11
สิงหาคม 2023
อัตลักษณ์ที่ไร้คู่แข่ง
คุณเคยแข่งขันมั๊ย ?
เป็นคำถามจากหนังสือ ไร้คู่แข่ง
ของลิซ่า บีเวียร์ อยู่ในบทที่ชื่อว่า อัตลักษณ์ที่ไร้คู่แข่ง หน้าปกของหนังสือได้เขียนว่า
ยอมรับตัวตนและเป้าหมายชีวิตของคุณ ในยุคแห่งการเปรียบเทียบอันสับสน
ความจริงแล้ว
หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าได้มานานมากแล้ว นั่นก็แสดงว่า การแข่งขันแห่งการเปรียบเทียบอันสับสนนี้มีมานานแล้ว
และเราก็ยังคงอยู่ในยุคนี้ ปัจจุบันในยุคการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นหลักในชีวิตประจำวัน
ทำให้คนเราแข่งขันกันในโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา
การแข่งขันที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงการแข่งขั้นฉันท์มิตรในเกมกีฬา
และก็ไม่ใช่ภาพของเด็กน้อยที่แข่งขั้นกันเรียกร้องความสนใจและความรักจากพ่อแม่
การแข่งขันนี้เป็นภาพของศัตรูตัวร้ายที่คอยตำหนิวิพากษ์วิจารณ์
การแข่งขันที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกต่อกันเหมือนแข่งกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว
เวลาคู่แข่งลงสนาม เป้าหมายไม่ใช่เพื่อชนะ แต่เพื่อกำจัดเราออกจากสนาม
จะเป็นอย่างไรถ้าเราพบว่าชีวิตที่เราปรารถนามาตลอดให้อยู่นอกเหนือโลกแห่งการแข่งขัน?
จะเป็นอย่างไรถ้ารู้ว่าเราเองไม่จำเป็นต้องแพ้และถูกคัดออกจากเกม?
จะเป็นอย่างไรถ้าพบว่าเราไม่มีทางแพ้? จะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่เพียงแค่คิดนอกกรอบ
แต่ยังเลือกใช้ชีวิตนอกกรอบได้ด้วย? (นอกกรอบนี้ก็คือกรอบที่สังคมได้ตีกรอบไว้ว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้)
ผู้เขียนเล่าว่า ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่นำเสนอว่า
จุดสิ้นสุดของโลกอย่างที่เรารู้จักจะมาจากความแปลกแยก (alienation)
ในหมู่มนุษย์ที่แพร่ไปทั่ว ในราชบัณฑิตยสถาน (2549) ได้อธิบาย
ความแปลกแยกในความหมายกว้างโดยหมายถึง
การเปลี่ยนจากการรู้สึกผูกพันไปเป็นการรู้สึกไม่เป็นมิตร เป็นปรปักษ์
หรือไม่ยินดียินร้ายต่อผู้อื่น ต่อกลุ่ม หรือแม้แต่ต่อตนเองเป็นต้น
ทฤษฏีบอกว่าจะมีเวลาที่โลกถูกแบ่งออกเป็นส่องขั้วหรือสองค่าย
เมื่อสภาพแบ่งขั้วนี้แพร่ไปทั่วการแตกแยกก็จะเกิดขึ้น ชนวนเกิดจากเรื่องเล็กๆ
จนกลายเป็นเหตุให้เกิดการรุกรานโจมตีกัน จนกระทั่งนำสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่าสงครามยุคสุดท้ายอย่างเต็มขนาด
ความแตกแยกอย่างเป็นระบบที่แผ่ไปทั่วแบบนี้เริ่มต้นขึ้นจากความสัมพันธ์ระดับเล็ก
อาจเริ่มจากครอบครัวที่แตกแยกเต็มไปด้วยสมาชิกที่ถูกทำร้ายจนจิตใจแตกสลาย จนกลายเป็นพลังที่สัมผัสได้ที่พยายามกระซิบคำลวงที่จู่โจมอารมณ์ความคิดจิตใจของเรา
โดยหวังว่าจะกระตุ้นให้เราของขึ้นและหันไปใส่คนอื่น
เป็นการยากที่จะหลบเลี่ยงถ้อยคำหรือคนที่คอยบอกเราว่า
เรายังไม่ดีพอ ไม่สวย ไม่หล่อพอ ยังฉลาดไม่พอ ยังเร็วไม่พอ และยังรวยไม่พอ เราถูกกระหน่ำเพื่อเราจะตัวเล็กลีบลงไปเป็นอย่างที่เขาเหล่านั้นอยากให้เราเป็น
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เราต้องการหลีกพ้นคำเยาะเย้ยอย่างไม่หยุดหย่อน
คำเยาะเย้ยที่บอกว่า เราไม่มีวันดีพอ เมื่อการรังควานนี้มาถึงจุดวิกฤต
บางคนจะยอมแพ้และยอมรับสภาพ แล้วเป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็น ขณะที่บางคนจะปฏิเสธ
และตอบโต้ด้วยการระดมยิงคำกล่าวโทษกลับไป
เราตัดสินคนอื่น
เมื่อเรารู้สึกว่าถูกตัดสิน
เราทำให้คนอื่นละลาย
เมื่อเรารู้สึกละลาย
เราเกลียดคนอื่น เมื่อเราไม่ชอบตัวเอง
เวลาเราล้มละลาย ไม่นานนักเราก็อยากจะปล้นคนอื่น
นี่เป็นวงจร ทุกคนจะแพ้และไม่มีคนชนะ แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าถ้อยคำของ อ.เปาโลเป็นจริง?
1 ทิโมธี 6:6
อันที่จริงการอยู่ในทางพระเจ้าพร้อมกับมีความพอใจก็เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
ทางของพระเจ้าคือ
ความสามารถที่ยอมรับมุมมองของพระเจ้า นี่หมายความว่าเมื่อเรายอมรับวิธีที่พระองค์ทรงมองคนอื่น
เราก็ยอมรับวิธีที่พระองค์ทรงมองเราด้วย
ความพอใจและความรู้สึกสบายใจในสิ่งที่เราเป็น
ไม่ได้ก่อให้เกิดการปล่อยตัวเฉยชา แต่จะปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์!
จงหนีจากบรรดาผู้วิพากษ์เราและคำวิจารณ์ทั้งหลาย
พระองค์ทอดพระเนตรมาที่เราเสมอ ดังนั้นเราสามารถหันกลับไปจดจ่อที่พระองค์ได้
แทนที่จะแก่งแย่งสิ่งที่ไม่ถูกกำหนดให้เป็นของเรา ให้เราทุ่มเทพลังค้นหาสิ่งพระเจ้าประทานให้ที่เป็นของเราดีกว่า
บ่อยครั้งที่คนเราพยายามทำทุกสิ่งให้เสมอภาคกัน
ทำให้เราคิดไปว่าพระเจ้าทรงรักเราเหมือนกันทุกคน เบื้องต้นคำว่า เหมือนกัน อาจฟังดูดี
แต่ยังไม่ครอบคลุมพอ คำว่า เหมือนกัน อาจสื่อว่าแทนที่กันได้ หรือเปลี่ยนแทนกันได้
ผู้เขียนเล่าว่า เมื่อหลายปีก่อน สุนัขที่ผู้เขียนรักมากได้หนีออกจากบ้านไป
ซึ่งอาจมองผิวเผินแล้วคิดว่าไม่เป็นไร ฉันก็แค่ซื้อตัวใหม่มาทดแทน
และฉันก็คงจะรักมันเหมือนๆ กัน ความจริงแล้วก็ทดแทนกันไม่ได้ ดังเช่น หากเรามีลูกมากกว่า
1 คน เมื่อมีลูกคนที่ 2 หรือคนที่ 3 ความรักของเราก็ไม่ได้ถูกแบ่งออกไป
แต่จะทวีขึ้นแบบไม่มีมาตรใดมาวัดได้ เราไม่สามารถกะปริมาณความรักต่อลูกแต่ละคนได้ ความรักที่มีต่อลูกแต่ละคนเป็นไปตามเอกลักษณ์เฉพาะคน
ลูกแต่ละคนปลุกเร้าความรักของพ่อแม่ในแบบที่แตกต่างกัน
ความรักของพระเจ้าก็เช่นกัน
ไม่สามารถตวงวัดได้ นักบุญออกัสตินกล่าวว่า
พระเจ้าทรงรักเราแต่ละคนราวกับว่าเราเหลืออยู่เพียงคนเดียว ความรักของพระเจ้าไม่เหมือนก้อนขนมเค้กที่พ่อแม่พยายามตัดแบ่งเป็นส่วนๆ
ให้เท่าเทียมกัน เพื่อไม่ทำให้ลูกคนใดรู้สึกได้น้อยกว่ากัน
ความรักอันยิ่งใหม่ของพระองค์ไม่จำกัดอยู่แค่สัดส่วนที่แบ่งกัน
พระเจ้าทรงรักเราตั้งแต่ก่อนปฐมกาล และความรักที่พระเจ้ามีให้เรานั้นไม่มีที่สิ้นสุด
หลายครั้งที่เราอาจหันหลังให้พระองค์ หนีพระองค์ หรือทำเรื่องแย่ๆ
แต่การกระทำของเราก็ไม่สามารถทำให้พระองค์หยุดรักเราได้
เยเรมีย์ 31:3
…เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์
เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป
พระองค์ทรงรักเรา
รักตัวตนที่แท้จริงของเรา รักตามเอกลักษณ์เฉพาะตัวเรา
ด้วยความรักนิรันดร์ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ อ้วน ผอม สูง
ต่ำ ดำ ขาว พระองค์ก็ทรงรักเรา พระองค์ทรงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข
พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระเจ้าไม่ได้แค่มีความรักให้เรา พระองค์ทรงเป็นความรักสำหรับเรา
เราเป็นที่รักของพระเจ้าตามแบบฉบับเฉพาะตัวของเรา
เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ไม่มีอะไรเทียบได้ หรือไร้คู่แข่ง”
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะรักเรามากขึ้นหากเราขาวกว่านี้ หุ่นดีกว่านี้
รวยกว่านี้ หรือพยายามจะเป็นเหมือนอีกคน เพราะคิดว่าพระองค์จะรักเราหรือยอมรับเรากว่านี้
ผู้เขียนก็ได้กล่าว่า ให้เราหยุดเสียเวลามองหาไปทั่ว
หรือยอมให้ความเห็นของสังคมที่เปลี่ยนแปลงเสมอ
มาประทับภาพหรือแนวคิดที่เลียนแบบผู้อื่นให้กับตัวเรา ให้เรามั่นใจโอบรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นภาพสะท้อนพระลักษณะอย่างมีเอกลักษณ์ตามแบบของเรา
พระเจ้าทรงรักเราตามแบบเฉพาะของเรา
พระเจ้าทรงกำลังทำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ให้สำเร็จ
ขอให้เราติดตามพระองค์เพื่อให้เราทราบน้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของเรา
พระองค์จะทรงนำเราไม่ให้เท้าของเราก้าวพลาดไป
เอเฟซัส 2:10
เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี
ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
ขอหนุนใจให้เราทูลขอพระเจ้าให้ประทานความเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตเรา