วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การรับใช้ที่เกิดผล


ยอห์น 12:26
ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
เอเฟซัส 4:11-12
ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
ในพระธรรมข้อนี้ หมายความว่า เราได้รับของประทานจากพระเจ้าที่แตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างคริสตจักรขึ้น เมื่อเรามีของประทานเหล่านี้ ควรฝึกฝนใช้ของพระทานที่พระเจ้าประทาน จงมองหาโอกาสที่จะปรนนิบัติ
            ผู้รับใช้ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่เป็น ครูสอนศาสนา ศบ. ศจ. แต่เราทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เพียงแต่เราไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้รับใช้ ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งผู้รับใช้ จะเป็นผู้เตรียมผู้อื่นให้พร้อม
ซึ่งไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ก็ตาม ที่ทำถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถือเป็นสิ่งดี และ การทำสิ่งที่เป็นนิรันดร์ คือการคิดว่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างไร การทำสิ่งที่เป็นนิรันดร์ คือที่มีผลตลอดไป ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้คิดถึงว่ามีผลกระทบต่อชีวิตผู้คนตลอดไปอย่างไร ต้องเป็นทางบวก

มัทธิว 25:40
เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเรา

โรม 12
พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
เพราะว่า ในร่างกายอันเดียวนั้น เรามีอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะนั้นๆ มิได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด
พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น
และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือ ถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อ
ถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน
ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี
จงรักด้วยใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี
จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว
อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน
จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี
จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้พร อย่าแช่งด่าเลย
จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้
จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าใฝ่สูง แต่จงถ่อมใจลงยอมทำการต่ำ
อย่าถือว่าตัวฉลาด
อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี
ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง
อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา
อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี

ยอห์น 12:26
ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
หลายคนเชื่อว่าพระเยซูมาเพื่อช่วยชาวยิวเท่านั้น พระเยซูยินดีต้อนรับทุกคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ข่าวประเสริฐของพระองค์มีเพื่อคนทุกคน เราต้องนำข่าวประเสริฐไปสู่ชนทุกชาติ
พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการรับใช้ เพราะแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และสมควรกับคำสรรเสริญทั้งปวง แต่พระองค์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่พระองค์ถ่อมพระทัยลงมาจากฟ้าสวรรค์เพื่อปรนนิบัติมนุษย์ พระองค์ไม่ถือตัว อ่อนโยน มีความรัก ความห่วงใยมนุษย์อย่างมาก เมื่อเขาเจ็บป่วย พระองค์ก็รักษา พระองค์ไม่ประสงค์ให้ใครสักคนหนึ่งไร้ที่พึ่ง และถูกรังควาน
มาระโก 10:42-45
พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก
พระธรรมตอนนี้ เป็นตอนที่พระเยซูกำลังจะเดินทางไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และพระองค์ได้บอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะถูกจับและปรับโทษถึงตาย (มก.10:32-33 , มธ.20:17-19,ลก.18:31-33) เพื่อสำเร็จตามคำพยากรณ์ ยอห์นและยากอบไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูคริสต์พยายามอธิบาย โดยคิดว่าพระเยซูไปที่กรุงเยรูซาเล็มและพระองค์จะเต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นองค์กษัตริย์ ปกครองแผ่นดิน พวกเขาจึงขอให้ได้นั่งครอบครองร่วมกับพระองค์ (37-38) ซึ่งสะท้อนการทะเยอทะยานแบบมนุษย์ แท้จริงพระเยซูต้องการสอนพวกเขาให้เข้าใจแผนการของพระองค์ที่จะไปที่กรุงเยรูซาเล็มว่า พระองค์ไปในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า ที่ยอมเชื่อฟังจนถึงการมรณาที่กางเขน พระองค์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่พระองค์มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตพระองค์เองเพื่อเป็นค่าไถ่ให้กับทุกคน
พระเยซูไม่ได้เยาะเย้ยคำขอของยากอบและยอห์น แต่พระองค์ไม่ได้ให้ตามที่เขาขอ เราสามารถทูลขอจากพระเจ้าได้อย่างเสรี แต่พระเจ้าอาจจะไม่ให้อย่างที่เราขอ พระเจ้าทรงต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราอยากได้ พระองค์ไม่ให้บางสิ่งที่เราทูลขอก็เพื่อผลดีแก่เราเอง
ไม่ใช่ว่า ผู้รับใช้พระเจ้าจะต้องเป็นคนดีพร้อมจึงจะรับใช้พระเจ้าได้ ไม่มีสาวกของพระเยซูคนใดเลยที่เป็นคนดีพร้อมแล้วจึงมารับใช้ พระเจ้าไม่เคยเรียกคนดีพร้อมมารับใช้พระองค์ เพราะมันไม่มี คนที่รับใช้พระเจ้าและเกิดผลไม่ใช่คนดีพร้อม แต่เป็นคนที่ยอมให้พระเจ้าใช้ แล้วในขณะที่รับใช้พระเจ้าพระองค์จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ตกต่าง ชีวิตของเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เอง

พระคัมภีร์ยืนยันว่า ผู้เชื่อทุกคนสามารถรับใช้พระเจ้าได้ เพราะเราต่างมีของประทานฝ่ายวิญญาณแตกต่างกัน ภาพของอวัยวะที่ต่างกันของร่างกายสะท้อนให้เห็นถึงแต่ละคนมีของประทานฝ่ายวิญญาณแตกต่างกัน ใน
เราต้องแสวงหาของประทาน และใช้ของประทานนั้นในการรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น พระเจ้าทรงให้เราแต่ละคนมีของประทานที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากเรารับใช้ตามของประทานที่เรามี เราสามารถรับใช้ได้อย่างเกิดผลมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรับใช้ในด้านที่เรามีของประทานเท่านั้น แต่หมายความว่าแม้เราจะรับใช้งานได้ทุกอย่าง แต่เราจะทำได้ดีในด้านที่เรามีของประทาน
เราอาจไม่รู้จริงๆ ว่า เราเหมาะสมกับงานอะไร เราอาจทดลองทำ บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าไม่ชอบ ไม่ถนัด อาจจะเป็นสิ่งที่เราชอบ เราถนัดก็ได้ เมื่อเราได้ทดลองทำ
การรับใช้ไม่ได้จำกัดแค่เพียงการรับใช้ในคริสตจักรเท่านั้น แต่เป็นการรับใช้พระเจ้าในหน้าที่การงานของเราด้วย หากเราทำงานเราด้วยท่าทีที่เต็มใจก็เหมือนถวายเกียรติแด่พระเจ้า
โคโรสี 3:23-24
ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจ เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์ ท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ ท่านปรนนิบัติพระคริสตเจ้าอยู่
การรับใช้ที่เกิดผลอีกประการคือ ประสบการณ์ เราต่างคนต่างมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งสุข ทุกข์ ดี ไม่ดี แต่พระเจ้าจะให้เราผ่านประสบการณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมชีวิตของเราในการรับใช้พระองค์ ขอเพียงเรามอบชีวิตให้กับพระองค์ และยอมให้พระองค์ใช้เรา ซึ่งเราจะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่อการรับใช้พระเจ้าได้
พี่น้องหลายๆ ท่านคงเคยเป็นเหมือนๆ กัน คือรับใช้แล้วเกิดอาการท้อ จนอยากหยุด อยากหนีหาย แต่หากเรายังติดสนิทอยู่กับพระเจ้า เราก็จะกลับมาเหมือนเดิม เราเป็นคน การท้อใจ เป็นปกติ เพียงแต่เราต้อง ติดสนิทอยู่กับพระเจ้าเสมอ สิ่งนี้ข้าพเจ้าถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและเตือนตัวเองอยู่เสมอ


วันนี้เรารับใช้ใคร ?

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การทรงเลือก

ยอห์น 15:16
 “ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน” 

พระธรรมมัทธิวเป็นหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งมัทธิวนำลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์มาใช้เริ่มต้นบันทึก ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อชาวยิว เนื่องจากเชื้อสายวงศ์ตระกูลเป็นเครื่องยืนยันว่าคนๆ นั้นเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
พระเยซูเป็นเชื้อสายของอับราฮัมผู้เป็นบิดาของชาวยิวทั้งปวง และทรงเป็นเชื้อสายโดยตรงของกษัตริย์ดาวิด
เราอาจต้องกลับไปใคร่ครวญบุคคลต่างๆ ในพันธสัญญาเดิม แล้วเราก็จะเห็นได้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครอง และลำดับพงศ์ที่ท่านมัทธิวกล่าวถึง เป็นการทรงเลือกของพระเจ้า
หากเราดูจากพระคัมภีร์ ในพระธรรมมัทธิวเชื่อมโยงพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่เข้าด้วยกัน โดยอ้างอิงพันธสัญญาเดิมหลายข้อ สังเกตได้จากในพระธรรมมัทธิว หากเราดูในพระคัมภีร์จะมีข้อที่เป็นตัวเอียง ซึ่งจะอ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระราชกิจที่สำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ ตามที่กล่าวไว้ในพันธสัญญาเดิมทุกประการ ท่านมัทธิวจึงชอบที่จะเขียนว่า ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะ

ในพระธรรมมัทธิว บทที่ 1 และ 2 นั้น จะเห็นได้ว่าโยเซฟเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก และเรียกให้รับใช้ ทรงนำถึง 3 ครั้ง โดยโยเซฟก็ทำตาม โดยไม่ปฏิเสธเลย

ครั้งที่ 1 (มัทธิว 1 : 20-25)
20แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฎแก่โยเซฟในความฝันว่า โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
21เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” 
22ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า
23 ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์
และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง
และเขาจะเรียกนามของท่านว่า
อิมมานูเอล (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา) 
24ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา 
25แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่า เยซู

ครั้งที่ 2 (มัทธิว 2 : 13-15)
13ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฎแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย
14ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์
15และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์

ครั้งที่ 3 (มัทธิว 2 : 19-23)
19ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟ ที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า 
20จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว
21โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล 
22แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่นก็กลัว และเมื่อได้ทราบคำเตือนในความฝัน จึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี
23ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธเพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ

เอเฟซัส 1:4
ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์

พระเจ้าทรงเรียกผู้ใด พระองค์ไม่ได้เรียกให้เป็นไปตามมาตรฐานโลกเท่านั้น พระองค์ทรงเรียกร้องให้มอบกายถวายชีวิต เข้าร่วมราชกิจของพระองค์ ให้เกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์
โยเซฟนั้นเป็นคนชอบธรรม ในมัทธิว 1:19 ไม่ต้องการแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งมารีย์ต้องเสียชื่อเสียง ก็คิดว่าจะถอนหมั้นอย่างลับๆ แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หลังจากถอนหมั้น มารีย์อาจต้องโทษถูกหินขว้างตาย ก็เป็นไปได้ (ตามกฎหมายสมัยนั้น)
โยเซฟยอมเสี่ยงภัย ทิ้งประเทศอิสราเอลนำครอบครัวไปหลบภัยในประเทศอียิปต์ ใช้สติปัญญาและเชื่อฟังการทรงนำจากพระเจ้า ผ่านทางนิมิตที่มีหลายครั้ง พระเจ้าทรงมีพระคุณที่จัดเตรียมโยเซฟให้กับมารีย์ เพื่อให้มารีย์มั่นใจ เพื่อให้มารีย์มีที่ปรึกษา มีผู้คอยคุ้มครองดูแลมารีย์และบุตร

ฮีบรู 6:10        
เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรม ที่จะทรงลืมการงานซึ่งท่านได้กระทำ เพราะความรักที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์ คือการรับใช้ธรรมิกชนนั้น ดังที่ท่านยังรับใช้อยู่

                คงเป็นเรื่องปกติเพราะเราเป็นมนุษย์ อาจหมดกำลังใจ ผิดหวังและถูกปฏิเสธบนโลกนี้หรือคิดว่าพระเจ้าทอดทิ้งเรา แต่พระเจ้าทรงยุติธรรมเสมอ พระองค์ไม่เคยมองข้ามงานหนักที่เราทำเพื่อพระองค์
  สำหรับเราแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเลือกเพื่อรับใช้พระองค์ในแต่ละหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เราจะรับพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วย หรือเราจะปฏิเสธพระองค์ ? มี 2 ทางเท่านั้น