วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระคุณของพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว

 25/11/2024

พระคุณของพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว

 

สดุดี 23 1-4

พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์

กษัตริย์ดาวิด ผู้ที่เคยเป็นผู้ดูแลฝูงแกะ เป็นผู้เขียนพระธรรมนี้ ได้บรรยายถึงพระเจ้าในฐานะผู้เลี้ยงแกะ ซึ่งแกะต้องพึ่งพาผู้เลี้ยงทุกอย่าง แกะ...เป็นสัตว์อ่อนแอ...สายตาสั้น...เชื่องช้า ...สุขภาพไม่แข็งแรง... ต้องการหญ้าอ่อนสดเป็นอาหาร... ต้องการน้ำสะอาดใสเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ...ขี้ตกใจ ตื่นตูมมากกว่ากระต่าย แกะ...จะปลอดภัยก็ต่อเมื่อ มีผู้เลี้ยงแกะอยู่ใกล้ๆ ในพันธสัญญาใหม่เรียกพระเยซูว่าเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี องค์พระผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ และเป็นหัวหน้าของผู้เลี้ยงทั้งปวง เมื่อเรารู้จักผู้เลี้ยงที่ดี เราก็ยิ่งควรติดตามพระองค์

ข่าวเมื่อประมาณปี 2005 ที่กรุงอีสตันบูล ประเทศตุรกี แกะตัวหนึ่งกระโดดจากหน้าผา จากนั้นอีกเกือบ 1,500 ตัวก็กระโดดตามไป สุดท้ายตายไปประมาณกว่า 400 ตัว แกะพวกนั้นไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จึงตามตัวอื่นๆ ในฝูงไป

เรื่องเกี่ยวกับผู้มีอาชีพเลี้ยงแกะ ที่ศิษยาภิบาลได้เชิญเพื่อมาให้แบ่งปันเกี่ยวอาชีพเลี้ยงแกะของเขาในโบสถ์แห่งหนึ่ง

นำมาจาก http://www.livingchurch.in.th/data/004_goodthing.html

ผมชื่อ เยชูวา เบน โยเซฟ ผมมาจากดินแดนเก่าแก่ที่ชื่อว่าปาเลสไตน์ และมีอาชีพที่ต่ำต้อย คือเป็นผู้เลี้ยงแกะ เราเริ่มงานแต่เช้าก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น งานของผมคือหาอาหารกับน้ำให้แกะของผม ซึ่งไม่ใช่งานง่ายๆ เลย คุณคงรู้ดีว่าในประเทศของผมนั้นผืนดินแห้งแล้ง เราไม่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่อย่างที่ฝูงแกะกับบรรดาปศุสัตว์ของคุณ พวกคุณเพียงแต่ปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้ออกไปหาอาหารกินได้อย่างสบาย ส่วนในประเทศของผมนั้น หญ้าจะหาได้เฉพาะในทางแคบๆ ซึ่งคั่นด้วยแนวหินยาวๆ ที่เต็มด้วยฝุ่น เว้นแต่ในช่วงฤดูฝน น้ำที่เกิดจากน้ำพุหรือบ่อน้ำธรรมชาติจะแผ่กระจายเป็นหย่อมๆ ดังนั้นบางครั้งผมจึงต้องนำฝูงแกะของผมเดินไปเป็นระยะทางหลายไมล์ เพื่อจะได้เจอหญ้าในบริเวณเพียงสองสามหลาหรือเพื่อจะดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้เองที่เราต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะต้องใช้เวลาทั้งวันที่จะหาแหล่งน้ำและอาหารให้ฝูงแกะ ผมรู้จักบริเวณที่ผมเลี้ยงแกะเป็นอย่างดี ผมได้เดินสำรวจบริเวณเหล่านี้ทุกตารางฟุตมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ดังนั้นผมจึงสามารถนำแกะของผมออกเดินหาน้ำหาอาหารกินได้

คุณอาจจะนึกภาพว่าการเลี้ยงแกะนั้นเหมือนกับคนต้อนฝูงสัตว์ในหนังคาวบอย พวกเขาจะขี่ม้าและต้อนฝูงสัตว์ที่อยู่ข้างหลัง เพื่อทำให้บรรดาสัตว์เหล่านั้นเดินไปข้างหน้า แต่การเลี้ยงแกะแตกต่างจากนั้น คือผมต้องเดินอยู่ข้างหน้าฝูงแกะและพวกมันก็เดินตามผม ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน พวกมันก็จะตามผมไป และถ้าผมไม่คุ้นเคยหรือไม่รู้จักภูมิประเทศดี หรือพวกแกะถูกทิ้งไว้ตามลำพัง พวกมันก็จะอดตาย ผมจึงต้องเป็นผู้นำมัน ผมรู้ว่ามีหญ้าอยู่ที่ไหนบ้างเพราะผมไปสำรวจมาก่อนแล้ว เราใช้เวลาตลอดช่วงเช้าในการเดินทางจากทุ่งหญ้าหนึ่งไปยังอีกทุ่งหญ้าหนึ่ง พอถึงเที่ยงวัน แกะก็จะเหนื่อยและหิวน้ำ พวกมันต้องการอาหารและน้ำไม่อย่างนั้นก็ต้องตาย

ตามทางที่ผมพาแกะไปนั้น ผมรู้จักแหล่งน้ำหลายแหล่ง ตามสถานที่เหล่านี้จะมีร่มเงาและทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มสำหรับให้แกะกินและพักผ่อน ผมให้พวกมันนอนลงเพื่อดื่มน้ำ แกะจะดื่มน้ำจากแอ่งหรือบ่อน้ำนิ่งเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้ว พวกมันกลัวบริเวณที่น้ำไหลอย่างรวดเร็ว และความกลัวของมันก็มีเหตุผล เพราะถ้าแกะลื่นตกลงไปในแม่น้ำหรือลำธาร ขนของมันจะอมน้ำจนเปียกโชก และแกะก็ว่ายน้ำไม่เก่งด้วย ดังนั้นน้ำหนักขนที่ชุ่มน้ำ ซึ่งจะทำให้มันจมน้ำตาย นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมแอ่งน้ำจึงต้องสงบหรือไหลช้าๆ ถ้าผมไม่สามารถหาแหล่งน้ำเช่นนั้นได้ ผมก็ต้องสร้างบ่อน้ำขึ้นมาเองแล้วผันน้ำจากลำธารเข้ามา 

แกะของผมจะมีความสุขและมีทุกสิ่งที่พวกมันต้องการตราบใดที่มันเดินตามผม ผมจะนำมันไปตามหนทางเก่าๆ ที่ผมรู้ดีว่าจะหาอาหารและน้ำให้มันกินได้ พวกมันต้องการการนำทางจากผม แกะของผมก็ต้องการการปกป้องคุ้มครองด้วยเช่นกัน ผืนดินที่เราออกเดินไปนั้นเต็มไปด้วยอันตราย สัตว์กินเนื้อจำพวกสิงโตและหมีมักจะไล่ตามฝูงแกะ บางครั้งก็จะมีฝูงสุนัขป่ามาก่อกวน และพืชบางชนิดที่ดูเหมือนปลอดภัย ก็อาจมีพิษได้ แกะอาจจะเดินสะดุดตกหน้าผาหรือตกลงไปในหุบเขาลึกและตายได้ แต่แกะของผมไม่จำเป็นต้องกลัวอันตรายใดๆ ผมจะเฝ้าระวังพวกมัน ถ้ามันเริ่มจะออกนอกทาง ผมก็จะมีไม้เท้าของผู้เลี้ยงที่จะกระทุ้งให้มันกลับมา ถ้าพวกมันตกลงไปในหลุมหรือห้วยลึก ผมก็จะใช้อีกด้านหนึ่งของไม้เท้าหย่อนลงไปแล้วดึงมันขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ผมถือไม้สองอัน อันหนึ่งเป็นไม้เท้า แต่อีกอันหนึ่งเป็นไม้กระบอง ไม้เท้าใช้สำหรับแกะของผม  แต่กระบองใช้สำหรับพวกสัตว์ล่าเหยื่อทั้งหลาย ผมจะต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตของพวกมัน แต่เมื่อคนเลี้ยงแกะกับพวกคนงาน ที่ถูกจ้างมาเลี้ยงแกะที่ผมรู้จัก ได้เห็นผมต่อสู้กับสัตว์ล่าเนื้อตัวโตสองสามตัวนั้น พวกเขาก็หัวเราะและพูดแหย่ว่า สักวันหนึ่งไอ้พวกสิงโตและหมีตัวใดตัวหนึ่งนั้นจะต้องกินผมเป็นอาหารแน่ นั่นอาจจะจริง แต่ผมก็บอกพวกคุณได้ว่าผมจะไม่วิ่งหนีหรือเพิกเฉยเหมือนกับพวกเขา เพราะนั่นคือความแตกต่างระหว่างผู้เลี้ยงที่ดีและผู้เลี้ยงที่ไม่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีจะสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ ตราบใดที่พวกแกะเดินตามผม ผมก็จะนำพามันและปกป้องคุ้มครองมัน มันเป็นงานที่หนักและลำบาก และผมก็มักต้องทำให้แน่ใจว่าแกะของผมมีอาหารกิน ผมมักจะตรวจสอบทุ่งหญ้าเหล่านั้นก่อนที่จะปล่อยให้มันไปกิน และถ้ามีพืชที่เป็นพิษในบริเวณนั้น ผมก็จะถอนมันออกทีละต้นจนหมด  พอตกเย็นเราก็พากันกลับ ผมจะสำรวจแกะแต่ละตัว ถ้าผมพบรอยข่วนหรือบาดแผลบนตัวแกะ ผมก็จะทาขี้ผึ้งให้ ผมต้องให้แน่ใจว่าพวกมันมีน้ำกิน ถ้าผมพบว่าแกะตัวใดหิวน้ำ ผมก็จะทำถังรูปถ้วยใส่น้ำให้มันดื่มเอง

ก่อนเข้านอน ผมก็มักจะนับแกะในฝูงของผม บางครั้งบางคราวจะมีลูกแกะสักตัวหลงทาง ผมก็จะออกไปตามหาทันทีและนำมันกลับเข้าคอก นานๆ ครั้งที่ลูกแกะของผมสักตัวจะมีนิสัยชอบเตร็ดเตร่ออกนอกเส้นทาง มีตัวหนึ่ง มันมักจะหายไปหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน บางครั้งมันก็ออกไปหาหญ้าที่เขียวชอุ่มกว่ากิน และในเวลาอื่นผมก็พบว่ามันกำลังไล่ตามผีเสื้อ มันไม่เคยตระหนักถึงอันตราย แต่ผมก็เข้าใจมันดี ดังนั้นผมจึงต้องลงมือทำบางสิ่ง พวกเราผู้เลี้ยงแกะจะพัฒนาวิธีการหนึ่งซึ่งจะป้องกันการชอบเตร่ออกนอกทางของแกะ วิธีการนี้ถูกใช้เป็นวิธีสุดท้าย นั่นคือเมื่อแกะตัวใดตัวหนึ่งปฏิเสธที่จะอยู่กับฝูง ครั้งสุดท้ายที่ผมจับได้ว่ามันเตร่ออกนอกทาง ผมจึงใช้วิธีการนี้กับมัน พวกคุณต้องคิดว่าวิธีนี้โหดร้าย แต่มันก็จะรักษาชีวิตแกะของผมได้ ตอนสิ้นสุดวันที่ผมพบว่ามันเถลไถลเตร็ดเตร่ไปยังทางแคบที่สูงชันระหว่างเขานั้น ผมก็ไปนำมันออกมาแล้วแบกมันไว้บนไหล่พากลับคอก มันไม่ดิ้นรนขัดขืน มันเพียงแต่มองผมด้วยสายตายที่เต็มไปด้วยความเชื่อวางใจ ผมจับมันนั่งลงแล้วผมก็จับขาขวาหน้าของมันวางไว้บนไม้เท้าของผม แล้วด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว ผมก็ดึงกระดูกยาวตรงขาข้างนั้นของมันลงมาแล้วหักเสีย มันดิ้นรนเพื่อจะหนีขณะมองผมด้วยดวงตากลมโต ทันใดนั้นมันก็ล้มลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวด มันไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่หาน้ำหาอาหารให้มันกินและคอยช่วยเหลือมันให้พ้นจากภยันตราย คนที่มันไว้วางใจคนนี้ทำให้มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างที่สุดที่มันเคยประสบ ผมไม่อยากทำอย่างนั้นหรอกแต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อจะรักษาชีวิตของมันไว้

สองสามวันต่อมามันก็ลุกขึ้นได้ ขณะที่ฝูงแกะเคลื่อนย้ายจากทุ่งหญ้าหนึ่งไปอีกทุ่งหญ้าหนึ่งผมก็แบกมันไปตลอดทาง ในช่วงวันเหล่านั้น ผมอยู่ใกล้ชิดมันตลอดเวลามันเจ็บปวดทุกข์ทนเพราะขาหัก แต่ขณะเดียวกันผมก็อุ้มมันไว้ใกล้หัวใจผม ผมวางมันลงเพื่อให้มันกินหญ้ากินน้ำ มันค่อยๆ กลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่คราวนี้ หุบเขาที่เตี้ยที่สุดก็ดูเหมือนภูเขามหึมาสำหรับมัน และลำธารที่ตื้นเขินที่สุดก็เสมือนแม่น้ำอันกว้างใหญ่ เมื่อใดก็ตามที่มันเผชิญกับอุปสรรค สิ่งที่มันทำก็คือหยุดเดินและมองมาที่ผม จากนั้นผมก็จะอุ้มมันขึ้นและช่วยมันข้ามพ้นอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น มันเรียนรู้ที่จะวางใจและเดินตาม ผมต้องหักขาของมันเพื่อช่วยชีวิตมัน วิธีนี้ใช้ได้ผล ปัจจุบันนี้มันยังคงอยู่กับผม และก็เป็นแกะที่สัตย์ซื่อที่สุดตัวหนึ่งของผมด้วย นี่เป็นวันหนึ่งในชีวิตของผู้เลี้ยงแกะ แม้ว่ามันจะไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจนัก แต่มันก็เป็นการดำเนินชีวิตแบบหนึ่ง และแม้ว่าอาชีพของผมจะไร้เกียรติ แต่มันก็ทำให้ผมอัศจรรย์ใจที่ว่า พระเจ้าทรงเปรียบพระองค์เองเหมือนผู้เลี้ยงแกะ และทรงเปรียบประชากรของพระองค์เหมือนแกะ ผมเข้าใจความจริงข้อนี้ นั่นคือ หลังจากที่พระองค์ทรงตอบสนองความต้องการของเราด้วยการจัดหาสิ่งจำเป็นในชีวิตให้เรา ด้วยการทรงนำเราในแต่ละวันและปกป้องคุ้มครองเรา ผมก็เชื่อว่าเราจะพึงพอใจและสงบสุขเหมือนบรรดาแกะของผม ถ้าเพียงแต่เราเรียนรู้ที่จะไว้วางใจและติดตามพระองค์ แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังทรงนำเราไปทางไหน หรือพระองค์กำลังทรงทำอะไรในชีวิตเรา เราก็ต้องไว้วางใจและติดตามพระองค์ไป แล้วเราก็จะได้รับความพึงพอใจ การเลี้ยงแกะเป็นงานที่ไม่มีวันจบสิ้นหรอกครับหากยังมีแกะอยู่ในโลก

 

 

2 โครินทร์ 12:9-10

แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆ ในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็แข็งแรงมากเมื่อนั้น

 


วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ค้นหาความหวังและพระคุณ

 

24 ตุลาคม 2024

เรื่องค้นหาความหวังและพระคุณ (จาก Application แผนการอ่านมานาประจำวัน)

เพลง จิตใจข้าสุขสบาย แปลมาจากเพลง It is well with my soul เขียนโดย Horatio Spafford ขณะนั้นเขาอายุได้ 43 ปี มีอาชีพเป็นทนายความ เขาอยู่ชานเมืองด้านเหนือของชิคาโกกับภรรยาและลูกๆ ภรรยาเขาชื่อ แอนนา ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 5 คน เป็นผู้ชาย 1 คน ผู้หญิง 4 คน ลูกๆ ของเขาอยู่ในวัยที่กำลังน่ารัก ในปี ค.ศ.1871 ลูกชายคนเดียวของเขาในวัย 4 ขวบ ได้เสียชีวิตลง นำความเศร้าโศกเสียใจให้กับเขามาก แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป หลังจากนั้นใน 2-3 เดือนต่อมา เกิดไฟไหม้ใหญ่ที่ชิคาโก้ในปี ค.ศ.1871 ได้เผาพลาญอสังหาริมทรัพย์ที่เขาได้ลงทุนเกือบทั้งหมด จนเขาแทบหมดตัว ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัสเกินกว่าที่เขาจะรับได้

สองปีต่อมา เขาตัดสินใจว่าครอบครัวของเขาควรจะใช้เวลาวันหยุดสักแห่งโดยเขาเลือกประเทศอังกฤษ เพราะเพื่อนของเขา D.L. Moody จะเทศนาสั่งสอนที่นั่นในฤดูใบไม้ร่วง เขาให้ครอบครัวล่วงหน้าไปก่อน โดยให้ภรรยาและลูกสาว 4 คน โดยสารไปกับเรือ S.S. Ville Du Havre และสัญญากับครอบครัวว่าจะตามไปในอีกไม่กี่วันหลังจากทำภารกิจที่ต้องจัดทำให้เรียบร้อยเสียก่อน ในขณะที่เรือได้แล่นออกไป ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ.1873 เกิดอุบัติเหตุเรือชนกันและจมลงใน 12 นาที มีคนเสียชีวิตทั้งหมดรวม 226 คน จากทั้งหมด 313 คน ซึ่งมีผู้โดยสาร 61 คนและลูกเรือ 26 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต โดยมีภรรยาของเขาเป็นหนึ่งในนั้นที่เป็นผู้รอดชีวิต เธอได้รับการช่วยเหลือโดยถูกยกขึ้นในอาการหมดสติและลอยอยู่บนแผ่นไม้ เมื่อภรรยาของเขาผู้รอดชีวิตจากเรืออับปางได้มาขึ้นฝั่งที่ยุโรป แอนนา สแปตฟอร์ด ก็ได้ส่งโทรเลขบอกเขาว่า รอดมาคนเดียว ฉันจะทำอย่างไรดี... สแปตฟอร์ดเดินทางจากชิคาโกไปรับภรรยาของเขากลับมาบ้านทันที

ในระหว่างที่เดินทางท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจ ชณะที่เรือกำลังแล่นผ่านจุดที่ลูกสาวทั้ง 4 คน ของเขาเสียชีวิตจากเรืออับปาง เขาได้แต่งบทเพลงที่เป็นอมตะร้องหนุนใจกันจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลา 151 ปี ชื่อเพลง It is well with my soul หรือเพลง จิตใจข้าสุขสบาย ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจ วิกฤตที่ยากลำบากในชีวิต ในปี ค.ศ.1881 เขาและครอบครัว ได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อช่วยคนที่ลำบาก เขาได้เป็นมิชชั่นนารี ได้แบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูคริสต์กับคนท้องถิ่นที่เป็นมุสลิม และคนยิว ผ่านการรับใช้ของเขา นำคนมาหาพระเยซูคริสต์อีกมากมายโดยการประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ผ่านคำพยาน ผ่านเรื่องราวของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งความเจ็บปวด สายน้ำแห่งการสูญเสีย แต่เขาก็รู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยท่ามกลางความเจ็บปวดเหล่านั้น และถึงแม้เขาจะเจ็บปวด แต่เขาก็อยากให้รู้ว่าจิตใจของเขาสุขสบายเมื่อรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขาและพระเจ้าก็อยู่กับพวกเราเสมอ

เขาเขียนบทเพลงเช่นนี้ได้อย่างไร? ซึ่งเนื้อเพลงเผยให้เห็นว่า เขาเรียนรู้ที่จะพึ่งพาในความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา นั่นคือความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ และได้ค้นพบสันติสุขในจิตวิญญาณท่ามกลางความโศกเศร้ามากมาย

เขาสามารถมีสันติสุขแม้ขณะที่ยังคงมีความเศร้า ความโดดเดี่ยว ความอ่อนล้า และแม้กระทั่งความโกรธ แล้วหากเป็นเรา เราจะทำอย่างไรบ้างเมื่อเกิดความรู้สึกเหล่านี้ ?

อารมณ์และความเชื่อ

พระคัมภีร์เต็มไปด้วยความรู้สึก ฮันนา “เป็นทุกข์ร้อนใจมากอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องไห้คร่ำครวญ” (1 ซามูเอล 1:10) ดาวิดเปิดใจต่อพระเจ้าแบบไม่ปิดบังในสดุดีบทแล้วบทเล่า ใน สดุดี 22:14-15 กล่าวว่า ข้าพระองค์ถูกเทออกเหมือนอย่างน้ำ กระดูกทั้งสิ้นของข้าพระองค์เคลื่อนหลุดจากที่ใจของข้าพระองค์ก็เหมือนขี้ผึ้งละลายภายในอก กำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปเหมือนเศษหม้อดิน และลิ้นของข้าพระองค์ก็เกาะติดที่ขากรรไกร พระองค์ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในผงคลีแห่งความตาย เอลียาห์สัมผัสกับหลุมลึกแห่งความซึมเศร้าหดหู่ (1 พงศ์กษัตริย์ 19) เยเรมีย์ร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเจ้า (เยเรมีย์ 8:20-9:1)

การแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความสับสน หรือความอิจฉาต่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่? แน่นอน เราทำเช่นนั้นได้!

ในสวนเกทเสมนี ในคืนก่อนที่พระเยซูถูกตรึง พระองค์กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของพระองค์ต่อพระบิดา มัทธิว 26:37-38 บอกเราว่าพระองค์ “ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก… (ใจของเรา) เป็นทุกข์แทบจะตาย”

ฮันนาอธิษฐานขอบุตรและเชื่อว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของเธอ ดาวิดร่ำไห้ต่อพระเจ้าในขณะเดียวกันยกย่องฤทธิ์อำนาจ ความสัตย์ซื่อ และความรักของพระองค์ เอลียาห์และเยเรมีย์ต่างได้รับการปลอบประโลมจากพระเจ้าเมื่อรู้สึกดำดิ่งและเป็นทุกข์ และพระเยซูคริสต์ทรงยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระบิดา ( ใน ลูกา 22:42 ) โดยตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด" และพระองค์ได้รับการเสริมกำลังจากทูตสวรรค์ ในข้อ 43 – 44 “[ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่พระองค์ ช่วยชูกำลังพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก พระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐานพระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่]”

ความรู้สึกเป็นเครื่องบ่งบอก เหมือนค่าต่างๆ บนแผงหน้าปัดรถยนต์ ซึ่งบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างภายในตัวรถ เมื่อเราให้ความสนใจกับความรู้สึก มันสามารถเปิดเผยความต้องการของมนุษย์อย่างเรา และเมื่อรวมกับความเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยเหลือเรา ความรู้สึกนี้สามารถนำเราไปสู่ความหวังได้

วิธีค้นหาความหวัง

ส่วนใหญ่เรามักต่อสู้และละอายกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เราพยายามปกปิดความทุกข์ในเรื่องนั้นเรื่องนี้จากคนอื่น ทั้งจากตัวเอง และแม้กระทั่งจากพระเจ้า แต่เราจะได้รับการช่วยเหลือก็ต่อเมื่อเราซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและรับมือกับมัน

เมื่อเราพบว่าเรากำลังอยู่ในภาวะความเศร้าฝังใจ ความโกรธจัด ความอิจฉาที่เกิดขึ้นฉับพลัน หรือความหดหู่ดำดิ่ง เราสามารถหยุดเพื่อคิดและจดบันทึกว่าความรู้สึกนี้คืออะไร เกิดขึ้นจากอะไร เราเคยมีความรู้สึกแบบนี้ในสถานการณ์ใดมาก่อนบ้างไหม เราจะเข้าใจและเรียนรู้จากมันได้อย่างไร

อารมณ์และความรู้สึกช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและเข้าใจการเอาใจใส่ของพระเจ้า พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เรานำความรู้สึกเหล่านี้เข้ามาและขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ในความสัมพันธ์กับพระองค์ เราจะพบกับความผูกพันที่เราปรารถนาซึ่งไม่มีวันสิ้นสุด

เมื่อเราเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้ว เราสามารถบอกพระองค์ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเรา เพราะพระองค์ทรงทราบความรู้สึกของเราแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้พระองค์ประหลาดใจ พระเจ้ารักเราแบบที่เราเป็น ทรงรอให้เราตอบสนองความรักนั้น ซึ่งอาจเป็นเวลาเมื่อเราพบปะกับผู้เชื่ออื่นๆ เมื่อนมัสการ เมื่อชื่นชมสรรพสิ่งทรงสร้าง และเมื่ออธิษฐาน บ่อยครั้งความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้าเกิดขึ้นเมื่ออ่านจดหมายรักของพระองค์ที่มาถึงเรา คือพระคัมภีร์นั่นเอง

แต่ถึงแม้เราจะรู้จักพระเจ้ามาเป็นเวลานาน สุขภาพใจของเรายังอาจประสบปัญหาหนักหน่วง ซึ่งทำให้สับสนและรู้สึกไม่มั่นคงได้ เราสามารถรับความช่วยเหลือและความหวังโดยพูดคุยกับที่ปรึกษามืออาชีพ หรือคนอื่นๆ ที่พระเจ้าใช้เขาเพื่อนำเราเดินหน้าต่อไป นอกจากนี้ เราต้องตระหนักว่า ความวิตกกังวล บาดแผลทางใจ หรืออารมณ์ซึมเศร้าที่เกิดขึ้นต้องรับการรักษาเช่นเดียวกับการรักษาเมื่อร่างกายเจ็บป่วย

ความหวังจะเติบโตขึ้นได้จากความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกับพระเจ้า ผู้ทรงรู้จักเราอย่างลึกซึ้ง และทรงรับความทรมานบนกางเขน เพื่อเราจะไม่ถูกทิ้งให้ต้องเจ็บปวดโดยลำพัง พระเจ้าผู้แสนดีของเราทรงรักเราอย่างยิ่ง ทรงจัดเตรียมความหวังและพระคุณไว้ให้อย่างที่เราต้องการ

 

อลิซา มอร์แกน, ผู้เขียนมานาประจำวัน / และประวัติเพลงจิตใจข้าสุขสบาย ส่วนหนึ่งได้คัดมาจาก https://lukeworship.wordpress.com/2010/08/19/it-is-well-with-my-soul-horatio-gates-spafford

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เธอคือคนพิเศษ

 

13 มิถุนายน 2024

เธอคือคนพิเศษ

 

ปฐมกาล 2:7 TH1971

พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

 

บางทีสิ่งเร้ารอบกายในทุกวันนี้ ทำให้เราอาจรู้สึกหดหู่ คิดลบกับตัวเอง หรือผู้อื่นได้ สื่อต่างๆ ที่มากมายทำให้เราไขว้เขว เหินห่างจากความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา

 

เขียนโดย แมกซ์ ลูคาโด แปลโดย พรทิพย์ ยธิกุล 

เว็มเม็กซ์คือหุ่นไม้รูปคนตัวเล็ก ๆ หุ่นทุกตัวถูกแกะสลักโดยช่างแกะไม้ชื่อ เอลี เขาอยู่ที่บนภูเขานอกหมู่บ้าน หุ่นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกันบางตัวก็มีจมูกใหญ่ บางตัวก็มีตาโต บางตัวก็สูง บางตัวก็เตี้ย บางตัวสวมหมวก บางตัวสวมเสื้อคลุม แต่ทุกตัวถูกสร้างขึ้นโดยช่างไม้คนเดียวกัน และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เว็มเม็กซ์ทุกตัวจะมีกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปดาวสีทอง และกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปจุดสีเทา และทุก ๆ วัน หุ่นเหล่านี้จะทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ พวกมันจะติดสติ๊กเกอร์ให้กันและกัน ทุกตัวสามารถมองเห็นสติ๊กเกอร์รูปดาวหรือรูปจุดที่ติดอยู่บนตัวของแต่ละตัวได้ ตัวที่สวยหน่อย เนื้อไม้เรียบลื่นและทาสีสวยงาม ก็มักจะได้สติ๊กเกอร์รูปดาวเสมอ แต่ตัวที่เนื้อไม้ไม่เรียบและสีหลุดลุ่ยก็จะได้สติ๊กเกอร์รูปจุด ตัวที่มีความสามารถพิเศษก็จะได้รับดาวด้วยเหมือนกัน บางตัวยกไม้ท่อนใหญ่ให้สูงเหนือศีรษะได้ หรือกระโดดข้ามกล่องสูง ๆ ได้ บางตัวก็รู้จักคำศัพท์ยาก ๆ หรือร้องเพลงไพเราะ ทุกตัวเหล่านี้จะได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาว เว็มเม็กซ์บางตัวได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาวเต็มตัวไปหมด และทุกครั้งที่เขาได้รับรูปดาว พวกเขาก็รู้สึกดี และยิ่งทำให้เขาทำดีอีก และได้รับดาวเพิ่มขึ้นอีก ส่วนที่เหลือมีความสามารถนิดหน่อยก็ได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุด  พันชินเนลโล คือหนึ่งในตุ๊กตาพวกหลัง เขาพยายามกระโดดให้สูงเหมือนตัวอื่น แต่เขาก็ล้มลงทุกครั้ง และเมื่อเขาล้มลง ตุ๊กตาตัวอื่นก็จะมามุงดูเขาและติดสติ๊กเกอร์รูปจุดให้แก่เขาและบางครั้งเมื่อเขาล้ม มันทำให้เนื้อไม้ของเขาชำรุดด้วย และทุกคนก็เอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาเพิ่มให้เขาอีก เขาพยายามอธิบายว่าทำไมเขาล้มลง แต่เขาก็มักจะพูดโง่ ๆ ออกไป ไม่นาน เขาก็มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเต็มไปหมด จนเขาไม่อยากออกนอกบ้านอีกเลย เพราะเขากลัวว่าเขาจะทำเรื่องโง่ ๆ อีก เช่น ลืมหมวก หรือสะดุดหกล้ม และจะทำให้คนอื่นเอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาติดเพิ่มให้เขาอีก ที่จริงเขาได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดมากจนเว็มเม็กซ์ที่เดินผ่านมาเจอเขาก็จะติดสติ๊กเกอร์ให้เขาทันทีโดยไม่มีเหตุผล เพราะว่า “เขาสมควรจะได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดเยอะ ๆ เขาไม่ใช่หุ่นไม้ที่ดี  ไม่นาน พันชินเนลโลก็เชื่อพวกเขาและพูดกับตัวเองว่า ฉันเป็นหุ่นไม้ที่ไม่ดีเวลาที่เขาออกไปข้างนอก เขาก็มักจะเข้ากลุ่มกับเว็มเม็กซ์ที่มีจุดเยอะ ๆ เหมือนเขา เขารู้สึกดีที่จะอยู่กับหุ่นไม้ที่เหมือนกันกับเขา

วันหนึ่ง เขาพบเว็มเม็กซ์ตัวหนึ่งที่ไม่เหมือนตัวอื่นที่เขาเคยพบมาก่อน เธอไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดหรือดาวเลย เธอก็เป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่งเหมือนกับเขา เธอชื่อว่า ลูเซีย ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพยายามจะติดสติ๊กเกอร์ให้กับเธอ แต่สติ๊กเกอร์เหล่านั้นติดไม่อยู่และหลุดหมด มีบางคนชื่นชมลูเซียที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเลย พวกเขาจึงวิ่งมาจะให้สติ๊กเกอร์รูปดาวกับเธอ แต่สติ๊กเกอร์นั้นก็จะหลุดลงมา บางคนก็ดูถูกเธอที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปดาว พวกเขาจึงอยากให้สติ๊กเกอร์รูปจุดแก่เธอ แต่มันก็ไม่ติดเหมือนกัน พันชินเนลโลจึงคิดในใจว่า ฉันก็อยากจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันดังนั้น เขาจึงถามเว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ว่า ฉันไม่อยากได้สติ๊กเกอร์ของใคร ๆ เหมือนกัน เธอทำยังไงน่ะลูเซียตอบว่า ง่ายมาก ทุก ๆ วันฉันจะไปหาเอลี” “เอลีหรือ?” “ใช่ เอลีช่างไม้ไงล่ะ ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาทุกวัน  ทำไมเธอไม่ไปหาคำตอบด้วยตัวเธอเองล่ะ? ขึ้นไปบนภูเขาสิ เขาอยู่ที่นั่นจากนั้น เว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ก็หันหลังแล้วเดินจากไป แต่ถ้าเขาไม่อยากจะเจอฉันล่ะ?” พันชินเนลโลตะโกนถาม แต่ลูเซียไม่ได้ยิน ดังนั้น พันชินเนลโลจึงกลับบ้าน เขานั่งใกล้หน้าต่าง และมองดูพวกหุ่นไม้ที่เดินเข้าหากันและกันและให้สติ๊กเกอร์แก่กันและกัน นี่มันไม่ถูกต้องเลยเขารำพึงกับตัวเอง และเขาก็ตัดสินใจที่จะไปหาเอลี เขาเดินไปตามทางแคบ ๆ ไปยังยอดเขาและเข้าไปยังบ้านของช่างไม้ แล้วตาของเขาก็เปิดกว้างเมื่อมองเห็นทุก

สิ่งในนั้นมีขนาดใหญ่โตมาก เก้าอี้มีขนาดสูงเท่ากับตัวเขา เขาต้องยืนเขย่งขาขึ้นเพื่อที่จะมองเห็นว่ามีอะไรอยู่บนโต๊ะ มีขวานที่มีขนาดยาวเท่ากับแขนของเขา พันชินเนลโลกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แน่!” แล้วเขาก็หันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา"พันชินเนลโล?" เสียงนั้นนุ่มลึกและมีพลัง พันชินเนลโลหยุดเดิน พันชินเนลโล! ดีใจจริง ๆ ที่เจอเจ้าที่นี่ มานี่มา มาให้เราดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อยพันชินเนลโลหันกลับมาช้า ๆ และมองไปที่ช่างไม้ร่างใหญ่ที่มีหนวดเครา คุณรู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ?” เว็มเม็กซ์ตัวน้อยถาม "แน่นอนสิ เรารู้จักเจ้า เราสร้างเจ้ามา" เอลีก้มลงและอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ อืม..” เอลีกล่าวขึ้นมาอย่างใคร่ครวญและมองเขาด้วยอย่างสำรวจที่สติ๊กเกอร์รูปจุดสีเทา ดูเหมือนเจ้าได้รับเครื่องหมายที่ไม่ค่อยดีเยอะเลยนี่” “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ เอลี ผมพยายามแล้ว” “โอ้ เจ้าไม่ต้องอธิบายกับเราหรอก ลูกรัก เราไม่สนใจหรอกว่าเว็มเม็กซ์ตัวอื่น ๆ พูดถึงเจ้าอย่างไร” “คุณไม่สนหรือครับ?” “ไม่เลย และเจ้าก็ไม่ควรสนใจด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นใคร ที่จะมาเที่ยวให้ดาวหรือจุดกับใคร ๆ ? พวกเขาก็เป็นเพียงหุ่นไม้เหมือนกับเจ้า พวกเขาคิดยังไงก็ไม่สำคัญหรอก พันชินเนลโล สิ่งที่เราคิดต่างหากที่สำคัญ และเราก็คิดว่าเจ้าเป็นหุ่นที่พิเศษมากพันชินเนลโลหัวเราะ ผมน่ะเหรอครับ พิเศษ? ทำไมล่ะครับ? ผมวิ่งก็ไม่เร็ว กระโดดก็ไม่สูง สีของผมก็หลุดลอก แล้วผมจะพิเศษสำหรับคุณอย่างไร?”เอลีมองพันชินเนลโล เขาเอามือวางบนไหล่เล็ก ๆ ของเจ้าหุ่นไม้ตัวเล็ก และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า เพราะว่าเจ้าเป็นของเรา ดังนั้นเจ้าจึงสำคัญสำหรับเราไม่เคยมีใครมองพันชินเนลโลอย่างนี้มาก่อน เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี "ทุกวัน เราเฝ้าหวังว่าเจ้าจะมาเอลีกล่าว ผมมาเพราะว่าผมเจอหุ่นไม้ตัวหนึ่งที่ไม่มีสติ๊กเกอร์” "เรารู้แล้ว เธอเล่าเรื่องที่เจอกับเจ้าให้เราฟัง" "ทำไมสติ๊กเกอร์ถึงไม่ติดบนตัวเธอล่ะครับ?" "เพราะว่าเธอเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดสำคัญกว่าสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดน่ะสิ สติ๊กเกอร์มันจะติดอยู่ที่ตัวเธอได้เพราะว่าเธออนุญาตเท่านั้น” "อะไรนะ ?" "สติ๊กเกอร์สามารถติดบนตัวเธอได้ถ้าเธอคิดว่ามันสำคัญสำหรับเธอ แต่ถ้าเธอวางใจในความรักของเรามากเท่าไหร่ เธอก็จะสนใจเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์น้อยลงเท่านั้น” "ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจ" "เจ้าจะเข้าใจ แต่มันต้องใช้เวลา เจ้ามีสติ๊กเกอร์และบาดแผลมาก ดังนั้น จากนี้ไป จงมาหาเราทุกวัน และให้เราได้ทำให้เจ้าได้รู้ว่าเราสนใจเจ้าแค่ไหน” เอลีอุ้มพันชินเนลโลลงจากเก้าอี้ จำไว้นะเอลีกล่าวขณะที่พันชินเนลโลก้าวออกจากประตู เจ้าเป็นคนพิเศษ เพราะว่าเรา

