วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2565

พระองค์ทรงอยู่ที่ไหน

 

พระองค์ทรงอยู่ที่ไหน

 

หลายครั้งที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจ อาจเพราะสถานการณ์ต่างๆ หรือผู้คนรอบข้าง หรือเราอาจทำผิดต่อผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเสียใจ ท้อแท้ หมดหวัง หมดกำลังใจ

หากมองความสิ้นหวังในสถานการณ์รอบตัวในช่วงนี้ เช่น สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่ามาได้อย่างไรแท้จริงเป็นอย่างไร เราอาจอ่านข่าวว่าสาเหตุเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จริงแท้เราก็ยังไม่แน่ใจ ไม่อยากจะเชื่อ ด้วยการเป็นคริสเตียน เราก็อาจถามพระเจ้าว่า พระเจ้าทำไมอนุญาตให้เกิดขึ้น ดูซิคนดีๆ ก็ต้องจากไป เราไม่รู้เลยว่าทำไม คนรวยกลายเป็นจน คนจนกลายเป็นคนรวย มีคนตกงานมากมาย ธุรกิจบางอย่างล้มไป บางอย่างกลับรุ่งเรือง บางธุรกิจเกิดขึ้นมาใหม่ บางทีเราก็เห็นการช่วยเหลือจากคนบางกลุ่มเกิดขึ้นโดยเต็มใจไม่หวังผลตอบแทน บางทีเราก็เห็นคนเห็นแก่ตัวฉวยโอกาสภายใต้ความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนมนุษย์ ข้าพเจ้ามักมีคำถามกับอาจารย์แต่ละท่านอยู่เสมอถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ว่าเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เกิดกับคนที่ไม่มีความผิด กับคนที่รักพระเจ้า ต้องเสียชีวิต ต้องทุกข์ยาก ซึ่งท่านก็ให้คำตอบว่า บางสิ่งอาจจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นซึ่งอาจกระทบกับทุกคนทั้งคนดีๆ ได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่เกี่ยวกับการที่มนุษย์จะตัดสินผู้อื่นว่า เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเขาทำบาป

 ปัญญาจารย์ 1:14  ข้าพเจ้าเคยเห็นการทั้งปวงซึ่งเขากระทำกัน ภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิด สารพัดก็อนิจจัง คือ กินลมกินแล้ง

 

สดุดี 139:1-13 TH1971

1ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์ และทรงรู้จักข้าพระองค์

2เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล

3พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์

4ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว

5พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์

6ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง

7ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์

8ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนผู้ตาย พระองค์ทรงสถิตที่นั่น

9ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น

10แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้

11ถ้าข้าพระองค์จะว่า “ขอเพียงความมืด จงบังข้าไว้ และจงให้ความสว่างรอบข้าเป็นกลางคืน”

12สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง

13เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกัน ในครรภ์มารดาของข้าพระองค์

 

พระธรรมนี้ได้บอกอะไรเราบ้าง

1.    พระองค์ทรงรู้จักเราดี

2.    พระองค์อยู่กับเราทุกๆ ที่ ทุกเวลา ล้อมรอบปกป้องเรา

3.    เราจะหนีหรือหลบซ่อนพระเจ้าไม่ได้

 

1.    พระองค์ทรงรู้จักเรา

พระองค์ทรงรู้จักเรา และทรงสร้างเราอย่างตั้งใจ พระองค์เป็นผู้สร้างเราอย่างตั้งใจ และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราทำกิจของพระองค์ตามตลันต์ที่พระองค์ทรงใส่มาให้เราที่แตกต่างกัน ทำไมพระองค์จะไม่รู้จักเรา ในปฐมกาล 2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผลคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต และ สดุดี 139 :2,4 ก็ได้บอกเราว่าพระองค์ทรงรู้จักเราดี

 

2.    พระองค์ทรงอยู่กับเราทุกที่ทุกเวลา

พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา แม้เราจะนั่ง นอน แม้กระทั่งความคิดยังทรงทราบ คนใกล้ชิดสนิทกับเรายังไม่ทราบความคิดที่แท้จริงของเราเลย แต่พระองค์ทรงทราบทางทั้งสิ้นของเรา เพราะฉะนั้นเราคิดจะทำอะไร ทั้งทางที่ดี หรือในทางที่ไม่ดี ไม่เป็นไปตามทางของพระองค์ พระองค์ก็ทรงทราบก่อนแล้ว เหมือนกับมีผู้ทำความผิดแล้วมีกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ดิ้นไม่หลุด สดุดี 135 : 5 5พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์ แต่พระเจ้าล้อมรอบเราไว้ไม่ได้จับผิดเรา แต่เพื่อคุ้มครอง ปกป้อง ป้องกันภัย และพระหัตถ์ยึดเราไว้

 

3.    เราจะหนีหรือหลบซ่อนพระเจ้าไม่ได้

ข้าพเจ้าคิดว่าประสบการณ์การหนีพระเจ้า อาจมีกันแทบทุกคน ข้าพเจ้าก็เช่นกัน หลายครั้งการติดตามพระเจ้านั้นเป็นอะไรที่ยากเกินจะเข้าใจ เพราะการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้านั้น อาจไม่ถูกใจคนบนโลกนี้ แต่เป็นหนทางที่ต้องทำ เราอาจล้าและอยากหนีไปจากพระเจ้าเพื่อจะได้ทำให้ถูกใจคน เพื่อเป็นที่ยอมรับบนโลกนี้ดีเสียกว่า แต่สุดท้ายเมื่อไม่ใช่ทางของพระเจ้าสิ่งที่ทำนั้นไม่ยั่งยืน ในพระธรรมปฐมกาล 3 ได้กล่าวถึงอาดัมกับเอวา ที่ได้กินผลไม้ซึ่งพระเจ้าได้ห้ามแล้ว แล้วเขาก็หลบซ่อนพระเจ้ากลัวความผิด แต่จริงแล้วพระเจ้าทราบทุกสิ่ง จึงได้เรียกอดัม ในปฐมกาล 3:9 พระเจ้าทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่า <<เจ้าอยู่ที่ไหน>> ซึ่งจริงแล้วนั้นพระเจ้ารู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน และรู้ด้วยว่ากำลังหลบซ่อนอยู่เพราะกระทำผิด จึงเรียกพวกเขาออกมา สดุดี 139 : 11-12 11ถ้าข้าพระองค์จะว่า “ขอเพียงความมืด จงบังข้าไว้ และจงให้ความสว่างรอบข้าเป็นกลางคืน” 12สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง

 

บางครั้งเราไม่ต้องการให้ใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเรากลัวว่าคน หรือกลัวว่าสังคม ไม่ชอบบางสิ่งบางอย่างในตัวเรา กลัวคน หรือสังคมไม่ยอมรับ ในลึกๆ ของมนุษย์เองคือต้องการให้คนยอมรับหรือเห็นความสำคัญในตัวเอง แต่โดยพระเจ้านั้น พระองค์ยอมรับและรักเราเสมอ แม้เราจะเป็นอย่างไร รอคอยเราให้เราเข้ามาหาพระองค์ มาสารภาพบาปต่อพระองค์ ยอมให้พระองค์เป็นแสงส่องชีวิตเรา นำทางเรา เพื่อให้เราเป็นแสงสว่างส่องไปยังผู้อื่นด้วย ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่เชื่อ วางใจในพระเจ้า และรักพระเจ้า เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกที่ ทุกเวลา คอยโอบล้อมเรา แม้เราจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เริ่มเกลียดตัวเอง เราจงระลึกเสมอว่า พระวิญญาณของพระเจ้าได้โอบล้อมเราไว้ เราอาจนอนในหุบเขาอยู่ภายใต้เงามัจจุราชโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ซึ่งขณะเรานอนหลับอยู่อย่างสบาย เราอาจไม่รู้เลยว่าตื่นขึ้นมาภายใต้เงามัจจุราชที่จ้องทำร้ายเรา แต่พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง แม้เราอยู่ในแดนคนตายพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น พระองค์จะปกป้องเราโดยวิธีของพระองค์ แต่ละท่านก็คงมีประสบการณ์การช่วยกู้จากพระเจ้าเหมือนข้าพเจ้าเช่นกัน หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พระเจ้าช่วยกู้ด้วยวิธีที่เหนือความคิดของเราจริงๆ ขอเราเชื่อและวางใจ เพราะวิถีทางของพระเจ้าสูงกว่าเราเสมอ อิสยาห์ 55: 8-9 ได้กล่าวว่า เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา>> พระเจ้าตรัสดังนี้ <<เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น>>

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้มีโอกาสให้ศึกษาเพื่อนำมาแบ่งปันในวันนี้

 19 มกราคม พ.ศ.2565