ช่วยเดือนเมษายน เป็นเดือนที่มีงานเกษียณ
นึกแล้วก็ใจหายทุกครั้ง ที่บุคคลอันเป็นที่รัก เคารพยิ่งของเราต้องถึงเวลาเกษียณอายุ
ทำให้นึกถึงพระคัมภีร์ปัญญาจารย์
ปัญญาจารย์ 3:1-15 ( มีวาระสำหรับทุกสิ่ง )
มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง
มีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
มีวาระเกิด และวาระตาย
มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งปลูกทิ้ง
มีวาระฆ่าและวาระรักษาให้หาย
มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น
มีวาระร้องให้ และวาระหัวเราะ
มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ
มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน
มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด
มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย
วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป
มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ
วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด
มีวาระรัก และวาระเกลียด
วาระสงคราม และวาระสันติ
มีวาระเกิด และวาระตาย
มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งปลูกทิ้ง
มีวาระฆ่าและวาระรักษาให้หาย
มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น
มีวาระร้องให้ และวาระหัวเราะ
มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ
มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน
มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด
มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย
วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป
มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ
วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด
มีวาระรัก และวาระเกลียด
วาระสงคราม และวาระสันติ
คนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขา
“ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ
ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาล
ไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า
พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า
สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต
และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์
ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา
ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไรออกเสียก็ไม่ได้
พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระองค์ อะไรๆ
ซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆ
ที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวงอะไรๆ ที่ล่วงไปนั้น”
พระธรรมปัญาญาจารย์นี้ มีผู้กล่าวถึงว่าผู้เขียนน่าจะเป็นกษัตริย์ซาโลมอน
ซึ่งเขียนในช่วงบั้นปลายของชีวิต จากในบทที่ 1 ได้กล่าวถึงว่า “ถ้อยคำของปัญญาจารย์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด กษัตริย์ในเยรูซาเล็ม”
และได้กล่าวในท้ายๆ บทที่ 1 ข้อ 12 เป็นต้นไป
ด้วยว่าผู้เขียนเป็นใคร เมื่อซาโลมอนขึ้นเป็นกษัตริย์
พระองค์ทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้า (จากใน 2พศด.1:7-12)
และพระองค์กลายมาเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในโลก (1พกษ. 4:29-34) พระองค์ทรงศึกษา สอน
ตัดสินความและเขียนหนังสือ กษัตริย์และผู้นำจากประเทศอื่นๆ
มายังเยรูซาเล็มเพื่อมาศึกษาจากพระองค์
หากเราศึกษาในพระธรรมปัญญาจารย์ทั้งหมดนี้
ซาโลมอนได้ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเครื่องมือให้เราได้สำรวจจิตใจของเรา
ซาโลมอนได้อธิบายว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทดลอง ทดสอบ ล้วน “อนิจจัง” คือไร้ประโยชน์
ไร้เหตุผล ไร้ความหมาย โง่เขลาและว่างเปล่า ประสบการณ์เหล่านี้มีแต่ความว่างเปล่า ซึ่งถ้อยคำที่ว่าเหล่านี้มาจากคนที่
มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาอันสูงส่ง อำนาจ ความมั่งคั่ง ท่านซาโลมอน
ก็ยังได้กล่าวถึงเรื่องสติปัญญาของตัวท่านเองใน บทที่ 7 ข้อ 23-24 ว่า “บรรดาข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ชันสูตรดูด้วยใช้สติปัญญาแล้ว ข้าพเจ้าว่า
ข้าพเจ้าจะได้ปัญญา แต่ปัญญานั้นกลับอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า
สิ่งที่เป็นอยู่ก็อยู่ไกล และที่ลึกก็ลึกล้ำเหลือเกิน ใครผู้ใดจะค้นออกมาได้”
หลังจากที่ท่านซาโลมอนได้ท่องเที่ยวไปกับบทเรียนชีวิตเช่นนี้แล้ว
พระองค์ก็ได้ข้อสรุปที่บทสุดท้ายว่า
ปัญญาจารย์ 12:13-14
“จบเรื่องแล้ว
ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง
ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง
ไม่ว่าดีหรือชั่ว”
ในพระธรรมปัญญาจารย์นี้ ซึ่งมีอยู่ 12 บท ได้กล่าวไว้ว่าชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์
สิ่งต่างๆ จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวาระ ก็คือ ตามเวลา ตามฤดูกาล
เวลาไม่ได้เห็นแก่ใคร ทุกคนล้วนได้เวลาแต่ละวันที่เท่ากันหมด
ชีวิตของเรามีชีวิตเดียว ทุกคนต้องใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าเราจะเป็นใคร
มีสถานภาพใด สถานะสังคมเป็นอย่างไร จะจน ร่ำรวย ทุกคนมีเวลาในแต่ละวันเท่ากันคือ 24
ชั่วโมง หรือ 1,440 นาที หรือ 86,400 วินาทีเราไม่สามารถควบคุมเวลาได้
เวลาน่าจะเป็นผู้ควบคุมเรามากกว่า หลายครั้งเราคิดว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามแผนการณ์ของเราได้
แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามวาระ ตามกาลเวลาของมัน สุดท้ายหลายๆ
สถานการณ์เราก็เลยมักจะพูดว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เกิด”
อย่างไรก็ตามพระเจ้าได้ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจมนุษย์เพื่อมนุษย์จะเข้าใจชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับมนุษย์
ขณะอยู่บนโลกนี้ต้องยำเกรงพระเจ้าและชื่นชมยินดีกับชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้ บทที่
3 10-15
“ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ
ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาล
ไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า
พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า
สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต
และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์
ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา
ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์
จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไรออกเสียก็ไม่ได้
พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระองค์ อะไรๆ
ซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆ
ที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวงอะไรๆ ที่ล่วงไปนั้น”
ทุกคนต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้าตามผลการกระทำของตนขณะที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์
*** ภายใต้ดวงอาทิตย์มีความตาย
แต่เหนือดวงอาทิตย์มีชีวิตนิรันดร์ ***
ปัญญาจารย์ 9:10
มือของเจ้าจับทำการงานอะไร
จงกระทำการนั้นด้วยเต็มกำลังของเจ้า
เพราะว่าในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มีการงานหรือแนวความคิดหรือความรู้
หรือสติปัญญา
บทที่ 9 ข้อ 11
ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า
คนเร็วไม่ชนะในการวิ่งแข่งเสมอไป หรือฝ่ายมีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอไป
หรือคนฉลาดไม่รับประทานเสมอไป หรือคนมีความเข้าใจไม่รำรวยเสมอไป
หรือผู้ที่เชี่ยวชาญไม่ได้รับความโปรดปราณเสมอไป แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน
เพราะว่ามนุษย์ไม่รู้วาระของตน ปลาติดอยู่ในอวนอันร้ายฉันใด
และนกถูกดักติดอยู่ในบ่วงแร้วฉันใด วาระอันร้ายก็มาถึงบรรดาบุตรของมนุษย์
เขาก็ถูกวาระอันร้ายนั้นดักจับติดโดยฉับพลันเหมือนกันฉันนั้น
ในขณะที่ข้าพเจ้าอ่านและใคร่ครวญพระธรรมนี้
ข้าพเจ้าก็นึกถึงคำกล่าวของ อาจารย์สีทัย สีทิพย์ ทำงานที่โรงพยาบาลมหาราช
มาบรรยายในงาน Open House ของโรงพยาบาลกรุงเทพ
เชียงใหม่ ในเดือนมีนาคม ฟังแล้วข้าพเจ้าชอบมาก ได้กล่าวว่า “หนทางที่เราเดินนั้น เราอาจผ่านเส้นทางนี้เพียงครั้งเดียว
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคุณงามความดี หรือความเมตตากรุณา ที่เราทำได้
ขอให้ทำตั้งแต่บัดนี้ เพราะเราอาจไม่มีโอกาสผ่านมาเส้นทางนี้อีกก็ได้”
และอีก 1 กำลังใจสำหรับคนทำงาน
และแง่คิดของความสุขในชีวิต ของ อาจารย์สีทัย สีทิพย์
Happy…life มีความสุขได้อย่างไร
คนที่มีความสุข
1 วินาที คือ คนที่คิดถึงหน้าคนรัก
คนที่มีความสุข
1 นาที คือ คนที่เดินไปเข้าห้องน้ำหรือดื่มกาแฟ
คนที่มีความสุข
1 ชั่วโมง คือ คนที่เลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน
คนที่มีความสุข
1 วัน คือ คนที่วันนี้ไม่มาทำงาน
คนที่มีความสุข
1 สัปดาห์ คือ คนที่ลาพักร้อน
คนที่มีความสุข
1 เดือน คือ คนเพิ่งแต่งงาน (เพราะได้ไปฮันนี่มูน)
คนที่มีความสุขตลอดชีวิต
คือ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก
ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิต
ก็ให้ทำงานที่ตัวเองรัก
ลองคิดดูว่าคุณอยากเป็นคนที่มีความสุขนานแค่ไหน?
แต่ถ้าหางานที่ตัวเองรักไม่ได้...ก็ให้รักงานที่ตัวเองทำ...
แล้วคุณจะมีความสุขตลอดชีวิต
ข้าพเจ้าคิดกับตัวเองว่า
พระเจ้าให้โอกาสตัวเองมารับใช้ ถึงแม้หลายครั้งอาจเจ็บปวด
ซึ่งแต่ละชีวิตก็คงมีแตกต่างกันไป แต่ความรู้สึกในจิตใจ คงไม่ต่างกัน
ก็คงจะไม่ควรละเลยและปล่อยเวลาด้วยการตัดพ้อ ต่อว่า
เพราะนี่คือน้ำพระทัยและแผนการของพระเจ้า ที่เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะทราบได้ จากคำกล่าวในพระธรรมปัญญาจารย์ซึ่งให้เราใช้เวลาบนโลกมนุษย์ที่เรายังยืนอยู่นี้ให้ก่อเกิดประโยชน์
ซึ่งเมื่อหมดเวลาแล้ว
เราก็คงไม่มีโอกาสย้อนกลับคืนมาขอใช้เวลานั้นแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น
ขอจบด้วย พระธรรม ยากอบ 1 :
12
“คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข
เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต
ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์”
(ขอบพระคุณทุกพระคำในพระคัมภีร์ ขอบคุณหนังสือทุกฉบับที่ให้ความรู้ ขอบคุณข้อมูลในทุกสื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อ on line หรือ off line สำหรับการแบ่งปันในครั้งนี้)