เพราะ
ด้วยหูที่ได้ยินจากปากผู้อื่น
อาจไม่ใช่บางส่วน อาจถูกบิดเบือน หรือไม่ใช่ทั้งหมดก็เป็นได้
หรือ
จากตาที่เห็น
ความหมายอาจไม่เป็นเช่นที่เห็นก็เป็นได้ หากไม่ได้สัมผัส
สัมผัสยังผิดพลาดหากผู้ฟัง
ผู้สัมผัส มีอคติต่อผู้นั้น
มัทธิว 7:3
“ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน
แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ?”
พระธรรมข้อนี้เข้าใจความหมายได้ชัดเจน
มัทธิว 7:1-6
“อย่าพิพากษา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกท่านจะพิพากษาผู้อื่นอย่างไร
พระเจ้าจะทรงพิพากษาท่านอย่างนั้น และท่านทั้งหลายจะตวงให้ผู้อื่นด้วยทะนานอันใด
พระเจ้าจะทรงตวงให้พวกท่านด้วยทะนานอันนั้น ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน
แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาท่าน ?”
สิ่งที่ควรพิจารณา
1. ให้สำรวจตัวเราเองแทนที่จะตัดสินผู้อื่น
2. เรามักพบว่าความผิดของผู้อื่นเป็นเรื่องใหญ่
นั่นเป็นการแก้ตัวหรือปิดบังความผิดของตัวเองหรือไม่
3. อย่าทำเช่นนั้นเพื่อเป็นการกดคนอื่นลงเพื่อให้ตัวเองสูงขึ้น
4. หากสำรวจตัวเองแล้ว
จึงยกโทษหากมีพี่น้องกระทำผิด ตักเตือนด้วยความรักและช่วยเหลือ
5. ไม่ได้หมายความว่าเป็นการห้ามไม่ให้เราพิจารณาตัดสินเรื่องใดๆ
แต่ไม่ให้เรามองในแง่ลบ ให้ตักเตือนด้วยความรัก เมื่อพบว่าพี่น้องทำไม่ถูกต้อง
ยอห์น 8
: 7
“…ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”
ยอห์น 8
: 3-11
“พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหา
หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และพวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน
เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์
หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่
ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย
แล้วท่านจะว่าอย่างไร ?” เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์โดยหวังจะเหตุฟ้องพระองค์
แต่พระเยซูน้อมพระกายเอานิ้วเขียนที่ดิน และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ
พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป
ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” แล้วพระองค์น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดินอีก
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่
เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
พระเยซูยืดพระกายขึ้นตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด
? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ ? นางทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย” แล้วพระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”
ผู้นำไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติตั้งแต่พวกเขาจับตัวมาเฉพาะฝ่ายหญิง
ไม่ได้นำฝ่ายชายมาด้วย บทบัญญัติระบุไว้ว่าทั้งชายและหญิงต้องถูกลงโทษถึงตาย (ลนต.20:10 , ฉธบ.22:22) ผู้นำใช้เป็นกับดักพระเยซู
ถ้าพระองค์ไม่เอาหินขว้างเขาก็จะจับพระองค์ฐานละเมิดบทบัญญัติของโมเสส
แต่ถ้าพระองค์ยอมให้เขาประหารหญิงคนนี้ พวกเขาก็จะส่งตัวพระเยซูให้ทหารโรมัน
เพราะชาวยิวไม่สามารถสั่งประหารชีวิตได้
พระองค์ไม่ได้เห็นชอบในการทำบาปของเธอ
แต่พระองค์ให้เธอทิ้งชีวิตบาป
พระจ้าให้อภัยบาปทุกอย่างในชีวิตเรา
ให้เราสารภาพและกลับใจ
การให้อภัยและตักเตือน
1. ควรให้อภัยและมีเมตตา
หาทางช่วยเหลือ แทนที่จะทำให้คนอื่นเจ็บปวด
2. การตักเตือนเป็นคนละกรณีกับการพิพากษา
(การพิพากษาคือการตัดสิน) ให้ตักเตือน ให้การหนุนใจ ไม่ใช่พิพากษา ไม่ใช่ซ้ำเติม
3. เตือนด้วยใจรัก
ไม่ใช่ทำลาย
4. เราไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาที่ทำให้เขาต้องทำความผิดเช่นนั้น
(ทำผิด/ทำบาป) และห่างเหินจากพระเจ้า เพราะเราไม่รู้ว่าหากเราอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเขาเราจะทำอย่างไร
ในบางครั้งเราก็หลงลืมและห่างห่างเหินพระเจ้าเหมือนกัน
มัทธิว 18:21
- 22
ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง ? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ ?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด”
ไม่ควรแม้แต่จดจำว่าเรายกโทษให้ผู้อื่นไปกี่ครั้งแล้ว เราควรยกโทษคนที่กลับใจจริงๆ
เสมอ ไม่ว่าเขาจะขอโทษกี่ครั้งก็ตาม