23 พฤษภาคม
2023
ฤดูกาลแห่งความยากลำบาก
บทความนำมาจาก : https://mustardseed.community/3-ways-to-push-through-a-dry-season/
WRITER: แมดาไลน์ ทูว์นีย์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์ / EDITOR: อาเกียว
/ Nov 1 2019
เราอาจคิดว่าช่วงวัยเด็ก
หรือวัยรุ่นน่าจะไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล ไม่มีอะไรต้องคิดมาก หรือเหนื่อย แค่ได้ไปเรียนไปเล่นกับเพื่อนๆ แค่นั้น
แต่หากเรามองย้อนกลับไปว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน
คนเราต่างก็มีช่วงเวลาที่ยาก ช่วงเวลาที่ลำบากให้ต้องก้าวผ่านด้วยกันทั้งนั้น
เป็นวัยรุ่นก็มีเรื่องให้เหนื่อยและท้อเหมือนกัน บางคนก็ต้องเจอกับความเหนื่อย
ความยากลำบากมาตั้งแต่เป็นเด็กเลยทีเดียว
เช้านี้ข้าพเจ้าขอแบ่งปันคำพยานชีวิตของคุณแมดาไลน์
ทูว์นีย์ ซึ่งได้เล่าว่าสามปีที่แล้วเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในชีวิต ก่อนหน้านี้ เธอทำอาชีพเป็นครูสอนอยู่ในโรงเรียนเอกชนนาน
14 ปี ทำงาน 75 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
รวมวันสุดสัปดาห์และวันหยุดด้วย เธอรู้สึกเหนื่อยมากๆและมีปัญหากับการไปโบสถ์ และการใช้เวลากับครอบครัวอยู่เสมอ
ส่วนในเรื่องการใช้เวลากับพระเจ้า เธอก็พยายามที่จะอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกๆ
วันตามปกติ ในเดือนเมษายน 2016 ร่างกายและจิตใจของเธอมาถึงจุดที่มีความเจ็บปวดทางจิตใจ
จนท้ายที่สุด เธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าและหมดไฟในการทำงาน
และต้องลาออกจากงาน
ในช่วงสัปดาห์แรกแห่งการพักฟื้นนั้น
เธอคิดในแง่ดีว่า
ถ้าได้พักสักหน่อยเธอก็อาจจะหาย แล้วลุกขึ้นยืนได้ใหม่ในไม่ช้าก็ได้
อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งทำให้เธอได้รู้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเธอได้ถูกทำลายมากกว่าที่คิดไว้มาก
การที่ต้องทำสิ่งต่างๆ
ให้สำเร็จในทุกๆ วันกลายเป็นเรื่องที่มากเกินไปสำหรับเธอ เธอวิตกกังวลอย่างหนักเวลาเจอผู้คน
และเธอก็ได้รับการวินิจฉัยอีกว่าเป็นโรคกลัวการอยู่ในที่โล่งหรือที่ชุมชน
การปวดหัวอย่างรุนแรงทำให้เธอล้มป่วย และเธอรู้สึกปวดเหมือนโดนแทงที่แขนซ้ายอยู่บ่อยๆ
เธอจมอยู่ในความเศร้าที่ยาวนานนับสัปดาห์และกลายเป็นคนต่อต้านสังคม
ถึงแม้ว่าเธอจะไปรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชมากมาย
แต่เธอก็เชื่อในการรักษาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าโดยการอธิษฐานและขอบพระคุณพระเจ้า
เธออ้อนวอนขอการรักษาที่จะหายดีไว้กับพระองค์
(ฟีลิปปี 4:6-7 “อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ
โดยการอธิษฐานและการวิงวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ
แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ
จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์”) อย่างไรก็แล้วแต่
บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนว่าคำอธิษฐานของเธอไปไม่ถึงพระเจ้า
เพราะว่าร่างกายของเธอนั้นดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดเธอก็หมดหวังที่จะมีชีวิตที่แข็งแรงและมีความสุข
อย่างไรก็ตามหลังจากการต่อสู้กับปัญหาและความเจ็บปวดมามากมาย เธอก็ได้ตระหนักว่าพระเจ้ากำลังใช้เหตุการณ์นี้
เพื่อจะสอนให้เธอเชื่อและวางใจในพระองค์อย่างสุดใจ
3 วิธีที่ช่วยให้เธอผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากนั้น
1. จดจ่อที่พระเจ้าอยู่เสมอ
สิ่งสำคัญในการรักษาของพระเจ้า
หนึ่งในนั้นคือเวลาของพระองค์ และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เธอยังมีปัญหาอยู่ และเธอรู้ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวแน่ที่มีปัญหานี้
พระเจ้าตรัสกับเราทั้งหลายใน เยเรมีย์ 30:17 ว่า “เพราะเราจะคืนสุขภาพดีแก่เจ้า และราจะรักษาบาดแผลของเจ้าให้หาย…”
แต่พระองค์ไม่ได้บอกว่าการรักษานั้นจะเกิดขึ้นในช่วงไหนของชีวิต
อาจจะเกิดขึ้นเมื่อพระองค์เรียกเราทั้งหลายกลับบ้านที่แท้จริง
หรือเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาก็ได้ แทนที่จะคิดว่า “เมื่อไหร่” เธอเปลี่ยนเป็นจดจ่อที่พระเจ้าและสรรเสริญพระองค์สำหรับทุกช่วงเวลาที่พระองค์ทรงช่วยเธอในอดีต
และขอบคุณพระเจ้าสำหรับเวลาที่พระองค์จะรักษาเธอในอนาคตด้วย ซึ่งเวลานั้นจะเป็นเวลาที่เหมาะสมของพระเจ้า
การสรรเสริญพระเจ้าในขณะที่ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ดีขึ้น
ทำให้เธอมีสันติสุขในทุกๆ วันของชีวิต เพราะมันช่วยทำให้เธอได้จดจ่อที่พระเจ้าและไม่ได้จดจ่อในสถานการณ์ของตนเอง
ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้สอนให้เธอรู้ว่าพระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจ แทนที่จะต่อว่าและปล่อยให้สถานการณ์รอบข้างควบคุมเธอ เธอเลือกที่จะมีความเชื่อในพระเจ้า เธอไม่เพียงแต่สรรเสริญพระองค์ในคำอธิษฐานเท่านั้น แต่เธอยังสรรเสริญพระเจ้าในขณะที่เธอออกไปใช้ชีวิตปกติด้วย สิ่งเหล่านี้เสริมสร้างความเชื่อของเธอในพระเจ้ามากขึ้น และย้ำเตือนเธอว่า พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่มากกว่าปัญหาของฉัน (ไม่ใช่ปัญหาใหญ่กว่าพระเจ้าเหมือนที่เธอคิดมาตลอด)
2. ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ
ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ มันก็มีเวลาที่เธอเดินเที่ยวไปมาอย่างไม่มีจุดหมายเหมือนชาวอิสราเอลที่เดินอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
เธอสับสนและสงสัยว่าสถานการณ์พวกนี้จะมีวันเปลี่ยนแปลงไหม เช่นเดียวกับโยบ (โยบ 23:8-9 “ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น และไปข้างหลัง
แต่ก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์ ข้างซ้ายที่พระองค์ทรงทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์
ข้างขวาที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าก็ไม่พบพระองค์”) เธอรู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้งเธอให้ต่อสู้กับสถานการณ์เหล่านี้เพียงลำพัง
อย่างไรก็ตามความจริงแล้วพระเจ้าก็อยู่กับเธอตลอดช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนั้น
แต่ความคิดและจิตใจของเธอไม่ได้ถูกปรับเพื่อให้ได้ยินเสียงของพระเจ้า
การศึกษาพระคัมภีร์เป็นการเปิดเผยสำหรับเรา
มันเหมือนกับการค้นพบคู่มือในการรู้จักพระเจ้า (2 ทิโมธี 3:16-17 “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน
การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิดและการอบรมในความชอบธรรม
เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง”) พระเจ้าได้ทรงประทานกำลังให้เราผ่านพระคำของพระองค์ในเวลาที่เรารู้สึกกลัว(อิสยาห์ 41:10) เสริมกำลังใหม่เมื่อเรารู้สึกอ่อนแอ(อิสยาห์ 40:29) และแก้ไขสิ่งที่เราทำผิดพลาดเสมอ(ฮีบรู 4:12) ในวันที่เรารู้สึกท้อแท้ใจ
พระเจ้าทรงอยู่ตรงนั้น คอยเติมเต็มใจที่เหนื่อยล้าของเราเสมอ (มัทธิว 11:28-30 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก
จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้
แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน และใจอ่อนน้อม
และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา)
นอกเหนือจากการอธิษฐาน
นมัสการและการจดบันทึกประจำวัน การศึกษาพระคำกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน
ทุกๆ เช้าของเธอ มันไม่ง่ายเสมอไปในการที่จะจัดเวลาในการศึกษาพระคำของพระเจ้าในทุกๆ
วัน แต่การปลอบประโลมและสันติสุขที่เธอได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จากการศึกษาพระคัมภีร์เป็นแรงจูงใจที่ทำให้เธอเปิดพระคัมภีร์ทุกๆ วัน
3. ตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อเสมอ
เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา เธอเริ่มไปออกกำลังกายที่โรงยิม
ในตอนแรกเธอพบว่ามันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการออกกำลังกาย เธอรู้สึกเหมือนจะตาย
และร่างกายก็ปวดเมื่อยทุกครั้งที่ไป แต่ในตอนนี้ ร่างกายของเธอปรับตัวสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ
ได้แล้ว และเธอสามารถเห็นกล้ามเนื้อที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เธอรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังใช้ช่วงฤดูแห่งความยากลำบากนี้สร้างกล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณให้กับเธอด้วย เมื่อเธอตื่นตระหนกตกใจหรือมีอาการซึมเศร้า
เธอก็ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะมอบสถานการณ์ต่างๆ
เหล่านี้ไว้ในพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า แทนที่จะอนุญาตให้สถานการณ์เหล่านั้นมามีอำนาจเหนือจิตใจของเธอ ถึงแม้ว่ามันจะยาก
แต่เธอก็รู้ได้ว่าพระเจ้ากำลังทรงใช้ความเจ็บปวด เพื่อชำระล้างเธอจากความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตัวเธอเอง
เช่น ความกลัว (อิสยาห์ 48:10)
ในตอนแรกที่เธอเริ่มป่วย เธอถูกมารหลอกให้เชื่อว่าความยากลำบากนี้เกิดขึ้นมาเพื่อทำให้เธอพ่ายแพ้ต่อมัน
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเธอเดินฟันฝ่าอยู่ในช่วงเวลานี้นานเท่าไหร่ เธอก็ได้เรียนรู้ที่จะแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้า
เธอก็ยิ่งได้รับกำลังจากพระเจ้ามากเท่านั้น
พระเจ้าได้ฟื้นฟูจิตวิญญาณที่เหี่ยวแห้ง มอบหัวใจที่กระหายพระองค์มากขึ้น
และเปลี่ยนความคิดของเธอจากที่คิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อให้กลายเป็นผู้มีชัยชนะโดยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้
นั่นก็คือ เธอไม่เปิดช่องว่างให้กับมารเข้ามาแทรก แต่ตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อและติดสนิทกับพระองค์
หากเรากำลังประสบกับช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากอยู่ในตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
มันเป็นเพียงช่วงเวลาของการหยุดพักชั่วคราวเท่านั้น มันไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิตเรา
ให้เราอยู่ในวิถีทางของพระเจ้า จดจ่อสายตาไปที่พระองค์ และขอพระเจ้าที่จะเปิดเผยสิ่งที่พระองค์อยากให้เราเรียนรู้จากพระองค์
เพื่อที่เราจะได้เติบโตขึ้นในทางของพระองค์ แล้วเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี