มิถุนายน 2016
หนุนใจในการทำดี
ยอห์น 15:16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา
แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล
และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา
พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
เมื่อตื่นเช้าลุกขึ้นมา
เรามีความรู้สึกแรกคือ? ความคิดแรกที่เข้ามาก่อน? จะเป็นการขอบคุณพระเจ้า หรือนึกถึงเช้าวันใหม่ที่ดีๆ
หรือนึกถึงงานที่หนักและเหนื่อยที่รอเราอยู่
นึกถึงคนที่เรารักหรือนึกถึงพระเจ้า
มีใครคิดว่า
งานคือกำไร สุภาษิต 14:23 มีกำไรอยู่ในงานทุกอย่าง
การเพียงแต่พูดนั้นโน้มไปทางความขาดแคลน มีใครคิดว่า “งานเข้า” ซึ่งเป็นทัศนคติแง่ลบที่มีต่องาน
ทุกชีวิตมีงานที่ต้องทำให้สำเร็จทั้งสิ้น
จาก บทเพลงที่ 251
กิจการพระเจ้าได้เริ่มต้นไว้นั้น ข้าพเจ้านึกถึงคำเทศนาที่ได้ฟังของคำว่าสำเร็จ
คำว่า
ความสำเร็จ บางครั้งเรามองจากความคิด ความคาดหวังของเรา เมื่อไม่เป็นไปตามคาดหวัง
ก็ถือว่าไม่สำเร็จ บางครั้งเรามองไปที่คนอื่น แล้วเราเห็นว่าเราไม่ได้ดีตามมาตรฐานโลกที่ใช้วัด
เราก็ท้อ น้อยเนื้อต่ำใจ หรือบางครั้งเรามองว่าคนอื่นต่ำต้อยกว่าเรา
เราก็ถือว่าเขาไม่ประสบผลสำเร็จ ความจริงแล้ว เขาอาจจะสำเร็จแล้วก็ได้ ไม่ว่างานในระดับใดก็ตาม
ต้องมีเป้าหมาย ต้องมีวัตถุประสงค์
มัทธิว 11:28 ,29-30
บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา
และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อย เป็นสุข
จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา
เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ
และภาระของเราก็เบา
ขออนุญาตพูดเรื่องของแอกต่อจากคุณหมอจ๋า
ที่ได้กล่าวไว้แล้ว
ฟิลิป บรูคส์ (Philips Brooks) นักประพันธ์ชื่อดัง กล่าวว่า…
“I do not pray for a lighter load, but for a
stronger back.”
(ผมไม่ได้ทูลขอภาระที่เบาลง
แต่ทูลขอหลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม!)
ข้าพเจ้าคิดว่า
การขอภาระให้เบาลง ก็เหมือนกับการปฏิเสธการงานที่พระเจ้ามอบหมายให้ทำเช่นกัน
เพราะหน้าที่ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้เราทำนั้น ก็เหมาะสมกับแต่ละคน
เนื่องด้วยพระเจ้าได้ประทานของประทานที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เราใช้ของประทานนั้นเสริมสร้างชีวิตซึ่งกันและกัน
(ในพระธรรม 1 โครินธ์ 12) ให้การงานของพระเจ้านั้นสำเร็จ
ไม่ใช่ให้เรานั้นสำเร็จตามความคิดของเราแต่ละคนเอง จึงมอบการงานที่เหมาะสมกับแต่ละคน
คนเรานั้นต่างความคิด ต่างความเข้าใจ ต่างความสามารถ
แต่เราสามารถรับใช้พระเจ้าร่วมกันได้เป็นอย่างดี
เพราะเราอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเจ้า ซึ่งบางครั้งเราก็เหนื่อยจริงๆ หากเรายึดความคิดที่เป็นตัวเรา
เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลาง รับแบกอยู่คนเดียว ไม่พึงพาพระเจ้า เหมือนการไม่ไว้ใจ
ในพระธรรม สุภาษิต 3:5-6 “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”
เค้าบอกว่า
พระคัมภีร์ ก็เปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนตัวเราเอง ว่าเราเป็นอย่างไร
และเราจะปฏิบัติตัวอย่างไร
“แอก” คืออะไร? สำหรับคนไทย “แอก” คือ “ไม้วางขวางบนคอวัว
หรือควาย ใช้ไถนา” (โดยปกติมักมีความหมายในเชิงลบ
เช่น หมายถึง อำนาจไม่เป็นธรรมที่กดขี่อยู่!)
แต่ในพระคัมภีร์ “แอก” มักจะใช้เป็นภาพของไม้วางขวางคล้องบนคอของสัตว์
2 ตัว (เช่นวัว, ไม่ใช่ตัวเดียว) เพื่อเอาไว้ใช้ลากของหนัก
ๆ หรือไถนา (ยรม.27:2;ฉธบ.21:3;1ซมอ.6:7;11:5;1พกษ.19:19) มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า
ต่างก็ยอมตัวให้แก่กันและกัน (2คร.6:14;ฟป.4:3;1ทธ.6:1;มธ.11:29)
คำภาษาอังกฤษของคำว่า “แอก”(Yoke)
นี้มาจากคำที่มีรากศัพท์ มีความหมายว่า “ร่วม(กัน)” (join) โดยทั่วไป “แอก” จึงเป็นสัญลักษณ์ของ “ความยากลำบาก, การต้องรับใช้ หรือการยอมจำนน”
เราต้องนำเอา “ภาระหนัก” หรือ “ความยากลำบาก” ทั้งหลายทั้งปวงของเรามาหาองค์พระเยซูคริสต์ด้วย
นอกจากแอกเป็นสัญลักษณ์ของ งานหนัก
และงานต่ำต้อยแล้ว แอกยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วม การสมัครสมานสามัคคี
การร่วมแรงร่วมใจ ดังเช่นในการขนย้ายสิ่งของนั้น
เราอาจจะเห็นว่าบางครั้งก็ใช้วัวหรือควายเพียงตัวเดียวในการลากเกวียน
แต่บางครั้งก็ใช้วัวหรือควายมากกว่านั้น เพื่อให้สามารถทำงานที่หนักขึ้น
แอกเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้วัวหรือควายแต่ละตัวได้มีส่วนร่วมในการแบกรับภาระงานนั้น
การรับแอกนั้น บางครั้งเราไม่ได้รับเพียงผู้เดียว แต่มีพี่น้องคนอื่นๆได้รับด้วย
เพื่อเราจะร่วมมือกันในการทำงาน สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือ
การที่ผู้เข้าร่วมเทียมแอกจะมีทิศทางหรือเป้าประสงค์เดียวกัน
ในพระธรรม อิสยาห์
43:2 ได้หนุนใจเราว่า เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ
เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้
และเปลวเพลงจะไม่เผาพลาญเจ้า
“พระเจ้าตรัสว่า
เพราะเรารู้แผนงานของเจ้าที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ
ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะได้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา
และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า
เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” - เยรามีย์ 29:11-13-
ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปัน
จากคำเทศนาในคริสตจักรที่หนึ่ง อาจารย์หญิง ได้บอกไว้ว่า “ไม่ว่าเราจะรับหน้าที่อยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังก็ตาม
เราก็ทำงานถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้” เราต้องมุ่งสู่เป้าหมายได้
ไม่ทำให้สิ่งใดมาทำให้เราไขว้เขว ในนิยามของคำว่าสำเร็จในแบบพระเยซูคริสต์
เป้าหมายของพระเยซูคือ การถวายเกียรติแด่พระเจ้า คนเราคาดหวังความสำเร็จไว้ต่างๆ
นาๆ ไม่เหมือนกัน พอไม่สำเร็จตามที่หวังไว้ ก็ถือว่าไม่สำเร็จ หากมองแบบมนุษย์
พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน เหมือนกับว่าชีวิตพระองค์ล้มเหลว แต่พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” พระเยซูได้มอบหมายให้ผู้เชื่อสืบทอดเป้าหมาย
เราล้วนมีเวลาจำกัด แต่ความสำเร็จของเราไม่จำกัด เราสามารถสืบทอดให้ผู้อื่น
ส่งต่อหน้าที่นั้นให้ผู้อื่น คือ คนรับช่วงต่อ (Successor) Successor มีรากศัพท์มาจาก Success เมื่อเวลาเราหมดลง อย่าเห็นว่าหมดคุณค่า จงภูมิใจว่า
ได้ส่งต่อให้ผู้อื่น
ขอฝากข้อคิดที่ได้มีผู้กล่าวว่า
“ชีวิตเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้เรา
แต่การดำเนินชีวิต เป็นของขวัญที่เรามอบถวายแด่พระเจ้า”