปล่าเช่นนี้ยังทำให้พระเจ้าทำงานในชีวิตเราได้มากขึ้นอีกด้วย

 

ข้อคิด

          เราคิดว่าชีวิตของเราส่วนไหนต้องการพักมากที่สุด ร่างกาย จิตใจ หรือจิตวิญญาณ? กันแน่

 

โยชูวา 1:8

อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้น ทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี

 

ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า