สร้างเจ้ามา แล้วเราไม่ได้สร้างเจ้ามาผิดพลาดพันชินเนลโลเดินจากไปพร้อมกับคิดว่า ฉันคิดว่าเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆแล้วทันใดนั้น สติ๊กเกอร์รูปจุดก็ร่วงหล่นลงพื้น

 

คนเรามักจะตัดสินกันด้วยความรู้สึกของตนเอง ความจริงแล้วเรามีสิทธิที่จะตัดสินผู้อื่นหรือไม่ แล้วเราวัดกันจากอะไรว่าบุคคลนั้นเป็นคนที่น่ายกย่อง บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ บ่อยครั้งคนเรามักจะวัดหรือตัดสินกันทางสังคมหรือทางโลก ผู้ที่น่ายกย่องคือผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทอง ผู้ที่เราจะได้ประโยชน์จากคนๆ นั้น และเรามักจะจดจำกับสิ่งที่ผู้อื่นมากำหนดหรือตัดสินในด้านลบกับตัวเรา และท้อถอย หากไม่ใช่แล้วเราไม่ต้องรับในสิ่งที่ผู้อื่นตัดสินในด้านลบกับตัวเรา ซึ่งจะเหมือนกับรูปจุดสีเทาที่หุ่นไม้อื่นๆ มาติดให้กับลูเซียและพันชินเนลโลต้องหลุดออกไป จากตัวของเขาทั้ง 2

และในทำนองเดียวกัน เราก็ต้องระวัง ที่จะไม่เผลอหลงไปกับดาวสีทองที่ผู้อื่นติดให้ จนทำให้เราหยิ่งและดูถูกผู้อื่น 

คนเราทุกคนมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ เพราะพระเจ้าบรรจงสร้างเรา เราเป็นคนพิเศษสำหรับพระเจ้า เราจำเป็นที่จะต้องเข้ามาหาคำตอบจากผู้ที่สร้างเรา เพื่อทราบพระประสงค์จากผู้ที่สร้างเรา เหมือนดังเช่นลูเซียที่แนะนำให้พันชิเนโลมาหาผู้สร้าง ไม่แต่เฉพาะวันแย่ๆ หรือวันดีๆ เท่านั้น คือ ทุกๆ วัน และเราจะได้คำตอบที่เป็นเฉพาะเจาะจงสำหรับเรา

 

1 ซามูเอล 16:7

        แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า <<อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกาย ของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ>>


วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

พลังของคำพูดและความคิด

 

20 พฤษภาคม 2024

พลังของคำพูดและความคิด

 

เอเฟซัส 4:29

อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน”

ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้ข้อคิดส่วนหนึ่ง จาก https://thepotential.org/life/empathy-gap/

Empathy Gap: เปลี่ยนการทำร้ายกันด้วยคำพูด เป็นการเรียนรู้ผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน (17 ตุลาคม 2023)

เราอาจเคยผ่านความรู้สึกเจ็บปวดจากคำพูดของคนอื่น ที่เมื่อฟังแล้วเหมือนถูกมีดแทงตรงกลางใจ หรือเหมือนโดนตบหน้าแรงๆ โดยที่ผู้พูดอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่สำหรับผู้ฟังแล้วแม้จะตบท้ายด้วยการบอกว่า “แซวเล่น” หรือ “ล้อเล่น” ก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้น ซึ่งในทางตรงกันข้าม บางครั้งเราเองก็อาจเป็นคนที่มอบความเจ็บปวดนั้นให้กับคนอื่นด้วยคำพูดด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้าก็เช่นกัน ไม่แน่ใจว่ากี่ครั้งแล้วที่ข้าพเจ้าอาจทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดด้วยคำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ตัวเองต้องจดจำและระวังจนถึงทุกวันนี้ คือในช่วงที่เป็นนักศึกษาเราได้ไปเที่ยวพักค้างคืนกันเป็นกลุ่ม แล้วด้วยความที่ตัวเองคิดว่าพูดให้สนุกๆ จึงได้แซวเพื่อนคนนึงเล่นๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของแฟนเค้า แล้วข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเพื่อนมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับคำพูดนั้น เวลาผ่านไปจนพวกเราเรียนจบ เพื่อนได้เขียนบอกข้าพเจ้าถึงเหตุการณ์นั้น ซึ่งเค้าไม่ชอบสิ่งที่เราพูดแบบนั้น นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ยังติดอยู่ในใจข้าพเจ้า และไม่มีโอกาสที่ได้เจอเพื่อนคนนี้เพื่อที่จะขอโทษเขาอีกเลย

แล้วทำไมคำพูดที่คนหนึ่งมองว่าเป็นเพียงคำธรรมดาๆ หรือแค่แซวเล่นเฉยๆ กลับทำให้อีกคนรู้สึกเจ็บปวดหรือทำร้ายจิตใจอย่างมาก?

บางครั้งไม่ได้มาจากความรุนแรงของถ้อยคำที่ถูกสื่อสารออกมาอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิต มุมมอง อารมณ์ สิ่งแวดล้อม และการให้ความสำคัญต่อเรื่องต่างๆ ในชีวิตที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน

ข้าพเจ้าได้อ่านบทความเรื่อง เปลี่ยนการทำร้ายกันด้วยคำพูด เป็นการเรียนรู้ผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน ซึ่ง ดร.มุก – กัณฐรัตน์ เหลืองอ่อน นักจิตวิทยาคำปรึกษา ได้ชวนให้ปรับมุมมอง ลดการตัดสินผู้อื่นและทำร้ายผู้อื่นด้วยคำพูด

‘กฎของกระจก’ (ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเรา) สามารถอธิบายว่า ทําไมเราถึงเจ็บปวดกับคำบางคํา เพราะจริงๆ แล้ว ตัวเราเองเป็นคนที่ยิงคําพวกนี้ใส่ตัวเองโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ดังนั้นเวลาที่คนอื่นพูดมา แม้บทสนทนาจะมีสัก 100 คำ แต่เราก็จะไปโฟกัสเฉพาะคําที่แทงใจเรา หรือคําที่เรายิงใส่ตัวเองเสมอ จึงทำให้เจ็บปวดมาก เพราะสิ่งนี้ตรงกับสิ่งที่เราคิดว่าตัวเราเป็น

