วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ภูเขาเคลื่อนได้

สดุดี 121 : 1-2
ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน
ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

เมื่อเรามีความทุกข์ พบทางตัน มีภูเขาขวางอยู่ข้างหน้า ขอให้เราเงยหน้าดูองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์รอให้เราถ่อมใจลง พึ่งพาพระองค์

ฮีบรู 11:1
ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
มาระโก 11:23
เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆ จะสั่งภูเขานี้ว่า จงลอยไปลงทะเลและมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริง
มัทธิว 17:20
เพราะเหตุพวกท่านมีความเชื่อน้อย ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่นมันก็จะเลื่อนสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้ จะไม่มีเลย



ภูเขาเคลื่อนได้ ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าบทประพันธ์

จากอดีตผู้บริหารสถาบันการเงินระดับพันล้าน คุณศรินทร เมธีวัชรานนท์ หญิงเก่งแห่งยุคเมื่อ 30 ปีก่อน คุณศิริทร เพียบพร้อมทุกอย่างด้วยวัยเพียง 25 ปี แต่แล้วความสวยงามในชีวิตก็กลับตาลปัตรจากจุดสูงสุดลงสู่ห้วงเหวลึกอย่างไม่ ทันตั้งตัว คุณศรินทร เมธีวัชรานนท์ ตกเป็นจำเลยนักการเงินในข้อหาฉ้อโกงเงินบริษัท จำนวน 196 ล้านบาท และคุณศิรินทร ต้องเสียเวลาชีวิตไป 10 ปี เพื่อหลบหนีความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ และอีก 4 ปี เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
คุณหนุ่ย ศรินทร เมธีวัชรานนท์ เล่าว่า เส้นทางชีวิตของเธอเหมือนปูด้วยทองคำตั้งแต่เด็กจนโต เรียนจบมัธยมจากโรงเรียนมาแตร์เดอี ก่อนจะได้ทุนบินไปเรียนต่อปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา คว้าบัณฑิตเกียรตินิยมกลับเมืองไทยในวัย 20 ปี และเริ่มต้นการทำงานกับบริษัท ทิสโก้ ในปี พ.ศ.2512 คุณหนุ่ยฉายแววโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรการเงินจนถูกเจรจาขอซื้อตัว ด้วยเงินเดือนที่ สูงกว่าเก่าถึง 2 เท่า แต่เธอก็เลือกที่จะเป็นคนที่ ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
ต่อมาผู้ใหญ่ท่านเดิมที่เคยชวนไปร่วมงาน มีโครงการเปิดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จึงมาชวนให้ คุณหนุ่ย ร่วมเป็นผู้ก่อตั้งด้วย คุณหนุ่ยจึงตอบตกลงโดยมีข้อแม้ว่าหาก 6 เดือน ไม่สามารถทำได้ก็จะขอลาออกเอง แต่เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น ความสามารถของ คุณหนุ่ยก็สะท้อนให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเธอแข็งแกร่งพอที่จะยึดตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ใหญ่ได้อย่างสบาย
คุณหนุ่ยบอกว่า "ตอนที่เริ่มต้น เงินทุน 25 ล้าน แล้วก็เพิ่มเป็น 40 ล้าน ดิฉันบริหารมา 5 ปี ก็งอกเงยเป็นเกือบพันล้าน ตอนนั้นก็อายุ 30 ปีพอดี" คุณหนุ่ย ย้อนถึงช่วงชีวิตกำลังราบรื่นรุ่งโรจน์ ขณะเดียวกันเมฆดำก็เริ่มตั้งเค้ามาลาง ๆ เมื่อเจ้าของบริษัทคิดอยากจะเกษียณตัวเองและขายหุ้นใหญ่ในมือ ทำให้มีผู้คนสนใจเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียง แต่ผู้ใหญ่ในวงการก็สนับสนุนให้ คุณหนุ่ย ซื้อเอาไว้เอง เพราะเห็นว่าเหมาะสม คุณหนุ่ยจึงตัดสินใจไปกู้เงินหลายสิบล้านบาท และได้ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในที่สุด
   ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ใหญ่ ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ชีวิตของ คุณหนุ่ยก็เริ่มพบจุดหักเห ตลาดหุ้นพังจากวิกฤตการณ์ "ราชาเงินทุน" จนประชาชนแห่มาถอนเงินคืน เพราะขาดความเชื่อมั่น สถานการณ์บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในตอนนั้นอยู่ในภาวะเลือดไหลไม่หยุด แต่คุณหนุ่ยก็พยายามทำทุกทางให้บริษัทอยู่รอดด้วยการขายหุ้นทั้งหมดคืนให้กับ ธนาคาร ก่อนจะตัดสินใจลาออก
  คุณหนุ่ยบอกว่า "ในช่วงเวลา 1 เดือน ก่อนที่กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่จะมารับช่วงต่อ เป็นช่วงที่เราต้องมอบหมายงานให้ คราวนี้แหละเมฆฝนก้อนใหญ่มาเลย 2 อาทิตย์ก่อนหมดวาระ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกไปประชุม และให้เราเซ็นเอกสารบางอย่างซึ่งเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้องทางการเงิน แต่เราไม่ยอม จึงถูกกักตัวไว้นาน 7 ชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ จึงขอโทรศัพท์กลับบ้านแล้วบอกกับสามีว่า ถ้าเที่ยงคืนยังไม่ถึงบ้าน ให้พาตำรวจมาบุก เพราะถูกกักตัวอยู่ จากนั้นเราก็ยืนยันอีกว่าจะไม่ยอมเซ็นเด็ดขาด และหากยังไม่ยอมปล่อยตัวก็จะมีตำรวจบุกมา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใหญ่ท่านนั้นเป็นอย่างมาก ถึงกับชี้หน้าและลั่นวาจาว่า "จำไว้ วันหนึ่งคุณจะเสียใจ" ก่อนปล่อยเราออกมา"
 การตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวในวันนั้น คุณหนุ่ย ไม่รู้เลยว่าจะทำให้เธอเสียเวลาในชีวิตไปอีก 14 ปีเต็ม ๆ เพราะหลังจากที่คุณหนุ่ยออกมาทำธุรกิจเล็ก ๆ กับสามี ได้ไม่นาน บริษัทเก่าก็แจ้งความว่าคุณหนุ่ยยักยอกเงิน 196 ล้านบาท
 คุณหนุ่ยบอกว่า "ตอนนั้นคือเราไปเอามาจริง ๆ เพื่อบริหารจัดการในบริษัทให้ลูกค้าถอนเงินตอนวิกฤตได้ แล้วเขาก็เอามาเชื่อมโยงใส่ความเรา ให้ลูกน้องเก่าเราไปเป็นพยานเท็จ คนหนึ่งไม่ยอมก็ไม่ก้าวหน้า ส่วนอีกคนยอม ได้เลื่อนตำแหน่ง ตอนนั้นแทบล้มทั้งยืน ทั้งเจ็บแค้นและกลัวจนทำอะไรไม่ถูก "
 คุณหนุ่ย ตัดสินใจหนีไปต่างประเทศ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจกลับเข้าไปหาหลักฐานในบริษัทเก่าที่เป็นผู้ฟ้องเธอได้อีก และก็คงไม่สามารถต่อสู้ทางคดีได้สำเร็จแน่ ๆ คุณหนุ่ยจึงต้องระหกระเหินไปยังคอนโดร้างค่าเช่าถูกในต่างแดน อาศัยนอนในห้องขนาด 3X4 เมตร มีเพียงวิทยุเล็ก ๆ เป็นเพื่อนแก้เหงา เพื่อรอเวลาให้หมดอายุความ
 มีอยู่คืนหนึ่งเป็นคืนวันคริสต์มาส คุณหนุ่ยคิดถึงครอบครัวจึงส่งเอกสารด้วยแฟ็กซ์เครื่องเล็ก ๆ ที่หยิบติดมือมาด้วย แต่พอสามีตอบกลับมาว่าส่งมาทำไมเยอะแยะ ก็น้อยใจอยากฆ่าตัวตาย แต่ตายไม่ได้ ในห้องไม่มีอะไรที่ทำให้เราฆ่าตัวตายได้เลย จึงนั่งสวดวิงวอนพระเจ้า มารู้สึกตัวอีกทีเหมือนเกิดความคิดที่ไม่ได้คิดในสมองบอกเป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า อย่าท้อถอยลูกรัก วันหนึ่งความจริงจะปรากฏ พระเจ้ามีงานให้ลูกทำ จากนั้นเหมือนเราได้สติปัญญา เราคิดว่าถ้าจะอยู่ได้ก็ต้องให้อภัย แต่มันให้อภัยยากมากเลย ใจเรายังให้อภัยไม่ได้จริง ๆ จึงสวดบอกพระเจ้าให้ช่วยทำอยู่อย่างนั้นจนไฟในใจมันสงบลง"
หลังจากหมดอายุความ คุณหนุ่ย เลือกที่จะกลับมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ก็ทำได้ยากมาก การกลับเข้าไปขอพบคนในบริษัทเก่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ คุณหนุ่ยใช้ความพยายามอยู่ 4 ปี กระทั่งยอมเสียมารยาทผลักประตูเข้าไปพบผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของบริษัทเก่า และขอค้นโกดังเอกสารสำคัญ และคุณหนุ่ยเตรียมเขียนโน้ตไว้ก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว ซึ่งขอค้น Pay in ของบริษัทฯ ของบัญชีธนาคารกรุงไทยในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2522 ซึ่งคุณหนุ่ยจำได้แม่นยำว่าเป็นเดือนที่คุณหนุ่ยนำเงิน 196 ล้านบาท เข้าฝากธนาคารเพื่อเตรียมไว้ให้ลูกค้าเงินฝากถอนเงิน  และนั่นทำให้คุณหนุ่ยได้พบกับเอกสารการโอนเงิน 196 ล้านบาท อย่างไม่น่าเชื่อ
   Pay in รายการนี้คุณหนุ่ยยื่นขอไปที่ศาลหลายครั้งแต่ก็ได้รับคำตอบว่าเอกสารทั้งหมดถูกทำลายไปหมดแล้วเพราะเกิน 10 ปี คุณสมศรี ลูกน้องเก่าของคุณหนุ่ย บอกว่า เป็นเรื่องที่แปลกมากที่จริงแล้วท่านได้สั่งให้คุณสมศรีทำลายเอกสารพวกนี้แล้ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ ทำให้คุณสมศรีไม่กล้าทำลาย ทั้งๆ ที่คุณสมศรีก็ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ในกล่องเอกสารและมีความสำคัญอย่างไร
  แต่ทนายความที่ดำเนินการฟ้องคุณหนุ่ยบอกว่า Pay in ยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เขาต้องการหลักฐานยืนยันว่าเงินจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้า 10 กว่ารายที่บริษัทฟ้องอย่างไร วินาทีนั้นคุณสมศรี นึกถึงลูกน้องเก่าอีกคนหนึ่งชื่อคุณปวีณา ซึ่งไม่ยอมไปให้การกับศาลตามข้อความเท็จที่กลุ่มนั้นเตรียมไว้ ก็เลยไม่มีโอกาสได้เติบโตในหน้าที่การงาน คุณปวีณาบอกว่ามีลังเอกสารอีก 2 ลังของคุณหนุ่ยยังเก็บไว้อยู่ในบริษัท แต่ตรวจดูไม่พบแฟ้มที่ต้องการ
  คุณหนุ่ยขณะนั้นมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าอย่างเปี่ยมในหัวใจภาวนาว่า พระจ้าทรงช่วยฉันถึงขั้นนี้แล้วฉันมั่นใจว่าพระองค์จะทรงช่วยฉันจนถึงที่สุด และถามคุณสมศรีว่า ในตู้เซฟของบริษัทฯ มีแฟ้มในยุคคุณหนุ่ยเองเหลืออยู่บ้างไหม เป็นคำถามที่คุณหนุ่ยก็ไม่ทราบว่าทำไมใจจึงคิดไปถึงตู้เซฟของบริษัทฯ ขึ้นมาได้ คุณสมศรีตอบว่า จำได้ว่ามีแฟ้มอะไรปึกหนึ่งวางอยู่มุมห้องเซฟตั้งนานแล้ว และได้หยิบแฟ้มนั้นมา ปรากฏว่าเป็นแฟ้มประวัติของลูกค้า 10 กว่าราย และมีรายละเอียดการนำใบหุ้นไปจำนำกับธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ครบถ้วน ความจริงตลอดเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ มีการย้ายที่ทำการ 3 ครั้ง 3 ที่ แปลกที่เอกสารก็ยังอยู่
กว่าความจริงจะปรากฏและคดียุติลงด้วยการที่บริษัทยอมถอนฟ้อง คุณหนุ่ยต้องได้รับความทุกข์ทรมานตลอดช่วงระยะเวลา 14 ปี แต่คุณหนุ่ยก็ไม่คิดจะฟ้องเรียกค่าชดเชยใด ๆ เพราะต้องการให้อภัย หลังจากนั้นก็หันมาสร้างธุรกิจใหม่

ทุกครั้งที่คุณหนุ่ยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา คุณหนุ่ยก็จะคิดถึงพระเจ้าและการให้อภัยของตนเอง แล้วก็จะบอกกับตัวเองว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะละเมิดคำสัญญากับพระองค์ได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา :