วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทุกสิ่งล้วนมีวาระ

ช่วยเดือนเมษายน เป็นเดือนที่มีงานเกษียณ นึกแล้วก็ใจหายทุกครั้ง ที่บุคคลอันเป็นที่รัก เคารพยิ่งของเราต้องถึงเวลาเกษียณอายุ ทำให้นึกถึงพระคัมภีร์ปัญญาจารย์
ปัญญาจารย์ 3:1-15 ( มีวาระสำหรับทุกสิ่ง )
มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง มีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
มีวาระเกิด และวาระตาย
มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งปลูกทิ้ง
มีวาระฆ่าและวาระรักษาให้หาย
มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น
มีวาระร้องให้ และวาระหัวเราะ
มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ
มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน
มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด
มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย
วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป
มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ
วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด
มีวาระรัก และวาระเกลียด
วาระสงคราม และวาระสันติ
คนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขา
ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาล ไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไรออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระองค์ อะไรๆ ซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆ ที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวงอะไรๆ ที่ล่วงไปนั้น
พระธรรมปัญาญาจารย์นี้ มีผู้กล่าวถึงว่าผู้เขียนน่าจะเป็นกษัตริย์ซาโลมอน ซึ่งเขียนในช่วงบั้นปลายของชีวิต จากในบทที่ 1 ได้กล่าวถึงว่า ถ้อยคำของปัญญาจารย์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด กษัตริย์ในเยรูซาเล็มและได้กล่าวในท้ายๆ บทที่ 1 ข้อ 12 เป็นต้นไป ด้วยว่าผู้เขียนเป็นใคร เมื่อซาโลมอนขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้า (จากใน 2พศด.1:7-12) และพระองค์กลายมาเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในโลก (1พกษ. 4:29-34) พระองค์ทรงศึกษา สอน ตัดสินความและเขียนหนังสือ กษัตริย์และผู้นำจากประเทศอื่นๆ มายังเยรูซาเล็มเพื่อมาศึกษาจากพระองค์
หากเราศึกษาในพระธรรมปัญญาจารย์ทั้งหมดนี้ ซาโลมอนได้ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเครื่องมือให้เราได้สำรวจจิตใจของเรา ซาโลมอนได้อธิบายว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทดลอง ทดสอบ ล้วน อนิจจัง คือไร้ประโยชน์ ไร้เหตุผล ไร้ความหมาย โง่เขลาและว่างเปล่า ประสบการณ์เหล่านี้มีแต่ความว่างเปล่า ซึ่งถ้อยคำที่ว่าเหล่านี้มาจากคนที่ มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาอันสูงส่ง อำนาจ ความมั่งคั่ง ท่านซาโลมอน ก็ยังได้กล่าวถึงเรื่องสติปัญญาของตัวท่านเองใน บทที่ 7 ข้อ 23-24 ว่า บรรดาข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ชันสูตรดูด้วยใช้สติปัญญาแล้ว ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะได้ปัญญา แต่ปัญญานั้นกลับอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ก็อยู่ไกล และที่ลึกก็ลึกล้ำเหลือเกิน ใครผู้ใดจะค้นออกมาได้ หลังจากที่ท่านซาโลมอนได้ท่องเที่ยวไปกับบทเรียนชีวิตเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ได้ข้อสรุปที่บทสุดท้ายว่า
ปัญญาจารย์ 12:13-14
จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว
ในพระธรรมปัญญาจารย์นี้ ซึ่งมีอยู่ 12 บท ได้กล่าวไว้ว่าชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์ สิ่งต่างๆ จะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวาระ  ก็คือ ตามเวลา ตามฤดูกาล  เวลาไม่ได้เห็นแก่ใคร ทุกคนล้วนได้เวลาแต่ละวันที่เท่ากันหมด ชีวิตของเรามีชีวิตเดียว ทุกคนต้องใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าเราจะเป็นใคร มีสถานภาพใด สถานะสังคมเป็นอย่างไร จะจน ร่ำรวย ทุกคนมีเวลาในแต่ละวันเท่ากันคือ  24 ชั่วโมง หรือ 1,440 นาที หรือ 86,400 วินาทีเราไม่สามารถควบคุมเวลาได้ เวลาน่าจะเป็นผู้ควบคุมเรามากกว่า หลายครั้งเราคิดว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามแผนการณ์ของเราได้ แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามวาระ ตามกาลเวลาของมัน สุดท้ายหลายๆ สถานการณ์เราก็เลยมักจะพูดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เกิด อย่างไรก็ตามพระเจ้าได้ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจมนุษย์เพื่อมนุษย์จะเข้าใจชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ ขณะอยู่บนโลกนี้ต้องยำเกรงพระเจ้าและชื่นชมยินดีกับชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้ บทที่ 3 10-15
ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาล ไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไรออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระองค์ อะไรๆ ซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆ ที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวงอะไรๆ ที่ล่วงไปนั้น
ทุกคนต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้าตามผลการกระทำของตนขณะที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์
*** ภายใต้ดวงอาทิตย์มีความตาย แต่เหนือดวงอาทิตย์มีชีวิตนิรันดร์ ***
ปัญญาจารย์ 9:10
มือของเจ้าจับทำการงานอะไร จงกระทำการนั้นด้วยเต็มกำลังของเจ้า เพราะว่าในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มีการงานหรือแนวความคิดหรือความรู้ หรือสติปัญญา
บทที่ 9 ข้อ 11
ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า คนเร็วไม่ชนะในการวิ่งแข่งเสมอไป หรือฝ่ายมีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอไป หรือคนฉลาดไม่รับประทานเสมอไป หรือคนมีความเข้าใจไม่รำรวยเสมอไป หรือผู้ที่เชี่ยวชาญไม่ได้รับความโปรดปราณเสมอไป แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน เพราะว่ามนุษย์ไม่รู้วาระของตน ปลาติดอยู่ในอวนอันร้ายฉันใด และนกถูกดักติดอยู่ในบ่วงแร้วฉันใด วาระอันร้ายก็มาถึงบรรดาบุตรของมนุษย์ เขาก็ถูกวาระอันร้ายนั้นดักจับติดโดยฉับพลันเหมือนกันฉันนั้น
ในขณะที่ข้าพเจ้าอ่านและใคร่ครวญพระธรรมนี้ ข้าพเจ้าก็นึกถึงคำกล่าวของ อาจารย์สีทัย        สีทิพย์ ทำงานที่โรงพยาบาลมหาราช มาบรรยายในงาน Open House ของโรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงใหม่ ในเดือนมีนาคม ฟังแล้วข้าพเจ้าชอบมาก ได้กล่าวว่า หนทางที่เราเดินนั้น เราอาจผ่านเส้นทางนี้เพียงครั้งเดียว ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคุณงามความดี หรือความเมตตากรุณา ที่เราทำได้ ขอให้ทำตั้งแต่บัดนี้ เพราะเราอาจไม่มีโอกาสผ่านมาเส้นทางนี้อีกก็ได้
และอีก 1  กำลังใจสำหรับคนทำงาน และแง่คิดของความสุขในชีวิต ของ อาจารย์สีทัย สีทิพย์
Happy…life มีความสุขได้อย่างไร
คนที่มีความสุข 1 วินาที คือ คนที่คิดถึงหน้าคนรัก
คนที่มีความสุข 1 นาที คือ คนที่เดินไปเข้าห้องน้ำหรือดื่มกาแฟ
คนที่มีความสุข 1 ชั่วโมง คือ คนที่เลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน
คนที่มีความสุข 1 วัน คือ คนที่วันนี้ไม่มาทำงาน
คนที่มีความสุข 1 สัปดาห์ คือ คนที่ลาพักร้อน
คนที่มีความสุข 1 เดือน คือ คนเพิ่งแต่งงาน (เพราะได้ไปฮันนี่มูน)
คนที่มีความสุขตลอดชีวิต คือ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก
ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิต ก็ให้ทำงานที่ตัวเองรัก
ลองคิดดูว่าคุณอยากเป็นคนที่มีความสุขนานแค่ไหน?
แต่ถ้าหางานที่ตัวเองรักไม่ได้...ก็ให้รักงานที่ตัวเองทำ...
แล้วคุณจะมีความสุขตลอดชีวิต
ข้าพเจ้าคิดกับตัวเองว่า พระเจ้าให้โอกาสตัวเองมารับใช้ ถึงแม้หลายครั้งอาจเจ็บปวด ซึ่งแต่ละชีวิตก็คงมีแตกต่างกันไป แต่ความรู้สึกในจิตใจ คงไม่ต่างกัน ก็คงจะไม่ควรละเลยและปล่อยเวลาด้วยการตัดพ้อ ต่อว่า เพราะนี่คือน้ำพระทัยและแผนการของพระเจ้า ที่เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะทราบได้ จากคำกล่าวในพระธรรมปัญญาจารย์ซึ่งให้เราใช้เวลาบนโลกมนุษย์ที่เรายังยืนอยู่นี้ให้ก่อเกิดประโยชน์ ซึ่งเมื่อหมดเวลาแล้ว เราก็คงไม่มีโอกาสย้อนกลับคืนมาขอใช้เวลานั้นแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น
ขอจบด้วย พระธรรม ยากอบ 1 : 12
คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์


(ขอบพระคุณทุกพระคำในพระคัมภีร์ ขอบคุณหนังสือทุกฉบับที่ให้ความรู้ ขอบคุณข้อมูลในทุกสื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อ on line หรือ off line สำหรับการแบ่งปันในครั้งนี้)

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

พระคุณของพระเจ้าก็เพียงพอแล้ว

สดุดี 23 1-6                                                                                          18/02/2558
พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
            กษัตริย์ดาวิด ผู้ที่เคยเป็นผู้ดูแลฝูงแกะ เป็นผู้เขียนพระธรรมนี้ ได้บรรยายถึงพระเจ้าในฐานะผู้เลี้ยงแกะ ซึ่งแกะต้องพึ่งพาผู้เลี้ยงทุกอย่าง แกะ...เป็นสัตว์อ่อนแอ...สายตาสั้น...เชื่องช้า ...สุขภาพไม่แข็งแรง... ต้องการหญ้าอ่อนสด เป็นอาหาร...ต้องการน้ำสะอาดใสเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ...ขี้ตกใจ ตื่นตูมมากกว่ากระต่าย แกะ...จะปลอดภัยก็ต่อเมื่อ มีผู้เลี้ยงแกะอยู่ใกล้ๆ ในพันธสัญญาใหม่เรียกพระเยซูว่าเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี องค์พระผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ และเป็นหัวหน้าของผู้เลี้ยงทั้งปวง เมื่อเรารู้จักผู้เลี้ยงที่ดี เราก็ควรติดตามพระองค์
ในข่าวเมื่อประมาณปี 2005 ที่กรุงอีสตันบูล ประเทศตุรกี แกะตัวหนึ่งกระโดดจากหน้าผา จากนั้นอีกเกือบ 1,500 ตัวก็กระโดดตามไป สุดท้าย แกะตายไปหนึ่งในสาม คือประมาณ 400 กว่าตัว แกะพวกนั้นไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จึงตามตัวอื่นๆ ในฝูงไป
เมื่อวานนี้ ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับผู้มีอาชีพเลี้ยงแกะ ที่ศิษยาภิบาลได้เชิญเพื่อมาให้แบ่งปันเกี่ยวอาชีพเลี้ยงแกะของตนเองในโบสถ์แห่งหนึ่ง สรุปดังนี้
นำมาจาก http://www.livingchurch.in.th/data/004_goodthing.html
ผมชื่อ เยชูวา เบน โยเซฟ ผมมาจากดินแดนเก่าแก่ที่ชื่อว่าปาเลสไตน์ และมีอาชีพที่ต่ำต้อย คือเป็นผู้เลี้ยงแกะ เราเริ่มงานแต่เช้าก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นงานของผมคือหาอาหารกับน้ำให้แกะของผม ซึ่งไม่ใช่งานง่ายๆ เลย คุณรู้ดีว่าในประเทศของผมนั้นผืนดินแห้งแล้ง เราไม่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่อย่างที่ฝูงแกะกับบรรดาปศุสัตว์ของคุณ พวกคุณเพียงแต่ปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้ออกไปหาอาหารกินได้อย่างสบาย แต่ไม่ใช่ในประเทศของผม เพราะหญ้าจะหาได้เฉพาะในทางแคบๆ ซึ่งคั่นด้วยแนวหินยาวๆ ที่เต็มด้วยฝุ่น เว้นแต่ในช่วงฤดูฝน น้ำที่เกิดจากน้ำพุหรือบ่อน้ำธรรมชาติจะแผ่กระจายเป็นหย่อมๆ ดังนั้นบางครั้งผมจึงต้องนำฝูงแกะของผมเดินไปเป็นระยะทางหลายไมล์ เพื่อจะได้เจอหญ้าในบริเวณเพียงสองสามหลาหรือเพื่อจะดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้เองที่เราต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะต้องใช้เวลาทั้งวันที่จะหาแหล่งน้ำและอาหารให้ฝูงแกะ ผมรู้จักบริเวณที่ผมเลี้ยงแกะเป็นอย่างดี ผมได้เดินสำรวจบริเวณเหล่านี้ทุกตารางฟุตมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ดังนั้นผมจึงสามารถนำแกะของผมออกเดินหาน้ำหาอาหารกินได้
คุณอาจจะนึกภาพว่าการเลี้ยงแกะนั้นเหมือนกับคนต้อนฝูงสัตว์ในหนังคาวบอย พวกเขาจะขี่ม้าและต้อนฝูงสัตว์อยู่ข้างหลัง เพื่อทำให้บรรดาสัตว์เหล่านั้นเดินไปข้างหน้า แต่การเลี้ยงแกะแตกต่างจากนั้น คือผมต้องเดินอยู่ข้างหน้าฝูงแกะและพวกมันก็เดินตามผม ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน พวกมันก็จะตามผมไป และถ้าผมไม่คุ้นเคยหรือไม่รู้จักภูมิประเทศดี หรือพวกแกะถูกทิ้งไว้ตามลำพัง พวกมันก็จะอดตาย ผมจึงต้องเป็นผู้นำมัน ผมรู้ว่ามีหญ้าอยู่ที่ไหนบ้างเพราะผมไปสำรวจมาก่อนแล้ว เราใช้เวลาตลอดช่วงเช้าในการเดินทางจากทุ่งหญ้าหนึ่งไปยังอีกทุ่งหญ้าหนึ่ง พอถึงเที่ยงวัน แกะก็จะเหนื่อยและหิวน้ำ พวกมันต้องการอาหารและน้ำไม่อย่างนั้นก็ต้องตาย ตามทางที่ผมพาแกะไปนั้น ผมรู้จักแหล่งน้ำหลายแหล่ง ตามสถานที่เหล่านี้จะมีร่มเงาและทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มสำหรับให้แกะกินและพักผ่อน ผมให้พวกมันนอนลงเพื่อดื่มน้ำ แกะจะดื่มน้ำจากแอ่งหรือบ่อน้ำนิ่งเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้ว พวกมันกลัวบริเวณที่น้ำไหลอย่างรวดเร็ว และความกลัวของมันก็มีเหตุผล เพราะถ้าแกะลื่นตกลงไปในแม่น้ำหรือลำธาร ขนของมันจะอมน้ำจนเปียกโชก และแกะก็ว่ายน้ำไม่เก่งด้วย ดังนั้นน้ำหนักขนที่ชุ่มน้ำจะทำให้มันจมน้ำตาย นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมแอ่งน้ำจึงต้องสงบหรือไหลช้าๆ ถ้าผมไม่สามารถหาแหล่งน้ำเช่นนั้นได้ ผมก็ต้องสร้างบ่อน้ำขึ้นมาเองแล้วผันน้ำจากลำธารเข้ามา 
แกะของผมจะมีความสุขและมีทุกสิ่งที่พวกมันต้องการตราบใดที่มันเดินตามผม ผมจะนำมันไปตามหนทางเก่าๆ ที่ผมรู้ดีว่าจะหาอาหารและน้ำให้มันกินได้ พวกมันต้องการการนำทางจากผม แกะของผมต้องการการปกป้องคุ้มครองด้วยเช่นกัน ผืนดินที่เราออกเดินไปนั้นเต็มไปด้วยอันตราย สัตว์กินเนื้อจำพวกสิงโตและหมีมักจะไล่ตามฝูงแกะ บางครั้งก็จะมีฝูงสุนัขป่ามาก่อกวน และพืชบางชนิดที่ดูเหมือนปลอดภัย ก็อาจมีพิษได้ แกะอาจจะเดินสะดุดตกหน้าผาหรือตกลงไปในหุบเขาลึกและตายได้ แต่แกะของผมไม่จำเป็นต้องกลัวอันตรายใดๆ ผมจะเฝ้าระวังพวกมัน ถ้ามันเริ่มจะออกนอกทาง ผมก็จะมีไม้เท้าของผู้เลี้ยงที่จะกระทุ้งให้มันกลับมา ถ้าพวกมันตกลงไปในหลุมหรือห้วยลึก ผมก็จะใช้อีกด้านหนึ่งของไม้เท้าหย่อนลงไปแล้วดึงมันขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ผมถือไม้สองอัน อันหนึ่งเป็นไม้เท้า แต่อีกอันหนึ่งเป็นไม้กระบอง ไม้เท้าใช้สำหรับแกะของผม  แต่กระบองใช้สำหรับพวกสัตว์ล่าเหยื่อทั้งหลาย ผมจะต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตของพวกมัน แต่เมื่อคนเลี้ยงแกะกับพวกคนงาน ที่ถูกจ้างมาเลี้ยงแกะที่ผมรู้จัก ได้เห็นผมต่อสู้กับสัตว์ล่าเนื้อตัวโตสองสามตัวนั้น พวกเขาก็หัวเราะและพูดแหย่ว่า สักวันหนึ่งไอ้พวกสิงโตและหมีตัวใดตัวหนึ่งนั้นจะต้องกินผมเป็นอาหารแน่ นั่นอาจจะจริง แต่ผมก็บอกพวกคุณได้ว่าผมจะไม่วิ่งหนีหรือเพิกเฉยเหมือนกับพวกขี้ขลาดเหล่านั้นหรอก เพราะนั่นคือความแตกต่างระหว่างผู้เลี้ยงที่ดีและผู้เลี้ยงที่ไม่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีจะสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ ตราบใดที่พวกแกะเดินตามผม ผมก็จะนำพามันและปกป้องคุ้มครองมัน มันเป็นงานที่หนักและลำบาก และผมก็มักต้องทำให้แน่ใจว่าแกะของผมมีอาหารกิน ผมมักจะตรวจสอบทุ่งหญ้าเหล่านั้นก่อนที่จะปล่อยให้มันไปกิน และถ้ามีพืชที่เป็นพิษในบริเวณนั้น ผมก็จะถอนมันออกทีละต้นจนหมด  พอตกเย็นเราก็พากันกลับคอก ผมจะสำรวจแกะแต่ละตัว ถ้าผมพบรอยข่วนหรือบาดแผลบนตัวแกะ ผมก็จะทาขี้ผึ้งให้ ผมต้องให้แน่ใจว่าพวกมันมีน้ำกิน ถ้าผมพบว่าแกะตัวใดหิวน้ำ ผมก็จะทำถังรูปถ้วยใส่น้ำให้มันดื่มเอง บางครั้งแกะเหล่านั้นจะกระหายน้ำมากจนพวกมันยื่นหัวเข้าไปในถังอย่างเร็วเกิน และยื่นหัวเข้าไปมากจนน้ำล้นออกมาจนทำให้หัวมันเปียก ก่อนเข้านอน ผมก็มักจะนับแกะในฝูงของผม บางครั้งบางคราวจะมีลูกแกะสักตัวหลงทาง ผมก็จะออกไปตามหาทันทีและนำมันกลับเข้าคอก นานๆ ครั้งที่ลูกแกะของผมสักตัวจะมีนิสัยชอบเตร็ดเตร่ออกนอกเส้นทาง มีตัวหนึ่งได้ มันมักจะหายไปหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน บางครั้งมันก็ออกไปหาหญ้าที่เขียวชอุ่มกว่ากิน และในเวลาอื่นผมก็พบว่ามันกำลังไล่ตามผีเสื้อ มันไม่เคยตระหนักถึงอันตราย แต่ผมก็เข้าใจมันดี ดังนั้นผมจึงต้องลงมือทำบางสิ่ง พวกเราผู้เลี้ยงแกะจะพัฒนาวิธีการหนึ่งซึ่งจะป้องกันการชอบเตร่ออกนอกทางของแกะ วิธีการนี้ถูกใช้เป็นวิธีสุดท้าย นั่นคือเมื่อแกะตัวใดตัวหนึ่งปฏิเสธที่จะอยู่กับฝูง ครั้งสุดท้ายที่ผมจับได้ว่ามันเตร่ออกนอกทาง ผมจึงใช้วิธีการนี้กับมัน พวกคุณต้องคิดว่าวิธีนี้โหดร้าย แต่มันก็จะรักษาชีวิตแกะของผมได้ ตอนสิ้นสุดวันที่ผมพบว่ามันเถลไถลเตร็ดเตร่ไปยังทางแคบที่สูงชันระหว่างเขานั้น ผมก็ไปนำมันออกมาแล้วแบกมันไว้บนไหล่พากลับคอก มันไม่ดิ้นรนขัดขืน มันเพียงแต่มองผมด้วยสายตายที่เต็มไปด้วยความเชื่อวางใจ ผมจับมันนั่งลงแล้วผมก็จับขาขวาหน้าของมันวางไว้บนไม้เท้าของผม แล้วด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว ผมก็ดึงกระดูกยาวตรงขาข้างนั้นของมันลงมาแล้วหักเสีย มันดิ้นรนเพื่อจะหนีขณะมองผมด้วยดวงตากลมโต ทันใดนั้นมันก็ล้มลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวด มันไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่หาน้ำหาอาหารให้มันกินและคอยช่วยเหลือมันให้พ้นจากภยันตราย คนที่มันไว้วางใจคนนี้ทำให้มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างที่สุดที่มันเคยประสบ ผมไม่อยากทำอย่างนั้นหรอกแต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อจะรักษาชีวิตของมันไว้ สองสามวันต่อมามันก็ลุกขึ้นได้ ขณะที่ฝูงแกะเคลื่อนย้ายจากทุ่งหญ้าหนึ่งไปอีกทุ่งหญ้าหนึ่งผมก็แบกมันไปตลอดทาง ในช่วงวันเหล่านั้น ผมอยู่ใกล้ชิดมันตลอดเวลามันเจ็บปวดทุกข์ทนเพราะขาหัก แต่ขณะเดียวกันผมก็อุ้มมันไว้ใกล้หัวใจผม ผมวางมันลงเพื่อให้มันกินหญ้ากินน้ำ มันค่อยๆ กลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่คราวนี้ หุบเขาที่เตี้ยที่สุดก็ดูเหมือนภูเขามหึมาสำหรับมัน และลำธารที่ตื้นเขินที่สุดก็เสมือนแม่น้ำอันกว้างใหญ่ เมื่อใดก็ตามที่มันเผชิญกับอุปสรรค สิ่งที่มันทำก็คือหยุดเดินและมองมาที่ผม จากนั้นผมก็จะอุ้มมันขึ้นและช่วยมันข้ามพ้นอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น มันเรียนรู้ที่จะวางใจและเดินตาม ผมต้องหักขาของมันเพื่อช่วยชีวิตมัน วิธีนี้ใช้ได้ผล ปัจจุบันนี้มันยังคงอยู่กับผม และก็เป็นแกะที่สัตย์ซื่อที่สุดตัวหนึ่งของผมด้วย นี่เป็นวันหนึ่งในชีวิตของผู้เลี้ยงแกะ แม้ว่ามันจะไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจนัก แต่มันก็เป็นการดำเนินชีวิตแบบหนึ่ง และแม้ว่าอาชีพของผมจะไร้เกียรติ แต่มันก็ทำให้ผมอัศจรรย์ใจที่ว่า พระเจ้าทรงเปรียบพระองค์เองเหมือนผู้เลี้ยงแกะ และทรงเปรียบประชากรของพระองค์เหมือนแกะ ผมเข้าใจความจริงข้อนี้ นั่นคือ หลังจากที่พระองค์ทรงตอบสนองความต้องการของเราด้วยการจัดหาสิ่งจำเป็นในชีวิตให้เรา ด้วยการทรงนำเราในแต่ละวันและปกป้องคุ้มครองเรา ผมก็เชื่อว่าเราจะพึงพอใจและสงบสุขเหมือนบรรดาแกะของผม ถ้าเพียงแต่เราเรียนรู้ที่จะไว้วางใจและติดตามพระองค์ แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังทรงนำเราไปทางไหน หรือพระองค์กำลังทรงทำอะไรในชีวิตเรา เราก็ต้องไว้วางใจและติดตามพระองค์ไป แล้วเราก็จะได้รับความพึงพอใจ การเลี้ยงแกะเป็นงานที่ไม่มีวันจบสิ้นหรอกครับหากยังมีแกะอยู่ในโลก
ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันในส่วนตัวของข้าพเจ้า หลายครั้งข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเองเช่นกัน ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่าคนแต่ละคนก็คงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ แตกต่างกันออกไป ข้าพเจ้าอยากขอบคุณพระเจ้า ถึงแม้ข้าพเจ้าจะดื้อดึง หนีหายไปแต่ข้าพเจ้าก็ถูกตามหาจนเจอ พระเจ้ามีแผนงานซึ่งเกินความคาดหมายที่เราจะรู้ได้ ขอติดตาม ฟังและมองดูที่พระองค์ อย่าใจร้อนทำตามใจตัวเอง สิ่งที่สำคัญ อย่าทำบาป แล้วคำตอบ ข้อสงสัยต่างๆ ก็จะออกมาเอง ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า พระคุณของพระเจ้าก็เพียงพอแก่ข้าพเจ้าแล้ว ขอจบด้วยพระธรรม 2 โครินทร์ 12:9-10
2 โครินทร์ 12:9-10
แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆ ในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็แข็งแรงมากเมื่อนั้น

ขอให้เรารัก ให้กำลังใจกัน และหนุนใจกัน

อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน