วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566

มองขึ้นไปข้างบนเมื่อเรารู้สึกตกต่ำ

 

26 ธันวาคม 2023

มองขึ้นไปข้างบนเมื่อเรารู้สึกตกต่ำ

 

หัวข้อในการแบ่งปันเช้านี้ เนื่องมาจากในค่ำคืนแห่งการชื่นชมยินดีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและเพื่อน ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนที่เราสองคนยังไม่รู้จักพระเจ้า เราคงรู้สึกโกรธ แต่ขณะนั้นเรารู้สึกเหมือนๆ กันคือ เรารู้สึก อาย เนื่องจากความเป็นมนุษย์ของเรา ที่มีจิตใจที่อ่อนแอ แต่ของคุณพระเจ้าที่ทำให้เราต้องพึ่งพาพระองค์มากขึ้น และเช้านี้ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเจ้าได้นำให้ข้าพเจ้าพบบทความนี้ เพื่อนำมาหนุนใจและแบ่งปัน ซึ่งข้าพเจ้าได้สรุปให้พอดีกับเวลาในเช้านี้

คนเราล้วนมีช่วงเวลาที่รู้สึกตกต่ำในชีวิตด้วยกันหลายเหตุผล แต่เราต้องไม่ยอมให้สถานการณ์ต่างๆ มาควบคุมอารมณ์ของเรา ซาตานแสวงหาโอกาสที่จะใส่ความคิดของเราด้วยความคิดแง่ลบที่ทำให้เราสูญเสียความยินดีและรู้สึกเศร้า ซาตานเป็นผู้ใส่ความท้อใจ และต้องการดึงให้อารมณ์ของเราตกต่ำลง ดึงฝ่ายวิญญาณของเราลง และดึงลงในทุกๆ ด้านที่มันสามารถทำได้

แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ให้กำลังใจเรา และพระองค์มาเพื่อยกชูเราขึ้น พระองค์มาเพื่อให้ความชอบธรรมแก่เรา ให้สันติสุข ความยินดี แก่เรา พระองค์ต้องการให้เราคาดหวังสิ่งดีในอนาคตและเติมเราให้เต็มด้วยความหวัง

เราอาจต้องเจอกับช่วงเวลาที่ผิดหวังและทุกข์ใจกับแผนงานหรือความฝันของเราที่ไม่สำเร็จ เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังไว้ ก็ทำให้เรารู้สึกท้อใจหรือผิดหวังเสมอ แต่เราต้องใส่ใจกับวิธีการที่เรารับมือกับความรู้สึกเหล่านี้ เพราะถ้าหากเรายังคงแช่อยู่กับความรู้สึกท้องใจแบบนั้นนานเกินไป มันจะนำเราไปสู่ความซึมเศร้า

สดุดี 30:5 ได้บอกกับเราว่า เพราะความกริ้วของพระองค์นั้นเป็นแต่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต การร้องไห้อาจจะคงอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความยินดีจะมาเวลาเช้าสิ่งต่างๆ อาจทำให้เรารู้สึกเศร้าเพียงชั่วคราว แต่เราต้องไม่แช่อยู่ในความเศร้านั้น ถ้าหากเราแช่อยู่ในความเศร้าแบบนั้น ศัตรูหรือมารจะฉวยโอกาสนี้เปิดประตูและยัดเยียดวิธีการของมันเพื่อทำให้เราท้อใจ ผิดหวังและหมดกำลังใจเข้ามาในชีวิตของเรา

แต่โดยพระเจ้า เมื่อเราผิดหวัง เราสามารถตัดสินใจที่จะรับการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เราสามารถเลือกมองดูที่พระองค์สำหรับความหวังใหม่และกำลังใหม่ที่จะก้าวต่อไป

1.     ใส่ใจกับความรู้สึกของเราเอง

หากเราเคยซึมเศร้า เราย่อมรู้ดีว่ามันสามารถทำให้เรารู้สึกอยากแยกตัวออกไปจากทุกๆคน ยิ่งทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว และสิ้นหวัง เหมือนทุกสิ่งรอบตัวเรากำลังสลายหายไป เมื่อเราอยู่ในภาวะซึมเศร้านั้น มาจากปัญหาทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งซาตานก็ใช้ภาวะซึมเศร้านั้นเพื่อขโมยฤทธิ์อำนาจและเสรีภาพฝ่ายวิญญาณไปจากคนนั้น มันเสาะหาที่จะใส่ความมืดหม่นหมองเข้ามาในความนึกคิดของเราและนำเราให้ตกต่ำลง

แต่พระเจ้าต้องการช่วยเราให้มีชีวิตที่เป็นอิสระจากภาวะซึมเศร้า พระองค์ต้องการเติมเราให้เต็มด้วยความยินดี ความหวังและการคาดหวังสิ่งดีๆ สำหรับชีวิตของเรา ในการร่วมมือกันกับพระองค์ มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือเรียนรู้ที่จะไม่ดำเนินชีวิตตามความรู้สึก ความรู้สึกของเรานั้นแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงได้ในทุกวัน เราไม่ควรตามทุกความคิดและทุกความรู้สึกที่มี เพราะสิ่งเหล่านั้นมักขัดแย้งกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

2.     ใช้คลังความคิดจากพระวจนะของพระเจ้า

ความนึกคิดคืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่พิชิตความท้อแท้และซึมเศร้าได้ สิ่งที่เราคิดมีอิทธิพลต่อทุกด้านในชีวิตของเรา ความนึกคิดของเรามีอำนาจมาก เมื่อเราเลือกแช่อยู่กับสิ่งแง่ลบทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเองหรือสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเรา นั่นเท่ากับเรากำลังหล่อเลี้ยงความท้อแท้และซึมเศร้า

หากเราให้ความสำคัญในถ้อยคำของพระเจ้า ยิ่งเราใช้เวลาอ่านและคิดเกี่ยวกับพระวจนะ ของพระเจ้ามากเท่าไหร่ ยิ่งเราให้พระวจนะเข้าไปในใจของเรามากเท่าไหร่ เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นจากภายใน

ฮีบรู 4:12 ได้กล่าวว่า เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ ...พระวจนะมีความสามารถในการเปลี่ยนวิธีการมองดูตัวเองของเราและเปลี่ยนอนาคตของเรา เมื่อเราเติมความนึกคิดของเราด้วยสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับเราและเรียกร้องพระสัญญาสำหรับตัวเราเองแล้ว พระวจนะนั้นก็จะนำความหวังและสร้างความเชื่อของเราให้เข้มแข็งได้

3.     อย่าลืมที่จะสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า

เราอาจไม่รู้สึกชอบการสรรเสริญพระเจ้าเสมอทุกครั้ง แต่เราสามารถใช้เวลาสักครู่เพื่อพูดคุยกับพระเจ้าและขอบคุณพระองค์ สำหรับความดีของพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่มีพลังมากที่สุดอย่างหนึ่งที่เราใช้เพื่อต่อสู้กับความท้อแท้และภาวะซึมเศร้า เราเชิญการทรงสถิตของพระเจ้าให้เข้ามาในสถานการณ์ของเรา ซึ่งจะนำกำลัง สันติสุข และความยินดีมาให้เรา

ฟิลิปปี 4:4 ได้บอกเราว่า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด

การสรรเสริญพระเจ้าในท่ามกลางความเจ็บปวดของเราเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราทำได้ ทำไมหรือ? เพราะเมื่อเราเลือกที่จะจับสายตาของเราอยู่ที่พระเจ้าและชื่นชมยินดีในสิ่งดีที่พระองค์ได้กระทำ ทำให้เรารู้ว่าพระองค์ใหญ่กว่าปัญหาของเรา

เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราเชิญการทรงสถิตของพระองค์ ให้เข้ามาในชีวิตของเรา พระองค์จะแทนที่ความท้อแท้และความเศร้าด้วยความยินดีและสันติสุขของพระองค์...พระองค์ประทานความหวังและใส่ชีวิตใหม่เข้าไปในสถานการณ์ของเรานั้น

4.     ยอมให้พระเจ้ารับความเจ็บปวดของเราไป

เราจะไม่มีวันเป็นอิสระอย่างเต็มที่จากความเจ็บปวดหรือความผิดหวังของเรา แต่เราไม่จำเป็นต้องปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มาทำลายวันพรุ่งนี้ของเรา

เรามีทางเลือก เราสามารถพลิกผันสิ่งต่างๆ ได้โดยการตัดสินใจปล่อยวางสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ท้อแท้และหดหูใจ แล้วมุ่งไปที่สิ่งดีต่างๆ ที่พระเจ้าได้วางแผนไว้สำหรับอนาคตของเรานั้น

ครั้งต่อไปเมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์ที่ดึงเราให้ตกต่ำลง ให้ตัดสินใจหันเข้าหาพระวิญญาณบริสุทธิ์และยอมให้พระองค์ เติมเราให้เต็มด้วยความหวัง เลือกที่จะเชื่อมั่นสิ่งที่พระเจ้าตรัสแทนเชื่อความรู้สึกของเราเอง เติมความนึกคิดและปากของเราด้วยความคิดด้านบวกและเต็มไปด้วยความหวังจากพระวจนะของพระเจ้า

เราต้องไม่ยอมให้ความท้อใจและความหดหู่เศร้าใจมาปกครองเหนือชีวิตของเรา เมื่อ “มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต” จงยอมให้พระเจ้าแห่งความหวังทั้งสิ้นเสริมกำลังและหนุนใจเราจากภายใน

เพราะไม่ว่าเรากำลังก้าวผ่านสิ่งใด พระเจ้าพร้อมและเต็มใจที่จะช่วยรับเอาความเจ็บปวดไปจากเรา และพลิกผันสิ่งนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและเพื่อนนั้น ทำให้เราได้คิดทบทวนในเรื่องท่าทีและคำพูดของตัวเราเองที่จะมีต่อผู้อื่นในวันข้างหน้าต่อไปมากกว่า เพราะคำพูดของเราที่พูดออกไป บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเป็นคำพูดที่ ธรรมดา แต่ผู้ฟังอาจรู้สึกว่า ไม่ธรรมดา และอาย เหมือนข้าพเจ้ารู้สึกในคืนนั้นก็เป็นได้

ในเช้านี้ ข้าพเจ้าอยากเชิญชวนให้เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่ส่งพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นความหวัง เป็นกำลังใจ เป็นแสงสว่างนำทางให้กับเราทุกคน และเปลี่ยนเราเป็นคนใหม่

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณบทความของอาจารย์ จอยซ์ ไมเออร์