วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อย่าตัดสินผู้อื่น




เพราะ
ด้วยหูที่ได้ยินจากปากผู้อื่น อาจไม่ใช่บางส่วน อาจถูกบิดเบือน หรือไม่ใช่ทั้งหมดก็เป็นได้
หรือ
จากตาที่เห็น ความหมายอาจไม่เป็นเช่นที่เห็นก็เป็นได้ หากไม่ได้สัมผัส
สัมผัสยังผิดพลาดหากผู้ฟัง ผู้สัมผัส มีอคติต่อผู้นั้น

มัทธิว 7:3
ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ?”
พระธรรมข้อนี้เข้าใจความหมายได้ชัดเจน

มัทธิว 7:1-6
อย่าพิพากษา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกท่านจะพิพากษาผู้อื่นอย่างไร พระเจ้าจะทรงพิพากษาท่านอย่างนั้น และท่านทั้งหลายจะตวงให้ผู้อื่นด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้พวกท่านด้วยทะนานอันนั้น ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาท่าน ?”

สิ่งที่ควรพิจารณา
1.      ให้สำรวจตัวเราเองแทนที่จะตัดสินผู้อื่น
2.      เรามักพบว่าความผิดของผู้อื่นเป็นเรื่องใหญ่ นั่นเป็นการแก้ตัวหรือปิดบังความผิดของตัวเองหรือไม่
3.      อย่าทำเช่นนั้นเพื่อเป็นการกดคนอื่นลงเพื่อให้ตัวเองสูงขึ้น
4.      หากสำรวจตัวเองแล้ว จึงยกโทษหากมีพี่น้องกระทำผิด ตักเตือนด้วยความรักและช่วยเหลือ
5.      ไม่ได้หมายความว่าเป็นการห้ามไม่ให้เราพิจารณาตัดสินเรื่องใดๆ แต่ไม่ให้เรามองในแง่ลบ ให้ตักเตือนด้วยความรัก เมื่อพบว่าพี่น้องทำไม่ถูกต้อง

ยอห์น 8 : 7
“…ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก

ยอห์น 8 : 3-11
พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหา หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และพวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน เขาทูลพระองค์ว่า ท่านอาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร ?” เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์โดยหวังจะเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูน้อมพระกายเอานิ้วเขียนที่ดิน และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรกแล้วพระองค์น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดินอีก แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ พระเยซูยืดพระกายขึ้นตรัสกับนางว่า หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ ? นางทูลว่า ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลยแล้วพระเยซูตรัสว่า เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก
ผู้นำไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติตั้งแต่พวกเขาจับตัวมาเฉพาะฝ่ายหญิง ไม่ได้นำฝ่ายชายมาด้วย บทบัญญัติระบุไว้ว่าทั้งชายและหญิงต้องถูกลงโทษถึงตาย (ลนต.20:10 , ฉธบ.22:22) ผู้นำใช้เป็นกับดักพระเยซู ถ้าพระองค์ไม่เอาหินขว้างเขาก็จะจับพระองค์ฐานละเมิดบทบัญญัติของโมเสส แต่ถ้าพระองค์ยอมให้เขาประหารหญิงคนนี้ พวกเขาก็จะส่งตัวพระเยซูให้ทหารโรมัน เพราะชาวยิวไม่สามารถสั่งประหารชีวิตได้
พระองค์ไม่ได้เห็นชอบในการทำบาปของเธอ แต่พระองค์ให้เธอทิ้งชีวิตบาป
พระจ้าให้อภัยบาปทุกอย่างในชีวิตเรา ให้เราสารภาพและกลับใจ

การให้อภัยและตักเตือน

1.    ควรให้อภัยและมีเมตตา หาทางช่วยเหลือ แทนที่จะทำให้คนอื่นเจ็บปวด
2.    การตักเตือนเป็นคนละกรณีกับการพิพากษา (การพิพากษาคือการตัดสิน) ให้ตักเตือน ให้การหนุนใจ ไม่ใช่พิพากษา ไม่ใช่ซ้ำเติม
3.     เตือนด้วยใจรัก ไม่ใช่ทำลาย
4. เราไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาที่ทำให้เขาต้องทำความผิดเช่นนั้น (ทำผิด/ทำบาป) และห่างเหินจากพระเจ้า เพราะเราไม่รู้ว่าหากเราอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเขาเราจะทำอย่างไร ในบางครั้งเราก็หลงลืมและห่างห่างเหินพระเจ้าเหมือนกัน

มัทธิว 18:21 - 22
ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง ? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ ?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด
            ไม่ควรแม้แต่จดจำว่าเรายกโทษให้ผู้อื่นไปกี่ครั้งแล้ว เราควรยกโทษคนที่กลับใจจริงๆ เสมอ ไม่ว่าเขาจะขอโทษกี่ครั้งก็ตาม