18 กันยายน 2023
ในเวลาของพระเจ้า
ยอห์น 2:1-11 TH1971
1วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี
และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น 2พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น
3เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น”
4พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด
เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง” 5มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า
“จงกระทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด” 6มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว
จุน้ำโอ่งละสี่ห้าถัง 7พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า
“จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” และเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก 8แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า
“จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้ 9เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว
และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 10และพูดกับเขาว่า
“ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน
เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา
แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” 11นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระเยซู
ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์
และสาวกของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์
ในพระธรรมยอห์น มีเรื่องที่บันทึกเกี่ยวกับหมายสำคัญและอัศจรรย์
7 อย่าง เริ่มต้นจากการที่พระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น
จากพระธรรมยอห์น 2:1-11 ข้างต้นนี้
และบทที่ 4 พระองค์ทรงรักษาบุตรของข้าราชการคนหนึ่งซึ่งใกล้จะเสียชีวิตแล้วให้หายจากโรค
แม้พระองค์ไม่ได้เดินทางไปที่บ้านของเขา แค่พระองค์ตรัสโรคนั้นก็ถูกรักษาให้หายขาด
บทที่ 5 เป็นการรักษาคนเป็นอัมพาต ป่วยมาแล้วถึง 38 ปี ให้หาย และบทอื่นๆ อีก
ก็ได้กล่าวถึงหมายสำคัญ หรือการอัศจรรย์
ในพระธรรม ยอห์น บทที่ 2 นี้เป็นหมายสำคัญประการแรก
หมายสำคัญนี้จะนำให้สาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ รู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น
และนำไปสู่ความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น
ในบทนี้ได้สอนเราถึงเรื่องการที่เราพบเจอปัญหา
เมื่อเราเจอปัญหาแม้จะเป็นปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่สักเพียงใด
ให้เราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ และรอคอยเวลาจากพระองค์
ในบทที่ 2 ข้อ 1-11 เป็นเรื่องของงานสมรสที่หมู่บ้านคานา
มารดาของพระเยซูคริสต์อยู่ในงานนี้ด้วย และพระเยซูคริสต์พร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์
ก็ถูกเชิญไปในงานนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งนางมารีย์ได้อยู่ร่วมในงานและดูเหมือนว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบคนหนึ่งในงานนี้ด้วย
งานสมรสนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว ตามประเพณีสมัยนั้น บางครั้งงานสมรสจะฉลองไปเรื่อยๆ
หลายวัน เช่นเดียวกับงานสมรสนี้ และเหล้าองุ่นที่นำมาฉลองในงานก็น่าจะมีอยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย
ในทำเนียมของชาวยิวแล้วการดื่มเหล้าองุ่น เป็นสัญลักษณ์ของความชื่นบาน
ความชื่นชมยินดี ความสุข เหล้าองุ่นสำหรับงานนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
เมื่อเหล้าองุ่นหมดไป เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็คงกังวลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้นนางมารีย์ซึ่งเป็นมารดาของพระเยซูคริสต์
คงมองดูแล้วว่าไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้ จึงได้บอกปัญหานี้กับพระเยซูคริสต์
อาจเป็นไปได้ว่านางมารีย์น่าจะมีประสบการณ์และมีความเชื่อบางอย่างในพระเยซูคริสต์ นางมารีย์จึงได้บอกคนใช้ให้ทำตามที่พระเยซูคริสต์บอกทุกประการ
พระเยซูคริสต์จะให้ทำอะไร ก็ให้ทำตามคำสั่งทุกอย่าง
สิ่งแรกที่น่าสนใจในข้อ 4
พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับนางมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด
....” สิ่งที่จะนำมาใคร่ครวญร่วมกันในเช้านี้ก็คือ
เรื่องทุกเรื่องเราจงมอบให้กับพระเจ้า ให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือ หากเราเผชิญปัญหา
ให้เราไว้วางใจพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์บอกกับนางมารีย์ว่า ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด
พระเยซูคริสต์ให้นางมารีย์วางใจในพระองค์ เราก็เช่นกัน พระเยซูคริสต์ก็ได้บอกกับเราเช่นเดียวกับที่บอกกับนางมารีย์
ให้เป็นธุระของพระองค์ มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้แบกภาระหนัก
จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก”
ให้เรานำปัญหาต่างๆ มอบไว้กับพระองค์ และวางใจในพระองค์
สิ่งที่สอง ในข้อ 4 นี้
ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสต่อไปว่า “… เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง” เราเรียนรู้ได้ว่า ชีวิตของเราควรเรียนรู้ที่จะรอคอยพระเจ้า
พระเจ้าให้เราเรียนรู้ที่จะให้เรารอคอย เรามักคิดว่าปัญหาใหญ่ๆ เราก็อยากแก้ไขปัญหาเร็วๆ
ความจริงแล้ว พระเจ้าไม่เคยมาสาย แต่พระองค์มาทันเวลาเสมอ
พระเจ้าจะช่วยแก้ไข เพียงแต่เรารอคอยเวลาที่เหมาะสม
ในเรื่องของน้ำนั้นก็เช่นเดียวกัน
ในข้อ 7 7พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด”
สิ่งนี้ไม่เกินกำลังที่คนรับใช้เหล่านั้นจะทำได้ 8แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า
“จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” นี่ก็ไม่เกินกำลังที่คนรับใช้จะทำได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนน้ำเปล่าเป็นเหล้าองุ่น
นั่นไม่ใช่หน้าที่ของคนรับใช้เลย แต่เป็นหน้าที่ที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ
และนี่คือวิธีการของพระเจ้า ส่วนคนใช้นั้นเชื่อฟังและทำตาม เราก็เช่นกัน พระเจ้าจะไม่ให้เราแบกภาระที่เกินกำลังของเราในแต่ละคน
เพียงแต่เรามักไม่รอคอยเวลาของพระองค์ ซึ่งยังมาไม่ถึง 1 โครินธ์ 10:13
“ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์
พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้
และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้”
ในสมัยของพระเยซู โอ่ง ที่ทำจากหินถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ตามธรรมเนียมซึ่งมีไว้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
เป็นการถือปฏิบัติของชาวยิวที่จะมีพิธีชำระตนให้บริสุทธิ์ก่อนการรับประทานอาหารโดยการล้างมือของพวกเขาโดยใช้น้ำจากโอ่งหินเหล่านี้
ข้อคิดที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งในเรื่องของน้ำในโอ่งชำระนั้น
ซึ่งเป็นน้ำที่ไม่มีคุณค่าอะไร แต่กลับกลายเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี ซึ่งเจ้าภาพได้บอกถึงคุณภาพของเหล้าองุ่น
หากเปรียบเทียบกับตัวเรา แต่ก่อนอาจเป็นน้ำที่สำหรับชำระล้าง เดิมเราอาจไม่มีคุณค่าอะไร
คนทั่วไปมองเราว่าเป็นน้ำธรรมดา ไม่มีคุณค่า แต่เมื่อพระเจ้าได้เลือกใช้เรา หรือใช้น้ำนั้นที่เคยไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่าอะไร
หากเรายอมให้พระเจ้าใช้ เราก็จะกลายเป็นเหมือนเหล้าองุ่นชั้นดี
เรามักจะเอาวิถีชีวิตของเราเองไปแขวนไว้กับความรู้และปัญญาของมนุษย์
เราจะเห็นว่าการงานแบบมนุษย์ก็เกิดผลเช่นเดียวกัน
แต่เป็นผลงานที่เกิดขึ้นโดยไม่มีพระพรของพระเจ้าอยู่ด้วย การเกิดผลจะไม่ยั่งยืน
พระพรจะไม่ตกสู่ลูกหลาน คนรุ่นหลัง ขอเรามอบภาระหน้าที่การงาน ทั้งความรับผิดชอบส่วนตัว
ครอบครัว มอบให้กับพระเจ้า เราอาจจะยังไม่ได้รับคำตอบทันทีทันใด แต่จะได้เห็นพระพรที่ซ่อนอยู่มากมายอย่างแน่นอนหากเรามอบชีวิตไว้กับพระองค์
ให้เรารอคอยพระเจ้า ยอมรับและใช้วิธีของพระเจ้า แล้วพระองค์จะกระทำทุกสิ่งให้งดงาม
ในเวลาของพระองค์
ปัญญาจารย์ 3:11
พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน
พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า
พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย
สดุดี 31:24
จงเข้มแข็ง
และให้ใจของท่านกล้าหาญเถิดนะ ท่านทั้งปวงผู้รอคอยพระเจ้า