วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

 

16 กันยายน 2560

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

                                                                                     

          เราคงเคยพัดวันประกันพรุ่ง ข้าพเจ้าก็เช่นกัน ความจริงเราไม่เคยรู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีสำหรับเรามั๊ย พรุ่งนี้จะมาถึงเราหรือเปล่า

เมื่อพูดถึงการผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องที่ต้องทำ เราก็มักพูดว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำ พอวันถัดไปก็ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคิด มีเรื่องใหม่ๆขึ้นมาอีก ก็ พรุ่งนี้ก่อน จนอาจสะสมเป็น หนึ่งเรื่อง สองเรื่อง..... จนสะสมทำไม่ทันจริงๆ

 

สุภาษิต 27:1

อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่งๆจะนำอะไรมาให้บ้าง

 

พระคำพระเจ้าข้อนี้เตือนใจเราว่า อย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราวางแผนงานสำหรับอนาคต แต่เตือนให้เรารู้ว่าให้เราทำวันนี้ที่พระเจ้าประทานวัน เวลาให้ ให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด และดีที่สุด ใช่ว่าให้เรารอที่จะทำในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้อาจไม่มีสำหรับเราก็ได้ อย่าอวดเรื่องพรุ่งนี้ที่เราอาจไม่มีก็ได้

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างเด็กหนุ่มผู้กระตือรือร้นคนหนึ่งกับชายชราผู้ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน (คัดมาจาก saintjohnbkk.com วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2019)

เด็กหนุ่ม            ผมจะเรียนวิชาชีพ

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่ม            ผมจะเสี่ยงโชค

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่ม            ผมจะเก็บเงินเยอะๆ ไว้ใช้ยามเกษียณและแก่ชรา

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่ม            สักวัน ผมคงต้องตาย

ชายชรา             แล้วงัย ?

เด็กหนุ่มไม่มีคำตอบ ....!!

 

ลูกา 12:13-20 TH1971

มีผู้หนึ่งในหมู่คนทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอสั่งพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้กับข้าพเจ้า” แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “บุรุษเอ๋ย ใครได้ตั้งเราให้เป็นตุลาการ หรือเป็นผู้แบ่งมรดกให้ท่าน” แล้วพระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า “จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย” พระองค์จึงตรัสคำเปรียบข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เพราะว่าเราไม่มีที่ที่จะเก็บผลของเรา’ เขาจึงคิดว่า ‘เราจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของเราเสียและจะสร้างใหม่ให้โตขึ้น แล้วเราจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของเราไว้ที่นั่น แล้วเราจะว่าแก่จิตใจของเราว่า “จิตใจเอ๋ยเจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด’ ” แต่พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า’

            จากคำอุปมานี้ พระเยซูได้สอนว่า ทรัพย์สมบัติสิ่งของไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ความสำพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าสำคัญมากกว่า พระเยซูตรัสว่าชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งการสอนของพระเยซูไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เรามีการวางแผน การเตรียมตัวในชีวิต ในอนาคต แต่ไม่ให้เราละเลยในการช่วยเหลือผู้อื่น ให้เราเป็นคนมั่งคั่งในสายพระเนตรของพระเจ้า ให้มีชีวิตที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและรับใช้ราชกิจของพระองค์ เศรษฐีในเรื่องนี้ตายเสียก่อนที่จะได้ใช้สิ่งของที่สะสมไว้ในยุ้งฉาง หากเราสะสมความมั่งคั่งเพียงเพื่อทำให้ตัวเองมั่งมี โดยไม่ห่วงใยช่วยเหลือผู้อื่น เราก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ด้วยมือเปล่า ไม่มีอะไรติดมือไปอวดพระเจ้าเลย

            และพระเยซูให้เรามองเห็นว่าเศรษฐีใช้ทรัพย์สมบัติของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงอนาคตในโลกหน้า เขามองแต่ว่าเก็บไว้ใช้ได้หลายปีเพื่อจะได้พักผ่อน กิน ดื่ม และสนุกสนาน มองแต่ในโลกนี้ และสะสมทรัพย์จนดูเหมือนว่านำขนไปใช้ในชีวิตหลังความตายได้

ชาวโรมันมีภาษิตสอนใจบทหนึ่งว่า เงินทองเปรียบเหมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งกระหายมาก ภาษิตนี้เป็นข้อคิดที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจนเลยว่า ยิ่งได้ทรัพย์สินเงินทองก็ยิ่งกระหายอยากได้มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดการเห็นแก่ตัวไม่ต้องการแบ่งปัน จะได้มาโดยวิธีที่เบียดเบียนผู้อื่นก็ได้ขอให้ได้มา และนำมาเก็บเป็นของตนเองอย่างเดียว

ยากอบ 4:13-17

นี่แน่ะท่านที่พูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น และจะอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และจะค้าขายได้กำไร” แต่ว่าท่านไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้ ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป แทนที่จะพูดเช่นนั้นท่านทั้งหลายควรจะพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” ตามความจริงท่านทั้งหลายโอ้อวดด้วยความทะนงตน การโอ้อวดทุกอย่างเช่นนี้เป็นความชั่ว เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป

เราชอบพูดว่า พรุ่งนี้ก่อน”   “ยังมีเวลาอีกมากมาย”    พรุ่งนี้ค่อยเชื่อพระเจ้า พรุ่งนี้ค่อยรักผู้อื่นวันนี้ฉันยังเจ็บใจเธออยู่ พรุ่งนี้ค่อยเอาจริงเอาจังกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ พรุ่งนี้ค่อยอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ พรุ่งนี้ค่อยถวายตัวและออกไปรับใช้พระเจ้า   พรุ่งนี้ก่อนนะ    แต่ว่าพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึงสักที หรือเราอาจจะไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้ก็ได้!

            ข้าพเจ้าขอนำข้อคิดจาก ส่วนหนึ่งของหนังสือ ฮาวาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก สอนวิธีคิด เล่มที่ 2 บทที่ 7 : บริหารเวลาให้เป็น

"แสงสว่างที่สาดส่องแต่ละตารางนิ้ว ล้วนทำให้เกิดชีวิตใหม่ได้เสมอ"

รู้ค่าเวลาทุกนาที ทุกวินาที เห็นคุณค่าของเวลาในวันนี้ เวลาคือสิ่งเดียวที่ไม่ควรใช้ให้หมดไปอย่างไร้ประโยชน์ การสูญเสียเวลาไปนั้นถือว่าเจ็บปวดที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการสูญเสียสิ่งอื่น ๆ เพราะเวลาทุกวินาทีนั้นมีค่ามาก เราจึงต้องลงมือทำในทันทีโดยไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง หากมีความคิดเช่นนี้ คิดอะไรก็รีบลงมือทำ อนาคตของเราจะยิ่งสดใสมากขึ้นแน่นอน

"เวลาก็เหมือนกับโจร เมื่อหายไปแล้ว จะไม่เหลืออะไรไว้อีกเลย"

จำนวน 93% ของคนที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง สุดท้ายแล้วมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ เพราะการผัดวันประกันพรุ่งทำให้ความกระตือรือร้นลดลง หากเราเห็นคุณค่าของมัน เราก็ใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ หากไม่เห็นความสำคัญของมัน มันก็จะผ่านไปแบบไม่มีวันหวนกลับมา และเมื่อรู้สึกตัวทุกอย่างก็สายไปแล้ว

"หากปล่อยเวลาให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ เวลาจะไม่รอคุณเช่นกัน"

การปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ คือความผิดอันใหญ่หลวง เราควรให้ความสำคัญกับเวลาเป็นอย่างยิ่ง ต้องเห็นคุณค่าของเวลาทุกวินาที เพราะเราไม่รู้เลยว่าเวลาจะไปจากเราเมื่อไหร่ หากบริหารเวลาไม่เป็นก็จะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งเวลาไม่เคยมีเพิ่มมากขึ้น แต่กลับน้อยลงเรื่อย ๆ

"พระเจ้ามักจะให้สิทธิ์แก่ผู้ที่บริหารเวลาเป็นก่อนเสมอ"

เวลาไม่เคยคอยใคร คนที่เห็นคุณค่าของเวลาเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ เราจะเห็นคุณค่าของเวลาหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่อยู่ที่การกระทำ คนที่เอาแต่พูดว่าจะเห็นคุณค่าของเวลานั้น สุดท้ายก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ จะเห็นได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เห็นคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง คนเราทุกคนต้องมีเป้าหมาย มีเส้นทางที่เลือกเดิน หลังจากนั้นก็ต้องเห็นความสำคัญของเวลาทุกวินาที เช่นนี้แล้วไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร ก็สามารถประสบความสำเร็จได้

"ให้ตัวเราเป็นตัวกำหนดวันเวลา อย่าปล่อยให้วันเวลาเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา"

จัดการเวลาอย่างเหมาะสม ก็เท่ากับเป็นการประหยัดเวลา เราทุกคนต้องให้ความสำคัญกับวันนี้โดยไม่อาลัยอาวรณ์กับเมื่อวาน และไม่คาดหวังกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว แล้วเราจะรู้จักคุณค่าของเวลามากกว่าเดิม

"ระวัง! อย่าปล่อยให้จอมโจรแห่งการเวลา ขโมยของมีค่าของเราไป"

คนที่เห็นคุณค่าของเวลา จะไม่เคยบ่นว่าเวลามีไม่พอ เวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่สำคัญดั่งชีวิต จึงต้องดูแลให้ดีเหมือนกับที่ดูแลร่างกายของตัวเอง หากเราไม่ดูแลร่างกายให้ดีจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา แต่หากไม่ดูแลเวลาให้ดี มันจะจากเราไปแบบไม่หวนกลับคืนมา

"ปล่อยเวลาให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย"

เวลา คือรากฐานสำคัญของความสำเร็จ เวลาจะมอบความเจ็บปวดให้กับคนที่เอาแต่เพ้อฝัน แต่จะมอบความสุขให้กับคนที่มีความคิดริเริ่ม บางทีอำนาจและความมั่งคั่งทำให้คนเราเกิดความเหลื่อมล้ำต่อกัน แต่โลกนี้ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ยุติธรรมกับทุกคนไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจนอย่างไร ทุกคนมีเหมือนกันหมด นั้นก็คือ เวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน เวลาสามารถทำให้ขอทานผู้ยากไร้และประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่มีความเท่าเทียมกัน แต่ในขณะเดียวกันเวลาคือสิ่งที่ไม่มีความยุติธรรมมากที่สุด และความไม่ยุติธรรมที่ว่านี้เกิดมาจากตัวเราเองทั้งสิ้น

 

            พระเจ้าประทานวันนี้ที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว เราจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อแผ่นดินของพระเจ้าหรือไม่ ดังพระวจนะของพระเจ้าใน มัทธิว 6:33 “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้


ขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้รวบรวมนำมาแบ่งปัน ขอบคุณพระวจนะจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า