วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

ช่วงเวลาที่ดูเหมือนถูกทอดทิ้ง 2

 

26 มีนาคม 2564

ช่วงเวลาที่ดูเหมือนถูกทอดทิ้ง 2



อิสยาห์ 8:17 (ประชานิยม)

            พระเจ้าทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นประชากรของพระองค์ แต่ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ และหวังพึ่งพระองค์

 

บทความที่นำมาแบ่งปันในวันนี้ ได้นำมาจากส่วนหนึ่งของหนังสือ ฉันเกิดมาเพื่ออะไร เรื่อง เมื่อพระเจ้าดูเหมือนห่างไกล

            การที่เรานมัสการพระเจ้าในเวลาที่สิ่งต่างๆ ในชีวิตดำเนินไปอย่างดีเยี่ยมนั้น เป็นเรื่องง่าย คือเมื่อพระองค์ประทานอาหาร เพื่อนที่ดีๆ ครอบครัวที่แสนอบอุ่น สุขภาพที่แข็งแรง และสถานการณ์ที่เป็นสุข แต่สถานการณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้ดีเสมอไป แล้วเรายังจะนมัสการพระเจ้าในเวลาที่แย่ๆ นั้นได้อย่างไร เราจะทำอะไรเมื่อพระเจ้าดูเหมือนอยู่ห่างออกไปเป็นล้านกิโลเมตร

            การนมัสการระดับลึกที่สุดคือการสรรเสริญพระเจ้าแม้กำลังเจ็บปวด ขอบพระคุณพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ วางใจพระองค์เมื่อถูกทดลอง ยอมจำนนในยามลำบาก และรักพระองค์เมื่อพระองค์ดูเหมือนอยู่ห่างไกล

            มิตรภาพมักจะถูกทดลองด้วยการพรากจากและความเงียบ เราถูกแยกด้วยระยะทางหรือเราไม่สามารถคุยกันในมิตรภาพของเรากับพระเจ้า เราจะไม่รู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ตลอดเวลา

            เพื่อให้มิตรภาพของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้มีการทดสอบมันด้วยช่วงเวลาที่ดูเหมือนพรากจากกัน เวลาที่รู้สึกราวกับว่าพระองค์ได้ทอดทิ้งหรือลืมเราไปแล้ว เรารู้สึกเหมือนพระเจ้าอยู่ไกลออกไปเป็นล้านกิโลเมตร

            นอกเหนือจากพระเยซูแล้ว กษัตริย์ดาวิดคงจะมีมิตรภาพใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่าใครๆ หากเราศึกษาจากพระคัมภีร์แล้วเราจะพบว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยท่านมาก แต่หลายต่อหลายครั้ง กษัตริย์ดาวิดก็มักจะบ่นเรื่องที่พระเจ้าทรงดูเหมือนไม่สถิตอยู่ด้วย ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ประทับยืนอยู่ห่างไกลและทรงซ่อนพระองค์เสียในเวลาที่ข้าพระองค์ต้องการพระองค์มากที่สุด (สดุดี 10:1 LB)พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์(สดุดี 22:1) ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย(สดุดี 43:2)

            แน่นอนพระเจ้ามิได้ทรงละทิ้งกษัตริย์ดาวิด และพระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเรา พระองค์ทรงสัญญาเสมอๆ ว่า เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย(เฉลยธรรมบัญญัติ 31:8)

            ฟลอยด์ แมคคลัง อธิบายเรื่องนี้ว่า เช้าวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมาแล้วความรู้สึกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดของเราก็หายไป เราอธิษฐานแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ เราให้เพื่อนอธิษฐานให้ เราสารภาพบาปทุกอย่างที่นึกได้ แล้วก็ไปขอการยกโทษจากทุกคนที่เรารู้จัก เราอดอาหาร แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเริ่มสงสัยว่า ความหดหู่ฝ่ายวิญญาณนี้จะคงอยู่นานสักแค่ไหน เป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน แล้วมันจะหายไปหรือไม่ เรารู้สึกเหมือนคำอธิษฐานของเรากระทบเพดานแล้วก็ตกลงมา เราร้องด้วยความรู้สึกสุดแสนสิ้นหวังว่า ฉันเป็นอะไรไป

            ความจริงคือ ไม่มีอะไรผิดปกติในตัวเรา เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการที่พระเจ้าอนุญาตให้มีการทดสอบเพื่อที่จะทำให้มิตรภาพของเรากับพระเจ้าเติบโต เราน่าจะผ่านสถานการณ์แบบนี้มาบ้างแล้ว อย่างน้อยน่าจะสักครั้ง และส่วนมากก็มักจะหลายครั้ง มันเจ็บปวดและหวาดวิตก ทว่ามันสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความเชื่อของเรา การรู้ความจริงข้อนี้ทำให้โยบมีความหวัง เมื่อเราไม่สามารถรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตเรา เราอาจกล่าวแบบโยบว่า ข้าเดินไปทางตะวันออก แต่พระองค์มิได้ทรงสถิตที่นั่น ข้าเดินไปทางตะวันตก แต่ข้าก็ไม่สามารถพบพระองค์ ข้าไม่เห็นพระองค์ทางเหนือ เพราะพระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าหันไปทางใต้ แต่ข้าหาพระองค์ไม่พบ ทว่าพระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าเหมือนทางคำในไฟแล้ว พระองค์จะทรงประกาศว่าข้าไม่ผิด (โยบ 23:8 NLT)

            พระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ แม้ในเวลาที่เราไม่รู้สึกถึงพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยมากกว่าการที่เรารู้สึกถึงพระองค์คือ การที่เราวางใจในพระองค์ ความเชื่อต่างหากที่ทำให้พระองค์พอพระทัยไม่ใช่ความรู้สึก

            สถานการณ์ที่จะขยายความเชื่อของเรามากที่สุดคือ เวลาที่ชีวิตล่มสลาย และมองหาพระเจ้าไม่พบ เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับโยบ ในวันเดียวท่านสูญเสียทุกสิ่ง ครอบครัว ธุรกิจ สุขภาพ และทุกสิ่งที่ท่านเป็นเจ้าของ ที่น่าท้อใจที่สุดคือ พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรเลยตลอด 37 บท จนกระทั่งบทที่ 38 เป็นหัวเรื่องว่า พระเจ้าทรงกระทำให้โยบสำนึกถึงความโง่เขลา

            แล้วเราจะสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไรในเมื่อเราไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา และพระเจ้าทรงเงียบ เราจะรักษาความสัมพันธ์ท่ามกลางวิกฤตโดยไม่มีการสื่อสารได้อย่างไร ตาเราจะจ้องอยู่ที่พระเยซูได้อย่างไรในเมื่อมันเต็มไปด้วยน้ำตา ส่วนในพระธรรมโยบ สิ่งที่โยบทำคือ แล้วโยบก็กราบลงถึงดินนมัสการ และกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า (โยบ 1:20-21)

           วางใจว่าพระเจ้าจะรักษาพระสัญญาของพระองค์ ระหว่างช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งฝ่ายวิญญาณ เราต้องพึ่งพาพระสัญญาของพระองค์ด้วยความอดทน ไม่ใช่พึ่งอารมณ์ความรู้สึกของเรา และตระหนักว่า พระองค์จะทรงนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

            ถ้าพระเจ้าไม่ได้กระทำสิ่งอื่นเพื่อเรา เราก็ยังสมควรสรรเสริญพระองค์ต่อไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะสิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำเพื่อเราบนไม้กางเขน พระบุตรของพระเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเรา นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดแล้วของการนมัสการ

            น่าเสียดาย เราหลงลืมรายละเอียดอันทารุณของการถวายบูชาอย่างทนทุกข์ทรมานซึ่งพระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา แม้กระทั่งก่อนการตรึงกางเขน พระบุตรของพระเจ้าก็ถูกจับเปลือยพระกาย ถูกโบยตีจนกระทั่งผู้คนแทบจำไม่ได้ ถูกเฆี่ยน เยาะเย้ย และดูหมิ่น ต้องสวมมงกุฎหนาม และถูกถ่มน้ำลายรดด้วยความรังเกียจ พระองค์ทรงถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่าเป็นสัตว์ ทรงถูกทำร้ายและเยาะเย้ย พระองค์แทบหมดสติเพราะเสียเลือด พระองค์ก็ทรงถูกบังคับให้แบกกางเขนขึ้นเนินเขา ถูกตรึงและถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ

            เราอาจสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าทรงอนุญาตและทนดูการทารุณอันน่ากลัวและชั่วร้ายนั้น ก็เพื่อให้เราสามารถรอดพ้นจากการต้องอยู่ในนรกตลอดนิรันดร์กาล

 

2 โครินธ์ 5:21 (ประชานิยม)

            พระเยซูคริสต์ทรงปราศจากบาปแต่พระเจ้าทรงให้พระองค์มีส่วนร่วมในบาปของเรา เพื่อให้การร่วมสัมพันธ์กับพระองค์ ทำให้เรามีส่วนในความชอบธรรมของพระเจ้า


            พระเยซูทรงสละทุกสิ่งเพื่อเราจะสามารถมีทุกสิ่ง พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไป เพียงเท่านี้ก็สมควรที่เราจะขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ตลอดไป เราจะยังสงสัยอีกหรือไม่ว่า เราจะมีเรื่องอะไรที่จะขอบพระคุณพระเจ้า

 

                ขอบคุณพระเจ้า และขอบคุณบทความดีๆ ที่ทำให้เราได้ถ่อมตัว ถ่อมใจลง เพื่อสรรเสริญพระเจ้า