“ธรรมชาติของมนุษย์ ชอบไปโฟกัสกับสิ่งที่ไม่ดี ยิ่งเราอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดีย เราจะเห็นหลายเรื่องในแง่ลบอยู่ทุกๆ วัน เลยทำให้เรามีจิตใจที่หมกมุ่นกับคำลบๆ และประสบการณ์ทางลบนั้นโดยไม่รู้ตัว เราควรจะกลับมาสํารวจความเป็นจริง ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นจริง ก็จะได้กลับมาบอกตัวเองได้ว่ามันไม่ใช่ เพราะสุขภาพจิตก็เหมือนสุขภาพร่างกาย ถ้าในวันที่เราอ่อนแอ ภูมิต่ำ เราก็จะติดเชื้อโรคได้ง่าย สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องออกกำลังใจให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน

พระวจนะของพระเจ้ามีคำสอนทุกเรื่องในการดำเนินชีวิต ทุกๆ เช้าที่เราเข้ามารับฟังพระวจนะของพระเจ้าในห้องนมัสการนี้ หากเรารับฟังอย่างตั้งใจ พระวจนะก็จะตกลงในจิตใจของเรา เป็นข้อคิด นำไปใช้ ในการดำเนินชีวิต การรับฟังพระวจนะของพระเจ้าในทุกๆ เช้านี้ ก็เป็นการออกกำลังใจให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน

หากปกติเราเป็นคนพูดแบบไม่คิด ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอง หากจะพูดอะไรออกไป ให้นำคำพูดนั้นไปคิดในใจก่อนสัก 5 วินาที ว่าควรพูดออกไปหรือไม่ สิ่งที่จะช่วยชะลอการพูดทำร้ายคนอื่นได้คือการมีสติ รู้เท่าทันตัวเอง ในยุคนี้เป็นยุคที่เรามักติดอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดีย คงไม่แค่การสื่อสารด้วยการพูดเพียงอย่างเดียว การสื่อสารด้วยการส่งข้อความต่างๆ หรือการโพสต์ลงในโลกโซเชียลมีเดียก็เช่นกัน ก่อนที่จะกดโพสต์ หรือส่งข้อความ คงต้องอ่านและคิดทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่าเหมาะสมหรือไม่

นักจิตวิทยาก็ได้เล่าอีกว่าตัวของท่านเองก็เช่นกัน เมื่อเวลาที่จะพูดอะไร ต้องคิดก่อนว่า ตอนนี้เรากำลังตัดสินเขาอยู่หรือเปล่า และถ้าพูดออกไปแล้วเป็นเรื่องที่ดีก็พูดเลย แต่ถ้าพูดแล้วกลายเป็นลบ ก็ไม่ควรพูด เก็บไว้ในใจดีกว่า

เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้อ่านข้อคิดจากเพจหนึ่งซึ่งขึ้นมาบน facebook เป็นข้อคิดสำหรับข้าพเจ้าและคิดว่าจะนำมาแบ่งปันในเช้านี้ น่าจะเป็นเรื่องที่เก่าแล้ว หลายท่านอาจเคยได้ยิน ซึ่งเจ้าของเพจได้บอกว่า ชอบเรื่องนี้มาก อ่านบ่อยๆ เตือนตัวเอง (Page IT'ME)

"แม่ของผม เป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำทุกวัน... คืนหนึ่ง หลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราตามปกติที่โต๊ะอาหาร แม่วางจานที่มี ปลาทูไหม้เกรียมบนโต๊ะต่อหน้าพ่อ และทุกๆคน ผมรอว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร แต่... พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตากินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่าที่โรงเรียน เป็นอย่างไรบ้าง

คืนนั้น หลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้ และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย... ผมชอบปลาทูทอด เกรียมๆ อร่อยมากนะแม่" คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจ ก่อนนอนผมจึงถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ" พ่อลูบหัวผม และตอบว่า "แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดที่ต่อว่ากันนั้นต่างหากที่จะทำร้ายกัน" "ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ" แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้ในช่วงชีวิต คือ..... การเรียนรู้ ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และของตัวเอง การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาชีวิตครอบครัวที่มีความสุข และยืนยาว “ชีวิตเราสั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารัก และรักเรา ให้ดูแล และทะนุถนอมคนที่รักเรา พยายามเข้าใจ และให้อภัยจะดีกว่า"

 

• เราจะบีบแตร ใส่คนที่ ยืนยึกยักริมถนนแยกที่ผ่านมามั๊ย– ถ้าเรารู้ว่า เค้าใส่ขาเทียม

• เราจะเบียดชนคนข้างหน้าที่เดินช้ามากมั๊ย – ถ้าเรารู้ว่า เค้าเพิ่งตกงาน

• เราจะขำ คนที่แต่งตัวเชยมั๊ย – ถ้าเรารู้ว่า เค้ามีชุดเก่ง แค่ชุดเดียว

• เราจะรำคาญ สาวโรงงานที่มาเดินพารากอนมั๊ย – ถ้าเรารู้ว่า นั่นคือ การฉลองวันเกิดของเธอ

• เราจะหมั่นไส้ ลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่น คนนั้นมั๊ย – ถ้ารู้ว่า แกเป็นมะเร็ง ระยะสุดท้าย

• เรารู้แจ่มชัดเสมอ…ว่าชีวิตเรา กำลังเจออะไร แต่เรา ไม่มีวันรู้ว่า "คนที่เราเจอ – กำลังเจอ กับอะไร"

**โลก กว้างกว่า เงาของเรา และโลก ก็ไม่ได้หมุน รอบตัวเรา

**มองข้าม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง ให้โอกาส และให้อภัย มีความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน จะได้รัก และอยู่ด้วยกัน อย่างยั่งยืนยาวนาน

ถ้าเราอยากจะส่งต่อความสุขให้กับผู้อื่น ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนตัวเอง จากการชอบทิ่มแทงคนอื่น เป็นการเรียนรู้ผู้อื่น ถ้าเราจะหยุดการส่งต่อความเจ็บปวดสู่ผู้อื่นนั้น เราต้องรู้เท่าทันตัวเองก่อนว่าเรามีทัศนคติต่อคนหรือเรื่องราวตรงหน้าอย่างไร เพื่อที่จะชะลอการตัดสิน

ถ้าเราเห็นคุณค่าของตัวเอง รักตัวเองให้เป็น เราก็จะไม่อนุญาตให้อะไรมาทำร้ายเรา เช่นเดียวกับที่เราไม่ต้องการให้ใครมาทำร้ายคนที่เรารัก

ปกติแล้วเวลาที่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น เรามักจะไปโฟกัสกับความเจ็บปวด แต่หากเรายังรักตัวเองมากพอ ก็ให้ลองมองว่า ของขวัญที่ได้รับจากความเจ็บปวดนี้คืออะไร เพราะจะมีของขวัญพิเศษบางอย่างที่มากับสิ่งนั้นเสมอ

พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เสมอ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เกิดประโยชน์ ถึงแม้สิ่งนั้นจะมีโทษในตัวของสิ่งนั้นเองก็ตาม ทุกๆ ความเจ็บปวด ทุกๆ ความป่วย ทุกๆ ความยากลำบาก ที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรา ก็จะมีพระพรที่ซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ เพียงแต่เรามักมองไม่เห็น

บางคนที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ กลับมีชีวิตที่ยืนยาว สุขภาพดีขึ้น กว่าคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก่อน ของขวัญของคนที่รู้ตัวเองว่าป่วยคือ เขาจะไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จะรู้ว่าชีวิตของเขามีคุณค่าและมีความสุขแค่ไหน”

หลายท่านก็ได้บอกว่า แค่เราตื่นขึ้นมาและยังมีลมหายใจ พระเจ้าให้โอกาสในเช้าวันใหม่ในอีกหนึ่งวันให้เราได้ตื่นขึ้นมาทำประโยชน์เพื่อแผ่นดินของพระองค์บนโลกนี้ เพียงแต่นี้เราก็ขอขอบคุณพระเจ้าแล้วหละ

 

ยากอบ 1:19

พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

การเป็นแบบอย่างที่ดี

 

การเป็นแบบอย่างที่ดี

 

24 เมษายน 2024

ทิโทธี 4:11-16

11จงสั่งและสอนสิ่งเหล่านี้

12อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและความประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์

         13จงใฝ่ใจในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ในการเทศนาและในการสั่งสอนจนกว่าเราจะมา

         14อย่าละเลยความสามารถที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์ เมื่อคณะผู้ปกครองได้เอามือวางบนท่าน

         15จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ เพื่อความเจริญของท่านจะได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง

          16จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น เพราะเมื่อกระทำดังนั้น ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้

 

เช้านี้ ข้าพเจ้าตั้งหัวข้อที่ชื่อว่า การเป็นแบบอย่างที่ดี 

การเป็นแบบอย่างที่ดี สำหรับข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย คนเราแต่ละคนก็มีบทบาทหน้าที่ในตัวเราเองในแต่ละวันหลายบทบาทเช่นกัน เช่นในครอบครัวบางคนก็เป็น พ่อ แม่ เป็น พี่ เป็นน้อง ในที่ทำงานก็อาจเป็นทั้งหัวหน้า ลูกน้อง เป็นเพื่อน ซึ่งแบบอย่างในแต่ละบทบาทมีความสำคัญ เพราะบางบทบาทนั้นก็จะมีผู้ที่ต้องการยึดเราแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตของเขา โดยเฉพาะการเป็น พ่อ แม่ ซึ่งการสอน และแสดงออกให้ลูกๆ ได้เห็นอย่างไร ลูกๆ ก็อาจจะประพฤติตามและแสดงออกแบบเดียวกันเช่นนั้น  โดยเฉพาะการเป็นแบบอย่างในชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน การกระทำ และคำพูดของเราในการใช้ชีวิตประจำวันนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรอบข้างบ้างหรือไม่ ซึ่งในพระคัมภีร์ข้างต้นก็ได้บอกเราว่า ...จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและความประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์

ในพระธรรม 1ทิโมธี นั้น ผู้เขียนคือ อาจารย์เปาโล ได้เขียนถึง ทิโมธี เพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นการสั่งสอน ซึ่งในขณะนั้นทิโมธีเผชิญกับความกดดัน ความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งทิโมธีเป็นศิษยาภิบาลหนุ่ม เขาต้องทำให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า ซึ่งได้ดูถูกดูแคลนเขา ให้พวกเขาเหล่านั้นเชื่อถือในตัวเขาในด้านความประพฤติ ให้เป็นแบบอย่างที่ดีด้านคำสอน การดำเนินชีวิต ความรัก ความเชื่อ ความบริสุทธิ์ สำหรับในวันนี้ พระธรรมข้างต้นนี้ ก็ได้เตือนใจเราว่า ไม่ว่าเราจะอายุมาก หรือน้อย แค่ไหน จงใช้ชีวิตในแบบอย่างที่ผู้อื่นจะได้เห็นพระคริสต์ในชีวิตของเรา

   

 ซึ่งในเช้านี้ ข้าพเจ้าอยากเชิญชวนพี่น้องมาใคร่ครวญร่วมกันใน

 ทิโทธี 4:12

          อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและความประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์

 

ในพระคัมภีร์ข้อนี้ก็ได้บอกกับเราว่า จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ซึ่งได้กล่าวถึงแบบอย่างใน 5 ประการ คือ

               1. แบบอย่างในทางด้านวาจา หรือคำพูด

               2. แบบอย่างในความประพฤติ

               3. แบบอย่างในความรัก

               4. แบบอย่างในความเชื่อ

               5. แบบอย่างในความบริสุทธิ์

  

 

1. แบบอย่างในด้านวาจา หรือคำพูด

 ยากอบ 3:9 – 10

เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์ คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้าไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น

                   ใน ยากอบ 3:9-10 ว่าด้วยเรื่องของลิ้น เราสรรเสริญพระเจ้าด้วยลิ้นนี้ แต่ก็กลับใช้ลิ้นเดียวกันนี้ พูดกับเพื่อนมนุษย์ ในทางตรงกันข้าม ควรหลีกเลี่ยงคำพูดแง่ลบ พูดโกหก พูดด้วยอารมณ์โมโห พูดให้ร้ายผู้อื่น แต่ควรพูดในทางเสริมสร้างกันและกัน ให้กำลังใจกันจะดีกว่า

 

2. แบบอย่างในความประพฤติ

 ยากอบ 3:13

ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพ ประกอบด้วยปัญญา

แบบอย่างที่ดีในชีวิต ไม่เพียงแต่เป็นการสอนเท่านั้น แบบอย่างที่ดีคือแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีตามพระวจนะของพระเจ้า


3. แบบอย่างในความรัก 

ยอห์น 15:13

ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน

และใน ยอห์น 15:17 สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน

 

พระวจนะของพระเจ้า ให้เรารักซึ่งกันและกัน เหมือนที่พระเยซูคริสต์ทรงรักเรา และพระองค์ทรงรักเรามากพอจนตายแทนเราได้ เราอาจจะไม่ต้องตายแทนใครได้แต่เราสามารถแสดงความรักที่เสียสละของเราแก่คนอื่นๆ ได้ โดยการรับฟัง การให้กำลังใจ ช่วยเหลือตามกำลัง

 

4. แบบอย่างในความเชื่อ

          ไม่มีใครมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ หลายครั้งรอบๆ ตัวเราก็อาจมีความท้าทาย จากหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ทำให้ความเชื่อเราถดถอยได้ เราจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า อาจมีใครบางคนต้องการให้เราเป็นแสงสว่างส่องนำทางเขาก็ได้

William J. Toms ได้กล่าวไว้ว่า จงระวังวิถีที่คุณดำเนินชีวิต เพราะว่าคุณอาจจะเป็นพระคัมภีร์เล่มเดียวที่คนบางคนได้อ่าน (ในชีวิตของเขา)

 

5. แบบอย่างในความบริสุทธิ์

             เราต้องสะอาดทั้งร่างกาย ความคิด จิตใจ และจิตวิญญาณ

 โครินธ์ 6:19-20

ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง

          พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด

 

พระเยซูคริสต์ได้ซื้อเรามาด้วยความรัก โดยสละชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่ในความบาปของเรา เพื่อให้เรารอด เราจึงต้องดูแลชีวิตของเราที่ได้ถูกซื้อมาในราคาสูง คือถูกซื้อจากชีวิตของพระองค์

วันนี้เราจะเป็นแบบอย่างที่ดีในชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า ทั้ง 5 ด้านนี้ เราอาจจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางวันก็ทำได้ บางวันก็รู้สึกอารมณ์มันไม่ให้ เราเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ เราจำเป็นที่จะต้องพึ่งพระเจ้า  เราจะอธิษฐานทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เราเป็นแบบอย่างที่ดีตามพระคัมภีร์


ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