วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2566

ในเวลาของพระเจ้า

 

18 กันยายน 2023

ในเวลาของพระเจ้า

 

ยอห์น 2:1-11 TH1971

1วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น 2พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น 3เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น” 4พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง” 5มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “จงกระทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด” 6มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำโอ่งละสี่ห้าถัง 7พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” และเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก 8แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้ 9เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 10และพูดกับเขาว่า “ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” 11นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระเยซู ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ และสาวกของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์

 

ในพระธรรมยอห์น มีเรื่องที่บันทึกเกี่ยวกับหมายสำคัญและอัศจรรย์ 7 อย่าง เริ่มต้นจากการที่พระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น จากพระธรรมยอห์น 2:1-11 ข้างต้นนี้ และบทที่ 4 พระองค์ทรงรักษาบุตรของข้าราชการคนหนึ่งซึ่งใกล้จะเสียชีวิตแล้วให้หายจากโรค แม้พระองค์ไม่ได้เดินทางไปที่บ้านของเขา แค่พระองค์ตรัสโรคนั้นก็ถูกรักษาให้หายขาด บทที่ 5 เป็นการรักษาคนเป็นอัมพาต ป่วยมาแล้วถึง 38 ปี ให้หาย และบทอื่นๆ อีก ก็ได้กล่าวถึงหมายสำคัญ หรือการอัศจรรย์

ในพระธรรม ยอห์น บทที่ 2 นี้เป็นหมายสำคัญประการแรก หมายสำคัญนี้จะนำให้สาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ รู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น

ในบทนี้ได้สอนเราถึงเรื่องการที่เราพบเจอปัญหา เมื่อเราเจอปัญหาแม้จะเป็นปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่สักเพียงใด ให้เราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ และรอคอยเวลาจากพระองค์

ในบทที่ 2 ข้อ 1-11 เป็นเรื่องของงานสมรสที่หมู่บ้านคานา มารดาของพระเยซูคริสต์อยู่ในงานนี้ด้วย และพระเยซูคริสต์พร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์ ก็ถูกเชิญไปในงานนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งนางมารีย์ได้อยู่ร่วมในงานและดูเหมือนว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบคนหนึ่งในงานนี้ด้วย งานสมรสนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว ตามประเพณีสมัยนั้น บางครั้งงานสมรสจะฉลองไปเรื่อยๆ หลายวัน เช่นเดียวกับงานสมรสนี้ และเหล้าองุ่นที่นำมาฉลองในงานก็น่าจะมีอยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ในทำเนียมของชาวยิวแล้วการดื่มเหล้าองุ่น เป็นสัญลักษณ์ของความชื่นบาน ความชื่นชมยินดี ความสุข  เหล้าองุ่นสำหรับงานนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เมื่อเหล้าองุ่นหมดไป เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็คงกังวลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้นนางมารีย์ซึ่งเป็นมารดาของพระเยซูคริสต์ คงมองดูแล้วว่าไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้ จึงได้บอกปัญหานี้กับพระเยซูคริสต์ อาจเป็นไปได้ว่านางมารีย์น่าจะมีประสบการณ์และมีความเชื่อบางอย่างในพระเยซูคริสต์ นางมารีย์จึงได้บอกคนใช้ให้ทำตามที่พระเยซูคริสต์บอกทุกประการ พระเยซูคริสต์จะให้ทำอะไร ก็ให้ทำตามคำสั่งทุกอย่าง

สิ่งแรกที่น่าสนใจในข้อ 4 พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับนางมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด .... สิ่งที่จะนำมาใคร่ครวญร่วมกันในเช้านี้ก็คือ เรื่องทุกเรื่องเราจงมอบให้กับพระเจ้า ให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือ หากเราเผชิญปัญหา ให้เราไว้วางใจพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์บอกกับนางมารีย์ว่า ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด พระเยซูคริสต์ให้นางมารีย์วางใจในพระองค์ เราก็เช่นกัน พระเยซูคริสต์ก็ได้บอกกับเราเช่นเดียวกับที่บอกกับนางมารีย์ ให้เป็นธุระของพระองค์ มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้แบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก ให้เรานำปัญหาต่างๆ มอบไว้กับพระองค์ และวางใจในพระองค์

สิ่งที่สอง ในข้อ 4 นี้ ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสต่อไปว่า “… เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง” เราเรียนรู้ได้ว่า ชีวิตของเราควรเรียนรู้ที่จะรอคอยพระเจ้า พระเจ้าให้เราเรียนรู้ที่จะให้เรารอคอย เรามักคิดว่าปัญหาใหญ่ๆ เราก็อยากแก้ไขปัญหาเร็วๆ ความจริงแล้ว พระเจ้าไม่เคยมาสาย แต่พระองค์มาทันเวลาเสมอ พระเจ้าจะช่วยแก้ไข เพียงแต่เรารอคอยเวลาที่เหมาะสม

ในเรื่องของน้ำนั้นก็เช่นเดียวกัน ในข้อ 7 7พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” สิ่งนี้ไม่เกินกำลังที่คนรับใช้เหล่านั้นจะทำได้ 8แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” นี่ก็ไม่เกินกำลังที่คนรับใช้จะทำได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนน้ำเปล่าเป็นเหล้าองุ่น นั่นไม่ใช่หน้าที่ของคนรับใช้เลย แต่เป็นหน้าที่ที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ และนี่คือวิธีการของพระเจ้า ส่วนคนใช้นั้นเชื่อฟังและทำตาม เราก็เช่นกัน พระเจ้าจะไม่ให้เราแบกภาระที่เกินกำลังของเราในแต่ละคน เพียงแต่เรามักไม่รอคอยเวลาของพระองค์ ซึ่งยังมาไม่ถึง 1 โครินธ์ 10:13 “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้

 ในสมัยของพระเยซู โอ่ง ที่ทำจากหินถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ตามธรรมเนียมซึ่งมีไว้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เป็นการถือปฏิบัติของชาวยิวที่จะมีพิธีชำระตนให้บริสุทธิ์ก่อนการรับประทานอาหารโดยการล้างมือของพวกเขาโดยใช้น้ำจากโอ่งหินเหล่านี้

ข้อคิดที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งในเรื่องของน้ำในโอ่งชำระนั้น ซึ่งเป็นน้ำที่ไม่มีคุณค่าอะไร แต่กลับกลายเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี ซึ่งเจ้าภาพได้บอกถึงคุณภาพของเหล้าองุ่น หากเปรียบเทียบกับตัวเรา แต่ก่อนอาจเป็นน้ำที่สำหรับชำระล้าง เดิมเราอาจไม่มีคุณค่าอะไร คนทั่วไปมองเราว่าเป็นน้ำธรรมดา ไม่มีคุณค่า แต่เมื่อพระเจ้าได้เลือกใช้เรา หรือใช้น้ำนั้นที่เคยไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่าอะไร หากเรายอมให้พระเจ้าใช้ เราก็จะกลายเป็นเหมือนเหล้าองุ่นชั้นดี

เรามักจะเอาวิถีชีวิตของเราเองไปแขวนไว้กับความรู้และปัญญาของมนุษย์ เราจะเห็นว่าการงานแบบมนุษย์ก็เกิดผลเช่นเดียวกัน แต่เป็นผลงานที่เกิดขึ้นโดยไม่มีพระพรของพระเจ้าอยู่ด้วย การเกิดผลจะไม่ยั่งยืน พระพรจะไม่ตกสู่ลูกหลาน คนรุ่นหลัง ขอเรามอบภาระหน้าที่การงาน ทั้งความรับผิดชอบส่วนตัว ครอบครัว มอบให้กับพระเจ้า เราอาจจะยังไม่ได้รับคำตอบทันทีทันใด แต่จะได้เห็นพระพรที่ซ่อนอยู่มากมายอย่างแน่นอนหากเรามอบชีวิตไว้กับพระองค์ ให้เรารอคอยพระเจ้า ยอมรับและใช้วิธีของพระเจ้า แล้วพระองค์จะกระทำทุกสิ่งให้งดงาม ในเวลาของพระองค์

 

ปัญญาจารย์ 3:11

พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย

 

สดุดี 31:24

จงเข้มแข็ง และให้ใจของท่านกล้าหาญเถิดนะ ท่านทั้งปวงผู้รอคอยพระเจ้า